เซลแมนเจอผี
เรื่องต่อไปนี้เป็นเรื่องเล่าและเป็นความเชื่อส่วนบุคคนโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านด้วยนะครับ
เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้เป็นเรื่องของน้องที่ทำงานด้วยกันเล่าให้ผมฟัง ผมขอเรียกน้องคนนี้ว่าหนึ่งเป็นนามสมมุตินะครับ หนึ่งเป็นเซลแมนอยู่บริษัทเดียวกับผม ตอนนั้นหนึ่งได้เซลดีเด่นของบริษัทซึ่งหนึ่งทำยอดขายได้มากที่สุดในกลุ่มจะว่าช่วงนั้นเป็นช่วงชีวิตขาขึ้นของหนึ่งก็ว่าได้ วันหนึ่งได้มีคำสั่งจากบริษัทมาที่หนึ่งอีก 2-3วันให้หนึ่งไปขายสินค้าที่จังหวัดๆหนึ่งทางภาคอีสานซึ่งจังหวัดนี้เป็นบ้านของหนึ่งเอง ระหว่างรอวันที่ต้องออกเดินทางหนึ่งก็ได้ทำงานไปตามปรกติ เมื่อใกล้ถึงวันที่ต้องออกเดินทาง หนึ่งก็เอารถไปเช็คที่ศูนย์พอเช็คหนึ่งเช็ครถเสร็จหนึ่งก็กลับบ้านเช่าไปเก็บเสื้อผ้าละของใช่ส่วนตัวละบอกเมียกับลูกว่าพรุ่งนี้จะลับบ้านของหนึ่ง พอรุ่งวันใหม่ถึงวันที่ต้องออกเดินทาง หนึ่งได้ขนของพาลูกและเมียขึ้นรถแล้วหนึ่งก็ด้ขับรถออกไปมุ่งหน้าสู่ภาคอีสานซึ่งเป็นจังหวัดบ้านเกิดของเขา หนึ่งก็ได้ขับรถไปเรื่อยๆผ่านหวัดนู้นจังหวัดนี้จนมาถึงจังหวัหวัดดที่หมายจังหวัดบ้านเกิดของหนึ่งเองแล้วหนึ่งก็เลยขับรถมุ่งหน้ากลับบ้านของเขาซึ่งเขากะว่าจะพาลูกและเมียไปไหว้ปู่กับย่าก่อนค่อยเริ่มออกหาเลาะขายของตามบ้านพรุ่งนี้เช้า พอรุ่งเช้าวันใหม่หนึ่งเลยเตรียมสินค้าและของอื่นๆใส่กระเป๋าเตรียมออกหาเลาะขายตามบ้านและวันนี้ได้มีเพื่อนที่สนิทกันมากไปเลาะขายสินค้าด้วย ทั้งคู่เดินไปเรื่อยๆเข้าบ้านนู้นออกบ้านนี้จนมาถึงบ้านหลังหนึ่ง หนึ่งจำได้ว่าเคยมาเยี่ยมยายคนหนึ่งที่บ้านหลังนี้แต่ว่ายายคนนั้นตอนนี้ได้เสียไปแล้ว หนึ่งเลยหันไปถามเพื่อนว่า เฮ้ยตอนนี้ใครมาอยู่บ้านหลังนี้วะ เพื่อนของหนึ่งเลยตอบว่าตอนนี้ไม่ใครมาอยู่หรอกวะแต่ว่าเมื่อก่อนก็เคยมีผู้หญิงมาเช่านะแต่ว่าตอนนี้เขาตายไปแล้ว หนึ่งเลยถามเพื่อนไปอีก เขาเป็นอะไรตายวะ เพื่อนก็ตอบหนึ่งไปอีกว่า ชาวบ้านได้ยินเสียงผู้หญิงคนนั้นร้องตะโกนว่าช่วยด้วยผีหลอกช่วยด้วยผีหลอกแล้วสักพักเสียงของผู้หญิงคนนั้นก็เงียบไป เมื่อเช้าวันใหม่มีชาวบ้านพบศพผู้หญิงคนนั้นซึ่งคาดว่าตกใจจนตกบันไดบ้านคอหักตาย แล้วหนึ่งก็ได้พูดไปอีกว่าคนอะไรวะตกบันไดบ้านตัวเองคอหักตายชิบหายโง่จริงๆจากนั้นหนึ่งก็ได้พูดเหมือนดูถูกผู้หญิงคนนั้นไปอีกหลายคำก่อนทั้งคู่จะเดินจากไปเพื่อไปขายสินค้าทั้งคู่เดินไปเรื่อยๆแต่ว่าวันนี้เหมือนจะไม่มีใครว่างอยู่บ้านเลย จนค่ำหนึ่งก็ยังขายสินค้าไม่ได้เลยสักชิ้น พอแม่ของหนึ่งกลับมาจากทำไร่แม่ก็เรียกหนึ่งๆก็เลยลงจากบ้านมาหาแม่แล้วแม่ก็แลยบอกาหนึ่งว่าลุงชัยคนที่มีไร่มันข้างที่นาเราเขาอยากได้กะทะไฟฟ้าที่หนึ่งขายอยู่ เมื่อหนึ่งได้ยินอย่างนั้นเขารู้สึกดีใจมากและถือว่าเป็นข่าวดีที่สุดของวันนี้เลยก็ว่าได้ หนึ่งก็เลยรีบขึ้นบ้านไปเอากระทะไฟฟ้าและสินค้าอื่นๆใส่กระเป๋าไปด้วย แล้วจึงรีบไปบ้านลุงชัย เมื่อไปถึงบ้านลุงชัยจากความดีใจของหนึ่งก็กลายเป็นความเสียใจทันทีเมื่อบ้านของลุงชัยไม่มีใครอยู่เลยปิดไฟมืดสนิทหมดจากนั้นหนึ่งเลยเดินคอตกกลับเมื่อแม่ของหนึ่งเห็นหนึ่งเดินคอตกเลยเข้าไปปลอบใจลูกชายและถามว่าเกิดอะไรขึ้น หนึ่งจึงเล่าให้แม่ฟังและวันนั้นหนึ่งก็ขายสินค้าไม่ได้เลยสักชิ้นพอเช้าวันใหม่หลังจากที่แม่กลับมาจากคลาดเช้าแม่ก็เลยเดินมาหาหนึ่งแล้วพูดว่าเมื่อคืนทำไมหนึ่งเดินไปถึงบ้านลุงชัยแล้วหนึ่งกลับละทำไมไม่ขายสินค้าให้ลุงชัยเขา ลุงชัยถามแม่มา หนึ่งเลยตอบแม่ไปว่าก็บ้านลุงชัยเขาไม่มีใครอยู่เลยปิดไฟมืดสนิทหมด ลุงชัยบอกแม่ว่าลุงชัยแกเปิดไฟไว้จนดึกและคนก็เต็มบ้านแกเห็นหนึ่งไปแกก็ดีใจแต่เมื่อแกเห็นหนึ่งกลับไปแกเลยคิดหนึ่งลืมของแกเลยบอกว่าแกเปิดๆไฟรอหนึ่งจนดึกจนแกปิดไฟนอนจากนั้นหนึ่งเลยรีบไปที่บ้านลุงชัยแล้วพูดคุยกับลุงชัยแล้วหนึ่งก็ขายสินค้าได้ 1 ชิ้นวันนี้หนึ่งเลยออกไปเลาะขายสินค้ากับเพื่อนคนเดิมอีกครั้ง หนึ่งเลาะเดินขายตั้งแต่เช้าจนเย็นตกลงว่าวันนี้หนึ่งขายสินค้าได้เพิ่มอีก 5 ชิ้นรวมที่ขายให้ลุงชัยเมื่อเช้าเป็น 6 ชิ้นวันนี้หนึ่งเลยอาบน้ำกินข้าวอย่างอารมณ์ดีและคิดว่ายังพักไม่หายคิดถึงบ้านเลยพรุ่งนี้ต้องกลับแล้วพอเช้าวันรุ่งขึ้นเป็นวันที่หนึ่งต้องกรุงเทพแต่หนึ่งไม่อยากไปไหนเลย แต่หนึ่งก็ได้กอดและล่ำลาพ่อและแม่ของหนึ่งจากนั้นหนึ่งเลยพาลูกสาวตัวน้อยกับเมียของเขาขึ้นรถ จากนั้นหนึ่งก็ได้ขับรถออกไปเพื่อที่จะกลับกรุงเทพหนึ่งขับรถไปก็ได้แวะถ่ายรูปนู้นนั้นนี่หนึ่งยกนาฬิกาขึ้นดูเวลาหนึ่งก็คิดในใจวันนี้คงถึงกรุงเทพถึงหอพักประมาณ -4 ทุ่มกว่าๆแน่ แล้วหนึ่งก็ขับรถต่อไปจนค่ำเวลานั้นประมาณ 1 ทุ่มจะเข้า 2 ทุ่มแล้วหนึ่งขับรถถึงจังหวัดหนึ่ง หนึ่งก็ขับรถผ่านศาลาที่พักริมทางลูกสาวตัวน้อยของหนึ่งก็ถาม หนึ่งถาม หนึ่งว่า พ่อๆน้าผู้หญิงคนนั้นเขามาทำอะไรที่ศาลาค่ำแล้วทำไมเขาไม่กลับบ้าน หนึ่งก็ไม่ได้คิดอะไร หนึ่งติดแค่ว่าสงสัยคนแถวนี้มาส่องปลาส่องกบอะไรของเขาแล้วหนึ่งก็ขับรถไปเรื่อยๆสักพักใหญ่ๆก็ผ่านศาลาที่ 2 ลูกสาวของหนึ่งก็พูดขึ้นอีก พ่อๆน้าเสื้อดำคนนั้นทำไมน้าเขาวิ่งเร็วจัง มานั่งที่ศาลาอีกแล้วคราวนี้หนึ่งเริ่มเอะใจหรือว่าหน้าเป็นคนที่หน้าเหมือนกันใส่ชุดสีเดียวกันป่าววะลูกก็เลยคิดว่าเป็นคนๆเดียวกันพอกำลังจะผ่านศาลาที่ 3 ก็เลยขับรถช้าลงตอนนั้นหนึ่งขับราวๆสัก 80 พอหนึ่งขับรถช้าลงและเหลียวมองศาลาที่ 3 หนึ่งก็เห็นผู้หญิงชุดดำคนนั้นอย่างที่ลูกสาวพูด ผู้หญิงชุดดำคนนั้นกำลังนั่งอยู่ในศาลากำลังนั่งเหมือนกินอะไรอยู่ในศาลา หนึ่งก็เลยเร่งความเร็วให้มันผ่านไป แต่เมื่อหนึ่งเหลียวมอนกระจกหลังนึ่งก็เห็นผู้หญิงชุดดำคนนั้นวิ่งตามรถ และสิงที่ทำให้หนึ่งตกใจมากก็คือผู้หญิงชุดดำวิ่งตามรถและแลบลิ้นไปด้วย คนเราวิ่งไปและแลบลิ้นไปด้วยไม่แปลกหรอก แต่ผู้หญิงชุดดำคนนั้นแลบลิ้นออกมายาวเกือบถึงรถขณะที่รถวิ่งอยู่ที่ 80กิโลเมตรต่อชั่วโมงจากนั้นพอผู้หญิงชุดดำคนนั้นตามไม่ทันและไม่เห็นว่าตามมาแล้วอีกไม่นาน หนึ่งและครอบครัวก็ถึงหอพักโดยปลอดภัยและก่อนลงรถ เมียของหนึ่งก็ถามหนึ่งว่าเห็นว่าหนึ่งนั่งตัวเกร็งมาตั้งแต่ก่อนเข้ากรุงเทพหนึ่งเป็นอะไรหรอ หนึ่งก็เลยพูดกับเมียว่า ถ้าเล่าให้ฟังแล้วอย่ากลัวนะ เมียของหนึ่งก็เลยรับปากว่าจะไม่กลัว หนึ่งเลยเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง และเช้าวันต่อมาหนึ่งก็เลยไปทำบุญที่วัดให้ผีผู้หญิงชุดดำคนนั้น และจากนั้นมาหนึ่งเลยไม่ขับรถตอนกลางคืนอีกเลยถึงจะมีงานด่วนหรือธุระด่วนแค่ไหนมีตาม
ขอขอบคุณรูปถาพจาก : Pixar