1 ในสยาม
หลวงปู่ศุข กับวิชาหัวใจของธาตุทั้ง ๔
หลวงปู่ศุข นั้นถือได้ว่าเป็นปรมาจารย์ทางด้านไสยเวทย์วิทยาคุณที่มีความเชี่ยวชาญและทรงอภิญญาอย่างเอกอุ ความแคล่วคล่องในการกำหนดจิตของท่านที่เรียกว่า ‘วสี’ นั้นท่านทำได้อย่างชำนิชำนาญจนสามารถแสดงฤทธิ์ต่าง ๆ ได้อย่างน่าอัศจรรย์ภายในเวลาไม่กี่นาที
ด้วยคุณวิเศษอย่างนี้เองที่ทำให้พระภิกษุในสมัยนั้น รวมถึงฆราวาสที่นิยมขลังต่างเดินทางมุ่งหน้าไปถวายตัวเป็นศิษย์กันมากราย แล้วก็มีทั้งผู้ที่เรียนได้สำเร็จ ซึ่งก็แบ่งเป็นทั้งสำเร็จมากและสำเร็จน้อย รวมถึงที่เรียนไม่สำเร็จเลยก็มี
หลวงพ่อหน่าย อินทสีโล วัดบ้านแจ้ง ต.หันสังข์ อ.บางปะหัน จ.พระนครศรีอยุธยา เคยเล่าว่าเมื่อครั้งไปศึกษาวิชากับหลวงปู่ศุข ได้พบเห็นคนมาเรียนกับหลวงปู่มากมายซึ่งมีทั้งพระและโยม ในจำนวนคนที่มานั้น ๑๐ คน จะเรียนได้สัก ๑ หรือ ๒ คนก็นับว่ามากแล้ว
เพราะหลวงปู่ท่านมีวิธีทดสอบจิตผู้มาเรียนที่น่าเกรงกลัวมาก กล่าวคือ ท่านจะให้ศิษย์นำไม้ไผ่ลำต้นใหญ่พอที่คนจะปีนได้มาปักลงกับลานดิน ทำหลักให้แน่นหนามั่นคง ไผ่ลำนี้จะสูงมากและตอนบนสุดจะตัดเป็นปล้องไว้คล้ายกระบอกข้าวหลาม ศิษย์คนหนึ่งจะปีนขึ้นไปบรรจุน้ำมันในกระบอกด้านบนจนเต็มแล้วค่อยลงมา
ตอนนี้แหละ ที่หลวงปู่จะให้คนที่มาขอเรียนท่องคาถาสี่ตัว คือ นะ มะ พะ ทะ ซึ่งก็คือหัวใจของธาตุทั้ง ๔ จากนั้นก็จะให้ปีนขึ้นไปให้ถึงยอดเสา เมื่อกลับลงมาได้แล้วจึงจะถ่ายทอดวิชาชั้นสูงต่อไปให้
เรื่องแค่นี้ไม่เห็นจะยาก
เมื่อผู้มาเรียนตั้งหน้าปีนขึ้นไป แรก ๆ ก็ไม่มีอะไร ต่อเมื่อขึ้นถึงกลางลำแล้วความมั่นคงของต้นไผ่ก็น้อยลง ไผ่ทั้งต้นก็เริ่มโอนเอนและสะเทือน แล้วน้ำมันที่บรรจุไว้ก็จะกระฉอกออกมา พอคนปีนขึ้นไปสัมผัสกับน้ำมันก็จะลื่นพรวด ๆ ลงข้างล่าง
ถึงตรงนี้แหละที่น่ากลัว เพราะหลวงปู่จะยืนถือหอกใบพายอยู่ด้านล่างรอท่า พอคนปีนไหลลงมาถึงท่าน ท่านก็จะเอาหอกแทงก้นให้กลับขึ้นไป หล่นก็จะหล่น เจ็บก้นกลัวจะทะลุก็กลัว จึงเกิดโกลาหลกันล่ะสิ พยายามปีนขึ้นไปก็ร่วงลงมา ลงมาแล้วก็ถูกแทงอีก อาการที่เรียกว่ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกก็เกิด ทีนี้จะทำอย่างไร
ผู้มาเรียนนั่นแหละต้องเอาตัวเองเป็นที่พึ่ง ทำอะไรไม่ได้ก็ต้องว่าคาถาสี่คำคือ นะ มะ พะ ทะ รัวเป็นไฟ กำหนดจิตให้แนบแน่นอยู่กับคำบริกรรม กดจิตนิ่งอยู่อย่างนั้นเพราะทำอะไรอย่างอื่นไม่ได้แล้ว เรื่องข้างนอกต้องปล่อยทิ้งทีเดียว แล้วคว้าจิตไว้เป็นเอก ทำจิตให้เป็นหนึ่งเดียว
ตอนนี้เองที่เมื่อจิตเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับคำบริกรรมแล้ว พระคาถาทั้งสี่ที่ถือได้ว่าเป็นแม่ธาตุใหญ่ก็สำแดงปาฏิหาริย์ เพราะเป็นต้นธาตุอยู่แล้ว ก็บันดาลให้ธาตุดินคือเนื้อหนังมังสาที่บอบบางฉีกขาดง่าย เกิดเหนียวหนับราวกับยางรถสิบล้อ คมหอกที่หลวงปู่ทิ่มแทงก็ไม่ทำให้ได้รับความเจ็บปวดสาหัส และคมหอกนั้นก็ไม่สามารถทะลุหนังบาง ๆ ที่ถูกคุ้มด้วยพระเวทย์ศักดิ์สิทธิ์ผนวกกับจิตที่มั่นคง
เมื่อได้อย่างนี้แล้วหลวงปู่ท่านจึงถือว่าสอบผ่านในขั้นต้น
นี่คือการทดลองอำนาจจิตของผู้มาเรียนว่ามีพื้นฐานดีหรือไม่อย่างไร เป็นอุบายที่แยบยลยากที่จะเข้าใจท่านได้ในทีแรกว่าท่านให้ทำอย่างนี้เพื่ออะไร
ทำให้ผมนึกถึงคุณพ่อชุม ไชยคีรี ที่เมื่อครั้งนำศิษย์ไปมัดไว้กับต้นไม้ในป่าช้าแล้วให้ภาวนาสะเดาะเชือกที่พันธนาการออกเอง ด้วยจิตที่หวาดกลัวของศิษย์ซึ่งต้องการออกไปให้พ้นสภาพนั้นโดยเร็วก็ไม่สนใจกับอะไรอีกแล้ว ตั้งหน้าภาวนาแต่คาถาสะเดาะเชือกกระทั่งเชือกหลุดลุ่ยออกเองได้อย่างน่าอัศจรรย์
เรียกว่าได้สมาธิเพราะอาศัยกลัวเป็นเหตุ
จึงคิดได้ว่าทำไมพระพุทธองค์จึงสั่งหมู่พระภิกษุว่า โน่นป่าช้า โน่นภูเขา เงื้อมผา ถ้ำใหญ่น้อย เป็นที่สงัดวิเวก ภิกษุทั้งหลายเธอจงไปอยู่สถานที่อย่างนั้น
เพราะสถานที่น่ากลัวดังกล่าว ทำให้จิตไม่กล้าแส่ส่ายออกไปหาอารมณ์อะไร นอกจากเมื่อกลัวแล้วก็ต้องหันกลับมาพึ่งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พึ่งตัวเองด้วยการบริกรรมอยู่แต่ภายในกายในจิต นับเป็นกุศโลบายที่ได้ผลอยู่ทุกกาล ทุกสมัยโดยแท้
ในจำนวนผู้ที่เรียนวิชาได้สำเร็จนั้นตามคำบอกเล่าที่สืบทอดกันมาถึงหลวงพ่อมหาโพธิ์ ญาณสังวโร วัดสุวรรณโคตมาราม (วัดคลองมอญ) อ.วัดสิงห์ จ.ชัยนาท ท่านบอกว่า การศึกษาวิทยาคุณในสำนักหลวงปู่ศุขนั้นท่านแบ่งลำดับชั้นแห่งความสำเร็จใน ‘สูตร’ ออกเป็น ๔ ระดับ
ด้วยหลวงปู่ศุขท่านมีตำรับแห่งวิทยาคุณมากมายให้ศึกษาและสั่งสอน หากการจะรู้ว่าใครสำเร็จขั้นใดนอกจากองค์หลวงปู่เองแล้วก็คงมีเพียงผู้สำเร็จเองเท่านั้นที่จะบอกได้ว่าตนก้าวหน้าไปถึงไหน และหลวงปู่ศุขท่านได้แบ่งลำดับวิชาออกเป็น ๔ คัมภีร์ คือ
อิ ติ ปิ โส
หลวงพ่อมหาโพธิ์เล่าว่าองค์หลวงปู่ศุขนั้นท่านสำเร็จทั้งสี่ตัว กรมหลวงชุมพรเขตต์อุดมศักดิ์สำเร็จสองตัว คือ อิ ติ ว่ากันว่าเพียงสำเร็จตัว อิ เพียงตัวเดียวก็สามารถแสดงฤทธิ์ได้เป็นที่น่าเลื่อมใสยิ่งนัก
หลวงปู่ศุขมีพระภิกษุคู่บารมีอยู่สองรูป รูปหนึ่งถือเป็นมือขวาเลยทีเดียวท่านชื่อว่า พระสมุห์กลับ แสงเขียว วัดดอนตาล อ.วัดสิงห์ จ.ชัยนาท อีกรูปหนึ่งถือเป็นมือซ้ายชื่อ พระใบฎีกาบุญยัง คังคสโร วัดหนองน้อย อ.วัดสิงห์ จ.ชัยนาท
อันพระสมุห์กลับ แสงเขียว นั้นเป็นพระที่ทรงอิทธิฤทธิ์มาก สามารถแสดงอำนาจให้ปรากฏได้อย่างน่าทึ่ง เป็นที่เชื่อมั่นกันว่าท่านต้องสืบทอดทุกสิ่งแทนองค์หลวงปู่ศุขได้แน่นอน หากหลวงปู่ละสังขารไปแล้ว
แต่เรื่องกรรมวิบากเป็นสิ่งที่คนธรรมดาไม่อาจรู้ได้ ด้วยเหตุใดไม่ปรากฏ ทำให้พระสมุห์กลับต้องลาสิกขาบทออกมาเป็นฆราวาสทั้ง ๆ ที่อนาคตในร่มกาสาวพัสตร์ยังเรืองรองอยู่ในสายตาของทุกคนที่รู้จักท่าน
แต่ใช่ว่าเมื่อสึกแล้วจะไม่ขลัง ท่านยังท่องบ่น ทบทวนและทดสอบวิชาของท่านอยู่เสมอ ทำให้ท่านมีศิษย์ไม่ใช่น้อยแม้เป็นฆราวาสแล้วก็ตาม
ในส่วนของหลวงพ่อบุญยัง วัดหนองน้อย ท่านสามารถดำรงสมณเพศได้จนสิ้นอายุ หลวงพ่อมหาโพธิ์เล่าว่าหลวงพ่อบุญยังนั้นสำเร็จวิชาจากหลวงปู่ศุขเกือบสองตัว คือ อิ กับ ติ แต่ยังไม่ทันได้จบคัมภีร์ ติ ท่านก็มรณภาพจากไปก่อนด้วยชนมายุเพียง ๕๕ ปี
ขนาดนั้นก็ยังแสดงอภินิหารให้ปรากฏจนหลวงพ่อมหาโพธิ์ให้ความยอมรับนับถือเลื่อมในอย่างถึงใจ หลวงพ่อบุญยังเป็นทั้งอาจารย์และลุงของหลวงพ่อมหาโพธิ์ ท่านจึงถ่ายทอดวิชาให้อย่างไม่ปิดบังอำพราง และแสดงฤทธิ์ต่าง ๆ ให้ดูเป็นกำลังใจในการเรียนเสมอ
เช่น คราวหนึ่ง ท่านให้หลวงพ่อมหาโพธิ์นำโหลแก้วอย่างที่เขาใส่ยาดองมาบรรจุน้ำให้เต็ม แล้วท่านปั้นเศษเทียนขี้ผึ้งเป็นลูกกลม ๆ อย่างลูกอม ท่านถามหลวงพ่อมหาโพธิ์ว่าลูกเทียนนี้เมื่อใส่น้ำแล้วจะลอยหรือจม หลวงพ่อมหาโพธิ์ท่านเห็นเทียนจนคุ้นชิน รู้คุณสมบัติของมันดี จึงตอบไปว่า ลอยครับ
หลวงพ่อบุญยังท่านก็แล้วหย่อนลูกเทียนลงไปในน้ำ ปรากฏว่าลูกอมเทียนนั้นจมดิ่งดังจ๋อมราวกับมีน้ำหนักมากเหลือประมาณ เมื่อจมถึงก้นโหลหลวงพ่อบุญยังก็นั่งบริกรรมเพียงครู่เดียวก้อนเทียนนั้นก็ลอยฟ่องขึ้นมาที่ผิวน้ำ จากนั้นท่านก็ชี้ไปที่ก้อนเทียนบังคับให้ลอยขึ้นลงไปมาตามนิ้วที่ท่านชี้
ที่สุดก็บังคับให้ลอยอยู่กลางโหล
เหตุนี้ทำให้หลวงพ่อมหาโพธิ์เลื่อมใสในวิทยาคุณและการฝึกจิต ทำให้ท่านมีศรัทธาที่จะร่ำเรียนจนได้วิชามาสงเคราะห์ศิษยานุศิษย์เป็นที่กว้างขวางกระทั่งถึงวันที่ท่านละสังขาร