อาหารมื้อสุดท้าย
อาหารมื้อสุดท้าย
โดย : อักษราลัย
ผมเหลือบสายตาไปมองอาหารตรงหน้าอย่างครุ่นคิด มื้อนี้ผมได้อาหารพิเศษที่ดีกว่ามื้อปกติทั่ว ๆ ไป เพราะอาหารจานนี้จะคือ "อาหารมื้อสุดท้าย" ในการมีชีวิตอยู่ของผม ผมนั่งกอดเข่าอยู่บนพื้นที่เย็นยะเยือกจนหนาวไปจับขั้วหัวใจ ครุ่นคิดไปต่าง ๆ นานา กับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาปีกว่าที่ผ่านมา โดยเฉพาะสาเหตุที่ทำให้ผมต้องมานั่งจับเข่าอมทุกข์อยู่หลังลูกกรงตรงนี้ ยิ่งคิดน้ำตาก็ยิ่งไหล ผมไม่ได้เสียใจกับการตัดสินของศาล ใจผมอยากใหมันเกิดขึ้นเร็วกว่านี้เสียด้วยซ้ำ ผมจะได้ไปทำในสิ่งที่ผมต้องการทำ แต่ผมจะมีโอกาสได้ทำไหม ในเมื่อผมมันเลว ส่วนคนที่ผมต้องการขอโทษนั้นดีแสนดีแถมยังมีพระคุณต่อผมอย่างมากอีกด้วย
ยาย "ดี" เป็นยายแท้ ๆ ที่เลี้ยงผมมาตั้งแต่ผมเลิกกินนมจากเต้า แม่ทิ้งผมไว้ให้ยายเลี้ยงก่อนจะหายไปแล้วไม่ส่งข่าวใด ๆ กลับมาอีกเลย ผมรู้ข่าวแม่จากการพูดคุยค่อนแคะนินทาจากญาติข้างพ่อที่อยู่คนละหมู่บ้าน และเจอกันกับผมตามงานวัดต่าง ๆ แรก ๆ ที่ผมได้ยินเรื่องราวต่าง ๆ จากปากของคนเหล่านั้น ผมหยุดยืนฟังด้วยความสนใจ เพราะอยากรู้จักแม่ของผม ผมรักแม่ แม้แม่จะไม่เคยหวนกลับมาหาผมอีกเลยก็ตาม ยายบอกว่าแม่มีผัวใหม่และส่งเงินมาให้ยายเพื่อเป็นค่าเลี้ยงดูผม ส่วนคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อของผมน่ะเหรอ ผมจำภาพได้เพียงชายหนุ่มที่ดูแก่กว่าอายุจริง ขี้เหล้าเมาหยำเปอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เดินส่ายไปส่ามาเหมือนงูเลื้อยระหว่างร้านค้าที่บังเอิญมีร้านเดียวและตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างสองหมู่บ้าน สถานที่เปรียบเสมือนแหล่งพบปะพูดคุยทักทายและทำความรู้จักของคนทั้งสองหมู่บ้าน เป็นที่สร้างตำนานรัก และตำนานร้างของคนทั้งสองหมู่บ้านมาเนิ่นนาน
ตอนยังเด็กเมื่อผมเจอเขาคนนั้นผมจะยืนหลบอยู่หลังต้นไม้ใหญ่หน้าร้าน รอจนกระทั่งแน่ใจว่าเขาเดินไปแล้ว จึงออกมาซื้อของตามที่ยายสั่งมา ทั้ง ๆ ที่ยายก็ไม่เคยกีดกันการพบปะของผมกับเขา ยายยังเล่าถึงประวัติรักอันฉาวโฉ่ของแม่กับชายคนนั้นให้ผมฟังด้วยซ้ำไป แต่ทำไมผมถึงไม่อยากเจอชายคนนั้นก็ไม่รู้ ยายเล่าให้ผมฟังว่า แม่เป็นคนสวยเป็นที่หมายปองของชายทั้งสองหมู่บ้าน เรียกว่ามีคนมาจีบแม่จนหัวบันไดไม่แห้งตั้งแต่แม่มีอายุเพียงสิบสี่ปีเท่านั้น ชายคนนั้นมีภาษีดีกว่าใครในบรรดาชายทั้งหมดในสายตาของแม่ เพราะเป็นรุ่นพี่โรงเรียนเดียวกันและยังเป็นลูกของผู้ใหญ่บ้าน เมื่อความรักสุกงอมหญิงชายที่ใกล้ชิดกันเหมือนไฟกับน้ำมันมีหรือจะไม่ลุกติดพรึบ สุดท้ายแม่ก็ท้องขึ้นมาประจานความรักที่ญาติผู้ใหญ่ฝ่ายไม่ต้องการ ยายนั้นไม่ได้มีปัญหาอะไรกับรักครั้งนี้ของแม่ แต่ฝ่ายเขาคนนั้นน่ะสิที่มองว่าแม่คือตัวถ่วงความเจริญของลูกชายคนเดียว การตามมาด่าทอถึงหน้าบ้าน ทำให้แม่อับอาย แค้นเคืองจนประกาศตัดขาดกับเขาคนนั้น และคลอดผมออกมาตามลำพัง จนเมื่อผมอดนมแม่ก็หายไปและไม่เคยกลับมาอีกเลย ส่วนเขาคนนั้นผมโกรธจนไม่อยากให้อภัยนั่นคือเหตุผลที่ผมไม่เรียกเขาว่า "พ่อ" เพราะเขาไม่ยอมปกป้องแม่ซึ่งคือคนรักของเขา ผมเชื่อว่าถ้าเขาทำแม่จะยังอยู่กับผม เราจะได้อยู่กันเป็น "ครอบครัว" ไม่ได้บ้านแตกแยกกันอยู่คนละทิศละทางแบบทุกวันนี้หรอก แม้จะรู้ว่าเขาเองก็เสียใจมากจนเสียผู้เสียคนกินเหล้าเมามายและไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนอีกเลย แต่ผมก็ไม่อาจอภัยให้เขาได้ ผมไม่รู้หรอกว่านิสัยแบบนี้ของผมมาจากเขาหรือแม่ แต่เรื่องความใจแข็งใจเด็ดนั้นผมเป็นมาตั้งแต่เล็ก ๆ แล้ว
ยายบอกเสมอว่าผมเป็นคนดื้อเงียบ เจ้าคิดเจ้าแค้น โมโหร้าย ซึ่งเป็นนิสัยที่ถอดแบบมาจากแม่แบบถอดพิมพ์ออกมาทีเดียว เมื่อปีที่แล้วอยู่ ๆ ผมก็เบื่อการเรียน ไม่อยากทำอะไร บางคนว่าแบบนี้คืออาการของคนเป็นซึมเศร้า แต่ผมไม่รู้หรอกว่าผมเป็นไหม ผมรู้แค่ว่าตั้งแต่ที่ผมรู้ข่าวล่าสุดของแม่ว่าแม่มีผัวฝรั่ง และจะเดินทางไปอยู่ออสเตรเลียกับผัว เส้นใยบาง ๆ ของความมีกันและกันของกับแม่มันคงขาดผึงลงเมื่อผมได้ยินถ้อยคำนั้นจากปากของป้าซึ่งเป็นพี่สาวของพ่อในวันนั้นที่ร้านค้า
"แม่มึงมีผัวใหม่เป็นฝรั่ง เขาจะไปอยู่สุขสบายที่เมืองนอก มึงมันก็แค่ลูกที่เขาไม่ต้องการละวะ อย่ามาทำผยองตีสีหน้าใส่กู ไอ้ลูกไม่มีพ่อไม่มีแม่" ผมกำหมัดแน่นกับถ้อยคำนั้น อยากจะเหวี่ยงไปบนใบหน้าที่แสนน่าเกลียดนั้นเหลือเกิน แต่ก็ไม่กล้า ได้แต่เดินหนีกลับมาร้องไห้ที่บ้าน และนับตั้งแต่วันนั้นผมก็ไม่เคยไปที่ร้านค้านั้นอีกเลย ยายต้องใช้โทรศัพท์โทรไปสั่งของที่ต้องการแล้วให้คนเอามาส่งให้ เพราะไม่ว่าจะทำยังไงผมก็ไม่ยอมไปที่นั่นอีก ยายได้แต่ส่ายหัว
"มันจริงใช่ไหมครับยาย ที่ยายดาปากตลาดคนนั้นพูด" ผมกลับมาถามยายในวันนั้น คาดคั้นด้วยสีหน้า ก่อนที่ยายจะพยักหน้าแล้วตอบผมกลับมา
"ใช่แล้วลูก ตอนนี้แม่เขาท้องได้สองเดือนแล้ว เลยต้องรีบเตรียมตัวเดินทางไปอยู่กับทางนั้น ก่อนที่ท้องจะโตไปมากกว่านี้ แต่ดรีมไม่ต้องห่วงหรอกนะ แม่เขาฝากเงินเข้าบัญชีไว้ให้ดรีมทุกเดือน เงินนั้นมีพอให้ดรีมเรียนได้จนจบมหาลัยนะ เห็นแม่เขาว่าอย่างนั้น"
หลังจากวันที่ผมรู้ตัวว่าไม่เป็นที่ต้องการของแม่อีกต่อไป เส้นใยที่เคยยึดโยงความรักที่ผมมีให้กับแม่ที่มันบางเบาดุจสายไหมก็ขาดสะบั้นลงจนต่อไม่ติด เพราะผมไม่เคยคิดอยากจะต่อมันอีกต่อไป ผมไม่ยอมไปโรงเรียน ทำตัวเฉื่อยชา ไม่อยากทำอะไร วัน ๆ เอาแต่อยากนอน และคิดอยากตาย เปิดเฟซผ่านตาเจอว่าคืออาการของคนเป็นโรคซึมเศร้า ผมลองกดตามลิงก์ไปตรวจสอบอาการของตนเองเบื้องต้นดู ปรากฏว่าในเก้าอาการนั้นผมมีมันครบทุกข้อ ตั้งแต่ รู้สึกเศร้า หดหู่ ท้อแท้ แอบร้องไห้ บางครั้งก็หงุดหงิดแบบไม่มีสาเหตุ เลิกสนใจในการไปโรงเรียน แม้เพื่อน ๆ จะคอยมาชวนแต่ผมก็อยากไป ไม่อยากเจอใคร ไม่อยากทำอะไร เบื่ออาหาร น้ำหนักลดจนผอมลงไปกว่าเดิม กลางคืนก็นอนไม่หลบจนบางครั้งก็มีอาการหลอน ๆ คิดไปว่าแม่กลับมา มองยายเป็นแม่จากรูปถ่ายใบเดียวที่ผมมีติดกระเป๋าและหยิบมันขึ้นมาดูจนนับไม่ถ้วนจนขอบของภาพนั้นเปื่อยแทบจะลุ่ยหมดสภาพ อาการมากสุดของผมคือการอยากตาย ก็ในเมื่อผมเองก็ไม่ได้เป็นที่ต้องการของใครสักคนไม่ว่าจะเป็นพ่อหรือแม่ ผมจะอยากมีชีวิตอยู่ทำไม ส่วนยายนั้นก็แก่ลงทุกวัน ยายเคยรบเร้าให้ผมไปโรงเรียน ผมก็ผลักอกยายจนยายไปกระแทกเข้ากับผนังห้องจนไหล่หลุดต้องรักษาตัวไปนาน จนยายเข็ดไม่อยากยุ่งอะไรกับผมอีก
วันเลวร้ายนั้นเกิดขึ้นในวันที่ผมอดนอนมานานเกือบเดือน ไม่ใช่ว่าผมจะไม่นอนเลยนะ ผมแค่นอนได้แค่วันละสองสามชั่วโมงเท่านั้น แล้วผมยังริสั่งยาคลายเครียดจากในอินเทอร์เน็ตมากิน แม้ร่างกายของผมจะผ่ายผอมแต่ยังคงมีแรง เมื่อยายเดินเข้ามาในห้องคงเพราะได้ยินเสียงผมกรีดร้องสะบัดหัวไปมา จากอาการขาดยา ที่หาไม่เจอ ผมผลักยายออกไป ยายยังเดินมุ่งหน้าเข้ามาหาผม กอดผมไว้แน่นร้องไห้ปนสะอื้นถามผมเสียงสั่น
"ดรีม เป็นอะไรลูก เป็นอะไร" ผมผลักยายซ้ำ เมื่อยายเดินเข้ามาอีกรอบผมก็ขาดสติ บีบคอยายไปอย่างสุดแรงเกิดจนยายแน่นิ่งไป ก่อนจะผลักยายออกไปสุดแรงเกิดจนไม่ทันเห็นว่าหัวของยายไปกระแทกเข้ากับแง่งของมุมเสา เมื่อผมหามันจนเจอ ไอ้ยาคลายเครียดของผมที่ใคร ๆ เรียกกันว่า "ยาบ้า" มันหล่นอยู่ข้างที่นอนของผมนั่นเอง ผมมีสติอีกครั้งหลังจากเสพยานั้นเข้าไปแล้ว เข้าไปหายาย คลำดูที่หัวยายมีเลือดออกจากการที่ผมผลักยายไปกระแทกเข้ากับร่องของเสาบ้าน
น้ำตาผมไหลอาบแก้มเมื่อได้สติคืนกลับมา นี่ผมทำอะไรลงไป ยาย "ดี" ผู้แสนดีของผมที่เลี้ยงดูอุ้มชูผมมาตั้งแต่แบเบาะ มอบความรักให้ผม เลี้ยงดูผมมาอย่างดียุงไม่ให้ไต ไรไม่ให้ตอม แล้วนี่ผมทำอะไรลงไป
"ยาย ๆๆ ยายครับ ลุกขึ้นมาคุยกับผมก่อน" เสียงร้องไห้โฮของผมทำให้เพื่อนบ้านวิ่งเข้ามาดูว่าเกิดอะไรขึ้น และเรื่องทั้งหมดนี้แหละคือที่มาของ "อาหารมื้อสุดท้ายของผม" ในวันนี้
ผมไม่เสียใจเลยสักนิดที่คำตัดสินนั้น กับบาปที่ผมได้กระทำลงไป ผมเสียใจอยู่อย่างเดียวว่า หลังอาหารมื้อสุดท้ายนี้ ผมจะได้พบกับยายไหม คนเลวอย่างผมคงไม่มีวันบรรจบพบเจอกับยายอีกแล้ว ยาย "ดี" ผู้แสนดีของผม…>>
ที่มา: