ฤทัยโหย จบแล้ว
ฤทัยโหย จบเเล้ว
ทำไมไม่ใช่เรา!
คำถามที่ไร้ซึ่งคำตอบดังก้องในจิตใจทุกครั้งที่ได้ผ่านสถานที่แห่งนี้ ทางสี่แยกมีสะพานทางซุปเปอร์ไฮเวย์เด่นตระหง่านอยู่ทางขวามือ ด้านหน้ามีป้ายจราจรบอกไฟสีทั้งสาม ถัดไปเป็นตลาดสดที่มีผู้คนพลุกพล่านเดินจับจ่ายซื้อของยามเย็น
สายฝนตกพรำยามตะวันใกล้จะลับขอบฟ้า ไฟกริ่งสีเหลืองอ่อนให้แสงสว่างพอมองเห็นการเคลื่อนไหวด้านหน้าได้ชัดเจน รถจักรยานยนต์จอดริมทางโดยมีผมนั่งอยู่บนเบาะ ยามเห็นไฟกำลังเปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีเขียวทำให้เสียงหัวใจเต้นร่ำร้องไม่เป็นจังหวะ มือทั้งสองข้างสั่นระริกไปตามจังหวะหัวใจที่เต้นถี่ระรัวขึ้นเรื่อย ๆ ภาพไฟจราจรด้านหน้าเริ่มไม่ค่อยชัด ใบหน้าภายใต้หมวกกันน็อคสีดำที่ปิดทั้งหน้าเริ่มรู้สึกร้อนขึ้น ที่จมูกเหมือนมีอะไรมาติดทำให้หายใจไม่สะดวก ผมมองไปกลางถนนที่มีรถจากอีกฟากฝั่งโลดแล่นท่ามกลางสายฝน หัวใจรู้สึกเจ็บปวดขึ้นทันทีที่มองเห็นรอยครูดยาวสี่เมตร ทั้ง ๆ ที่ตั้งใจไว้แล้วว่าจะไม่ร้องไห้ แต่น้ำตาเจ้ากรรมดันไหลออกมาปะปนกับสายฝนโปรย
17 ตุลาคม 2565 เวลา 19.12 น.
ผมจดจำวันและเวลาดังกล่าวไม่เคยลืมเลือน เป็นภาพติดตาที่ไม่สามารถจะลบออกจากความทรงจำได้ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหนก็ตาม ผมจดจำรถจักรยานยนต์ยี่ห้อตัว H ของผม แฟนผมซ้อนท้ายโดยมือข้างหนึ่งถือร่มยาว 2 ศอก สีฟ้าอ่อน มืออีกข้างถือโทรศัพท์ สวมหมวกกันน็อกสีเทา ในวันนั้นสองเรากำลังออกไปข้างนอกโดยมีเป้าหมายเป็นห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งเพื่อไปซื้อของราคาป้ายเหลือง เสียงหัวเราะของเธอยังก้องอยู่ในใจของผมตลอดขณะที่รถจักรยานยนต์กำลังจอดรอสัญญาณไฟจราจรสีเขียวดังเช่นทุกครั้ง
แต่เมื่อสัญญาณไฟขึ้นสีเขียว รถยนต์และจักรยานยนต์ก็ออกตัวตามปกติ ผมออกรถตามคันด้านหน้า จู่ ๆ เสียงแตรดังขึ้นสนั่นรถยนต์ได้พุ่งเข้ามาชนจากจากด้านข้าง ภาพที่เห็นหมุนคว้างไม่รู้จุดโฟกัส ผมรู้สึกเหมือนโดนอะไรกระเเทกหน้าอย่างจัง รู้สึกมึนศีรษะและจุกไปทั้งร่าง หายใจลำบากเหมือนกับไม่สามารถสูดลมเข้าปอดได้ในชั่วขณะหนึ่ง รู้สึกราวกับว่าซี่โครงโดนทุบเข้าอย่างจัง เพียงแขนข้างเดียวยังขยับลำบาก ผมไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น กระจกหมวกกันน็อคที่สวมอยู่แตกออกไปตอนไหนไม่ทราบบาดแก้มผมจนเลือดไหล ทั้งแสบและคันในเวลาเดียวกัน รับรู้ถึงความอุ่นผ่านแก้ม ตาลายสับสนไปหมดทุกอย่าง ตอนนั้นสิ่งที่นึกได้คือแฟนผมอยู่ไหน แม้ภาพที่เห็นจะหมุนเหมือนโดนปั่นจิ้งหรีดเป็นร้อยครั้งแล้วให้เดินไปด้านหน้าได้ไม่กี่ก้าวก็ล้มลง ปากผมเรียกชื่อแฟนของผมไม่หยุดหย่อน แต่ก็ไร้เสียงตอบรับ ตอนนั้นผมเริ่มรู้สึกจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ในขณะที่หูได้ยินเสียงร้องไห้และเสียงเอะอะโวยวายดังลั่น ภาพตรงหน้าของผมยังหมุนคว้างอยู่จึงไม่รู้ว่าทิศไหนเป็นทิศไหน ผมเจ็บใจจนร้องไห้พร้อมตะโกนเรียกเธอไปด้วย เจ็บใจว่าทำไมต้องมาอยู่ในสภาพที่มองอะไรไม่ได้แบบนี้ เจ็บใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น
กว่าภาพตรงหน้าจะเริ่มชัดขึ้นพอเห็นว่าอะไรเป็นอะไรผมรีบมองหาคนรักของผมแต่ก็ไม่เจอ ด้านข้างผมมีป้าคนหนึ่งร้องห่มร้องไห้ปานจะขาดใจ เธอกอดชายคนหนึ่งพลางเริ่มกรีดร้องไม่อายใคร ปากพร่ำเรียกคำว่าลูกแม่อยู่อย่างนั้นไม่มีแม้แต่จะลดเสียงลง
รถยนต์สองคันและจักรยานยนต์อีกหลายคันกระจัดกระจายหลายทิศ ผมร้องไห้และวิ่งหาแฟนไปด้วย ตอนนั้นไม่สนใจอะไรแล้ว ไม่รู้ตัวเองด้วยซ้ำว่าซี่โครงผมหักไปกี่ซี่
ชิ้นส่วน รถจักรยานยนต์แตกกระจายออกเกลื่อนกลาด ถัดไปจากนั้นเป็นภาพที่ผมไม่อยากเห็น ไม่อยากให้มันเกิดขึ้นไม่ว่าจะเหตุผลใดก็ตามแต่ ผมยอมรับด้วยคามสัตย์จริงว่าผมทำใจไม่ได้ ตอนที่เห็นภาพนั้นหัวใจผมสลายไปแล้ว อาจจะสลายไปตลอดกาลไม่มีวันหวนกลับมาอีก
ร่างของแฟนผมนอนอยู่ข้างทาง ถัดจากนั้นไม่กี่ก้าวมีเด็กชาย เด็กหญิง เเละอีกหลายคนนอนเเน่นิ่ง เห็นชิ้นส่วนอวัยวะที่กระจัดกระจายออกไป โทรศัพท์ยี่ห้อนิยมที่โชว์หน้าจอบอกวันที่และเวลา 19.12 น. กลางกองเลือด กลิ่นคาวปะปนกับกลิ่นสนิมพุ่งเข้าจมูกแจ่มชัดโดยไม่อาจลืมเลือน ผมรีบพุ่งเข้าหาร่างของแฟนโดยไม่สนอะไรทั้งสิ้น ไม่สนแม้กระทั่งพี่ชายสองสามคนที่เดินเข้ามาปลอบให้ใจเย็นลงแม้พี่เขาจะร้องไห้ออกมาด้วยความเศร้าโศกเสียใจกับครอบครัวของเขาก็ตาม
“พี่ช่วยแฟนผมด้วย ได้โปรด” ผมพูดคำนี้ออกมาไม่รู้กี่ร้อยกี่พันคำ แต่คำตอบที่ได้รับคือการส่ายหน้า ผมเห็นพี่หลายคนร้องไห้และฟุบลงกับพื้นเพราะเขาเองก็เป็นผู้ประสบกับเหตุการณ์นี้ ผมเจ็บปวดที่สุดในชีวิตและเจ็บใจมากที่สุดไม่อยากคิดเป็นอย่างอื่น แม้เลือดแฟนจะนองพื้นผมก็ตะเกียกตะกายจัดท่าร่างของเธอแล้วทำการ CPR ปั้มนับตามจังหวะการเต้นหัวใจไม่ยอมหยุด แม้พี่ชายด้านข้างจะมาสะกิดว่าพอแล้วไม่รู้กี่ครั้งก็ตาม ผมไม่รู้ตัวเลยว่าตนเองเผลอตะคอกใส่พี่เขาว่าอย่างไร
เมื่อกู้ภัยมาถึง ผมตะโกนเรียกสุดเสียง เสียงที่แหบพร่าจากการร้องไห้หนัก พี่กู้ภัยวิ่งปรี่เข้ามาหาผมอย่างรวดเร็ว พวกเขารีบตรวจตราสถานการณ์ ตรวจสอบหลายสิ่งหลายอย่างจากนั้นก็ส่ายหน้า บอกเเค่ว่ารอให้รถโรงพยาบาลมาถึงก่อนและบอกให้ผมหยุดการกระทำลม ๆ แล้ง ๆ นั้นเสีย ผมไม่ยอมหยุด ยังคงทำการ CPR อย่างไม่ลดละพร้อมกับร้องไห้ไปด้วย ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ รู้แต่ว่าหูผมจดจ่อกับการฟังเสียงรถของโรงพยาบาล ผมตะโกนแค่ว่า “หมอ ช่วยแฟนผมด้วย!” ซ้ำไปซ้ำมาตั้งแต่รถยังมาไม่ถึงจวบจนเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลวิ่งปรี่ลงจากรถ พวกเขาทำงานกันว่องไวจนน่าทึ่ง พี่เจ้าหน้าที่คนหนึ่งรีบวิ่งมาทางผม เธอบอกให้ผมปล่อยมือจากแฟนและรีบเข้ามาตรวจดูอาการ สีหน้าพี่เขาเปลี่ยนไปแววตาดูหดหู่อย่างเห็นได้ชัด
"เธอเสียชีวิตเเล้ว" เหมือนดั่งฟ้ากลั่นแกล้ง เสียงที่ดังออกมากระทบเข้าโสตปราสาทดังกึกก้องกังวานในใจซ้ำไปซ้ำมา กว่าผมจะรู้สึกตัวก็มีหมอคนหนึ่งมาตรวจดูอาการผมและเรียกให้พี่ ๆ กู้ภัยมาลากผมขึ้นรถพยาบาลอีกคัน ตอนนั้นผมไม่ยอมไปไหนทั้งนั้น มุ่งแต่จะไปหาแฟน ผมขัดขืนราวกับว่าจะตายเสียตรงนั้นให้ได้ ทั้งหมัดทั้งเท้ากระฟัดกระเหวี่ยงจนพี่กู้ภัยโดนลูกหลงไปหลายที ท้ายที่สุดผมก็ถูกจับล็อกจนดิ้นไม่ได้และลากขึ้นรถโรงพยาบาล
“ผมจะไปหาแฟนผม! ปล่อยผม!”
คำนี้ถูกผมตะโกนตลอดทาง ใจของผมแหลกสลาย มันเจ็บปวด โกรธ เกลียดหลากหลายอารมณ์ปะปนกัน แต่ไม่นานภาพทุกอย่างก็ดับมืดลงด้วยฤทธิ์ยาที่ถูฉีดตอนไหนไม่ทราบ
ผมไม่เคยลืมวันนั้น
บางครั้งการจะรับรู้ถึงความเจ็บปวดของคนคนหนึ่งได้ คุณต้องเคยเจอะเจอสถานการณ์แบบเดียวกับเขา ความรู้สึกบางอย่างมีเพียงคนประสบเท่านั้นถึงจะรู้ซึ้ง
น้ำตาผมรินไหล ภาพเเฟนผมลอยวนเวียนในจิตใจ ไม่มีแม้แต่การกล่าวลาสักคำ ไม่มีแม้แต่การเอื้อนเอ่ยใด ๆ จากเธอ ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วจนไม่ทันได้ตั้งตัว เพียงแค่พริบตาเดียวเท่านั้น ผมมีคำพูดแทนความรู้สึกมากมายท่วมท้นอยู่ในใจจนอยากจะเอ่ยออกมาให้เธอได้ฟัง แต่คงไม่มีโอกาสอีกแล้ว นึกถึงช่วงเวลาต่าง ๆ ที่เคยเผชิญร่วมกัน อาจทะเลาะกันบ้างบางครั้งครา หลายครั้งรู้สึกนอยด์ รู้สึกโกรธ อยากจะด่าอยากจะว่าให้แตกหักรู้เเล้วรู้รอด แต่เมื่อได้ประสบพบเจอกับสถานการณ์แบบนี้แล้วไม่รู้ทำไมเวลานึกถึงแต่ช่วงเวลาเหล่านั้น ความรู้สึกเปลี่ยนไปจนกลายเป็นโหยหาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ขณะที่นอนอยู่เตียงคนไข้ ผมจะกล่าวโทษตัวเองตลอดว่าเป็นคนทำให้เธอต้องตาย ความเจ็บปวดเพิ่มพูนขึ้นทุกนาที ผมด่าตัวเองซ้ำ ๆว่าทำไมต้องเกิดเรื่องแบบนี้ด้วย ทำไมผมไม่ตายไปพร้อมกับเธอ
ผมทราบข่าวว่าคนก่อเหตุขับรถฝ่าไปแดงเพราะรีบไปทำงานกะดึก แต่การกระทำครั้งนั้นกลับทำให้มีผู้เสียชีวิตมากถึงเจ็ดศพ ยังไม่รวมคนที่ต้องเจ็บปวดแบบผมอีกไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ ชายคนนั้นมาร้องห่มร้องไห้ขอโทษขอโพยจนสังคมให้อภัย แต่เขาไม่สามารถคืนแฟนของผมให้กลับมาดังเดิมได้ ไม่สามารถคืนชีวิตให้กับคนที่ตายไปแล้วได้ ผมต้องแบกความรู้สึกเจ็บปวดปานขาดใจ เจ็บจนอยากจะตายว่ามีชีวิตอยู่ไปทำไม อยู่ไปเพื่ออะไร ผมต้องจมปรักกับความคิดแบบนี้ซ้ำ ๆ อยู่ในโลกส่วนตัวที่โทษตัวเองและอยากฆ่าตัวตายตามเธอไปให้มันรู้แล้วรู้รอด
นอนอยู่ม่านกั้นในห้องผู้ป่วย ทั่วร่างมีสายน้ำเกลือระโยงรยางค์ แม้กระทั่งสายฉี่ก็ดูเกะกะอยากจะกระชากมันทิ้ง อาหารที่ผมได้รับคืออาหารเหลว และบริการพิเศษล็อกแขนขาติดกับเตียง
คืนหนึ่ง ๆ ผ่านไปช่างยาวนานและเจ็บปวด ผมร้องไห้ทุกคืน นึกถึงช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกันตลอด แต่คำเจ็ดศพมักจะสอดแทรกเข้ามาในห้วงความคิดเสมอ ทำให้ผมคิดโทษตัวเองตลอดว่าวันนั้นผมไม่ควรชวนเธอออกไป วันนั้นผมน่าจะออกตัวช้ากว่ารถคนอื่น วันนั้นผมควรทำอย่างนั้นอย่างนี้ต่าง ๆ นานาวนเวียนซ้ำ ๆ แต่ก็ได้แค่คิด ในเมื่อทุกอย่างมันเกิดขึ้นแล้ว ผมไม่สามารถย้อนอะไรกลับไปได้เลย
แววตาไร้ชีวิตชาเหม่อมองท้องฟ้า ผมนึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นตอนอยู่โรงพยาบาล หลังจากพักรักษาตัวได้สามวัน พ่อกับแม่แฟนได้มาเยี่ยมไข้ ญาติฝ่ายแฟนมาร่วมสิบคน คำก่นด่าสาปแช่งมากมายเกิดขึ้นไม่ขายสายราวกับว่าผมเป็นเศษเดนนรก ไม่ควรเกิดมาบนโลกใบนี้ ไม่ควรมีชีวิตอยู่ เป็นฆาตกรชั่วร้ายที่พรากชีวิตคนสำคัญของพวกเขาไป
“อย่าให้กูได้เห็นหน้ามึงอีก...นรก ไอ้ห่า มึงทำให้ลูกกูตาย!” เสียงสั้น ๆ เอ่ยออกมานำตาผมไหลพราก จิตใจสั่นคลอนและร้องไห้ออกมาโฮใหญ่ ฝ่ายญาติพี่น้องพูดใส่อารมณ์รุนเเรง ประโยคที่ไม่อยากได้ยินก็กลับกลายเป็นว่าต้องได้ยินมากมายก่ายกองไม่อาจหนีมันพ้น ด่าจนกระทั่งหมอกับพยาบาลต้องมาห้ามปรามและเรียกยามมาเชิญออก ร่างกายที่ยังไม่หายดีถูกทำให้บอบซ้ำหลายสิบจุด ในที่สุดพวกเขาก็ทิ้งให้ผมนั่งจมปรักกับความผิดบาปของตนอยู่อย่างนั้นพร้อมกับน้ำตาที่ไหลริน ถ้าหากไม่สายมีมัดข้อมือข้อเท้าไว้ ผมคงกระชากสายระโยงรยางค์ตามร่างกายออกและหนีไปผูกคอตายจบชีวิตที่เเสนบัดซบ แต่ทำได้เพียงดิ้นไปมาบนเตียงจนพยาบาลต้องฉีดยาสลบให้ พอตื่นมาก็พบกับความเจ็บแสบที่ข้อมือกับข้อเท้า สายมัดเปลี่ยนจุดใหม่ ข้อที่ถูกมัดถูกทำแผลเสร็จสรรพ
ผมพยายามฆ่าตัวตายด้วยการกลั้นหายใจกว่าสิบครั้ง แต่มันลงเอยด้วยความล้มเหลว ไม่ว่าจะพยายามกลั้นหายใจตายแค่ไหน แต่ท้ายที่สุดร่างกายจะสูดเฮือกออกมาเองอัตโนมัติเหมือนกับตั้งค่าไว้ ผมเอาแต่ร้องไห้ไม่เป็นอันกินอันนอน ทุกวันได้แต่โทษตัวเองว่าเป็นเพราะการกระทำของผมจึงทำให้เธอจากไป
หลังจากออกจากโรงพยาบาล อันดับแรกที่ผมทำคือเก็บห้องพักที่เราทั้งคู่เคยอยู่ด้วยกัน มองหมอนทั้งสองใบเคียงคู่ทำให้นึกถึงภาพตอนนอนดิ้นและขยับก้นไปเบียดเธอ บางคืนนอนละเมอดึงเอาผ้าห่มมาพันรอบตัวปล่อยให้แฟนนอนหนาวไปเสียอย่างนั้น ห้องน้ำที่กลอนขึ้นสนิมล็อกไม่ค่อยแน่นเป็นอีกภาพความทรงจำอันล้ำค่าอย่างหนึ่ง ภาพตอนผมอาบน้ำแล้วแฟนแกล้งเปิดประตูดึงเอาผ้าขนหนูไปซ่อนแล้วหัวเราะสนุกกับชัยชนะ ทำไมผมนึกถึงเรื่องนี้แล้วต้องยิ้ม ทำไมน้ำตาถึงไหลออกมา ผมร้องไห้อยู่ตรงนั้นไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปกี่ชั่วโมงจนกระทั่งเก็บของเสร็จ ผมกอดภาพความทรงจำเหล่านั้นไม่อยากไปไหน แต่แล้วก็เจอกับไดอารี่เล่มหนึ่งที่เเฟนผมซ่อนไว้ เธอเขียนเกี่ยวกับช่วงเวลาต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นวันที่ทะเลาะกัน วันที่ผมเผชิญกับเเรงกดดันมากมายจนทำให้เธอเป็นห่วง ท้ายบันทึกของวันจะเขียนข้อความสั้น ๆ
*สู้ไปด้วยกันนะ*
*รู้นะว่าตัวร้องไห้ แต่เราจะผ่านไปด้วยกัน*
*รักตัวที่สุด ไอ้อ้วน สู้ ๆ นะ*
*เป็นห่วง อย่ากินกาเเฟที่มีครีมเทียมเยอะ เดี๋ยวจะหายใจไม่ออกอีก*
*ใส่เเว่นตอนทำงานด้วยนะอ้วน เปนห่วง*
*วันไหนที่อ้วนกังวลให้นึกถึงรอยยิ้ลตั้ลล้ากของเค้านะ เค้าจะเป็นกะละมังใจให้อ้วนเสมอ อย่าหักโหมทำงานจนนอนดึกนะ*
*วันไหนร้องไห้ก็ร้องไห้มันสุดปอด เเล้วฮึดสู้ต่อ เราจะดูแลอ้วนเอง*
น้ำตาหยดลงไปยังสมุดไดอารี่ ตัวข้อความที่เขียนด้วยปากกาเริ่มเกิดปฏิกิริยา แผ่นกระดาษนูนขึ้น หมึกที่ขีดเขียนค่อย ๆ จางลงตามคราบน้ำตา
เราเคยสัญญาว่าจะดูแลซึ่งกันและกัน วาดฝันอนาคตที่ยังมาไม่ถึงด้วยแผนการที่เป็นไปได้มากมาย แต่สุดท้ายสิ่งเหล่านี้กลับพังทลายลงดึงดิ่งให้จมกับความเศร้าโศก แผลใจถูกผู้ใหญ่บดขยี้ ซ้ำเติม ถากถาง เชือดเฉือนให้บาดลึกยิ่งขึ้นไปอีก
โลกใบนี้มันบัดซบสิ้นดี ไม่อยากอยู่อีกต่อไปแล้ว
ผมตัดสินใจกระทำบางอย่างด้วยหัวใจที่เด็ดเดี่ยว ก่อนจะทำเรื่องดังกล่าวเดินทางไปยังตลาดที่แฟนชอบไป คิดจะจดจำภาพสุดท้ายก่อนจากไป เดินทางท่ามกลางสายฝนพรำตอกย้ำอารมณ์เศร้าหมองให้ชัดเจนขึ้นไปอีก หน้าตลาดเป็นสี่แยกติดไฟจราจรทั้งสี่ด้าน ผู้คนขับขี่รถไปมา บางครั้งรถก็ติดเป็นแถว ผมขี่รถจักรยานยนต์คันเก่าที่ยังไม่ผ่านการซ่อม เผยให้เห็นร่องรอยบาดแผลที่เกิดจากการถูกชน แต่ยังคงโลกแล่นไปได้อยู่ คนขี่ไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไร ตอนนั้นรู้สึกโดดเดี่ยว เหงา เศร้า หลากหลายอารมณ์ปะปนกันไป
รอยครูดยาวสี่เมตรตรงสัญญาณไฟจราจรเป็นดั่งมีดกรีดแผลใจระหว่างรอสัญญาณไปสีเขียว ตลาดอยู่เบื้องหน้าเพียงแค่ข้ามไปอีกฟากฝั่ง น้ำตาผมไหลปะปนไปกับสายฝนพรำสายตาพร่าเลือนมองไม่ค่อยเห็นทัศนีภาพเบื้องจึงไม่รู้ว่าขณะนี้ไฟเขียวหรือยัง
ปริ้น ๆ เสียงบีบแตรไล่ดังขึ้นพร้อมกับเสียงชายคนหนึ่งตะโกน
“ไฟเขียวแล้วไอ้หนุ่ม!” ชายคนนั้นไม่พูดเปล่าบิดคันเร่งออกตัวไปพร้อมกับคนอื่น ๆ ขณะนั้นเองผมกำลังจะบิดคันเร่งเพื่อข้ามไปยังอีกฟาก
“อ้วนหยุด!” เสียงที่คุ้นเคยจนทำให้ตัวผมชะงักการกระทำทุกอย่างโดยไม่ต้องใช้สมองสั่งการ ความรู้สึกเหมือนลำตัวของใครบางคนกอดแน่นหวังเหนี่ยวรั้งไว้ แต่เสียงนั้นก็หายไปพร้อมกับเสียงโครมสนั่น แตรรถบีบสะเปะสะปะหลากหลายคน เสียงร้องด้วยความเจ็บปวด เสียงโหยหวน เสียงก่นด่าสาปแช่งดังระงม
รถบรรทุกขนาดใหญ่คันหนึ่งฝ่าไฟแดงลื่นไถลพุ่งชนผู้คนเบื้องหน้าผม ภาพในอดีตซ้อนทับอีกครั้งพร้อมกับเสียงตะโกนลั่นราวกับคนบ้า ผมพึ่งสูญเสียสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตไปกลับต้องมาเห็นภาพแห่งการสูญเสียอีกครั้ง ชายหญิงหลายคู่ที่ขี่รถจักรยานยนต์ต่างถูกชนกระจัดกระจาย เศษชิ้นส่วนอวัยวะปะปนกับเศษซากรถกระจัดกระจายเกลื่อนกลาด กลิ่นคาวเลือดทำให้ผมขาอ่อนล้มลงพร้อมกับรถจักรยานยนต์ เบื้องหน้าคือความเจ็บปวด คือความสูญเสีย ผมตะโกนลั่นรู้สึกราวกับว่าศีรษะจะระเบิด
“ทำไมไม่ใช่กูวะ ทำไมกูถึงรอดอีกแล้ววะ!” เสียงแห่งความปวดร้าวตะโกนโดยไม่อายใครปะปนกับเสียงร้องระงมบนถนน
“อยู่เพื่อเรานะอ้วน!” เสียงอันคุ้นเคยดังกึกก้องทำให้การกระทำทุกอย่างของผมหยุดชะงัก ผมลุกยืนถอดหมวดกันน็อกทิ้ง มองไปรอบทิศเพื่อหาที่มาของต้นเสียงแต่ก็ไม่เจอสิ่งที่ตามหา ผมแหงนหน้ามองท้องฟ้ามืดครึ้มที่มีสายฝนเทลงมาไม่หยุดหย่อน เมื่อครู่คือเสียงของแฟนผมไม่ผิดแน่ เป็นเสียงแสดงความเป็นห่วงและการบอกลาในคราเดียวกัน
“ทำไม! ทำไมไม่ปล่อยให้รถชนเค้า เราสองคนจะได้อยู่ด้วยกันไง” ผมเอื้อนเอ่ยหวังจะได้รับคำตอบกลับมา แต่สิ่งที่ปรากฏคือความเงียบ พลันข้อความในใดอารี่ของแฟนก็หลั่งไหลเข้ามา
*วันไหนร้องไห้ก็ร้องไห้มันสุดปอด เเล้วฮึดสู้ต่อ เราจะดูแลอ้วนเอง*
......................................................
ปกจาก canva