ดาวกลางแดด
ดาวกลางแดด
โดย : อักษราลัย
‘มีใครบ้ามองหาดวงดาวกลางแดดร้อนยามเที่ยงวันแบบฉันบ้างไหม ในวันที่แสงแดดจ้ารุนแรงแม้แต่ไอเพียงน้อยนิดที่สาดมากระทบยังทำเอาแสบผิว แต่ฉันก็ยังรั้นเฝ้ามองแดดจ้าอยู่อย่างนั้น สายตามองฝ่าเปลวแดดระยิบระยับ มองทะลุข้ามก้อนเมฆสีขาวไปอย่างต้องการพิสูจน์ อยากเห็นดาวกลางแดดว่ามันส่องแสงได้จริงอย่างที่เคยอ่านเจอไหม ไม่ใยดีกับคำกล่าวที่ว่า ไม่อาจเห็นแสงของดาวในยามกลางวันได้ ก็เพราะมีแสงดวงอาทิตย์สว่างบนท้องฟ้าจนกลบแสงดาวไปหมด …’
…..
'ทำไม่ได้ ฉันทำไม่ได้ ดูคอมเมนต์พวกนี้สิ'
มือของสิตากวาดกระดาษที่เขียนบันทึกข้อความเรียงรางอยู่บนโต๊ะปัดทิ้งไปด้วยความพลุ่งพล่าน เหลือบตาอ่านความคิดเห็นที่มีต่องานเขียนในกลุ่มลับนักเขียน บนจอโน๊ตบุ๊ก
“งานยังไม่เป็นเรื่องสั้นด้วยซ้ำ”
“น่าเบื่อ ไม่มีจุดเด่นอะไรเลย”
“ภาษาก็พอใช้ได้ แต่ช่างราบเรียบเหลือเกิน”
“คาดหวังไว้มากกว่านี้นะ ขึ้นต้นมานึกว่าจะดุเดือด”
“พล็อตยังอ่อนไป ไม่น่าสนใจ”
เธอล้มตัวลงนอนเหยียดยาวบนเตียง มองผ่านประตูระเบียงออกไป ฟ้าดูเหงา ๆ แม้จะมีสีฟ้าเข้ม ๆ ระบายอยู่เต็ม กับก้อนเมฆขาว ๆ ที่ตัดกันอย่างสวยงามแบบที่ชอบ มองแหงนขึ้นไปบนท้องฟ้ายามเที่ยงวันที่มีเปลวแดดจ้าระยิบ นิ่งอยู่อย่างนั้นเนิ่นนานดั่งต้องมนต์กลายเป็นหุ่นยนต์ไร้ชีวิต ใจครุ่นคิดถึงแต่คำพูดเหล่านั้นที่วิจารณ์ผลงานของเธอ
“หรือเราไม่เหมาะกับการเป็นนักเขียน ทำได้แค่เป็นคนอยากเขียนรึเปล่า”
สิตาไม่อาจหาคำตอบให้ตัวเองได้ ตอนนี้เธอสับสนหนักมาก จะเดินหน้าต่อ หรือจะพอแค่นี้ เธอทำได้ดีพอรึยัง เหลือบมองกองกระดาษร่างงานบนพื้นที่กระจัดกระจายไปทั่ว เหมือนพวกมันกำลังยิ้มเยาะ เสียงหัวเราะเล็ก ๆ ที่ไม่มีจริงบาดลึกเต็มสองหู
“ดูสิ แม้แต่กระดาษพวกนี้ก็ยังคิดว่าฉันทำไม่ได้”
สิตานึกย้อนไปถึงวันที่ตัดสินใจ จากนักธุรกิจทำงานขายสินค้า ทั้งอสังหาริมทรัพย์ ตู้คอนเทนเนอร์ เธอตัดสินใจทิ้งทุกอย่างหันมามุมานะหัดเขียน โดยเริ่มจากการลงเรียนคอร์สต่าง ๆ จากครูสอนงานเขียนหลาย ๆ คน ยิ่งเรียนก็เหมือนถมไม่เต็ม เธอทำการบ้านครบทุกบทเรียนที่มีมาให้ทุกวัน แต่การทำครบไม่ได้หมายถึง “เก่ง” มันคือความ “ขยัน ตั้งใจ และมุ่งมั่น” นั่นเธอรู้ดี
ปีแรกผ่านไปด้วยการฝึกเขียน เขียน และเขียน เพื่อนหลายคนส่งงานเขียนเข้าประกวด และได้รับชัยชนะ เธอได้แต่ยินดีด้วยจากหัวใจ เธอไม่เคยอิจฉาเพื่อน ๆ เลยสักนิด หากแต่ก็ไม่กล้าพอที่จะส่งงานตัวเองเข้าไปประกวดกับเขาบ้าง เธอวางแผนว่าปีนี้ล่ะที่เธอจะเอาจริง เธอจะส่งงานเข้าประกวดในทุกที่เท่าที่จะทำได้
ตอนนี้เธอสงสัยเหลือเกินกับคำว่า “นักเขียน” ใครจะเป็นคนบอกได้ว่าเมื่อไหร่กันที่กลายเป็นนักเขียนแล้ว มีงานผ่านการประกวด เพื่อนนักเขียนยอมรับ หรือมีนักอ่านติดตาม หลายข้อที่กล่าวมาเธอเฝ้าวิเคราะห์ตัวเองดู แต่ละข้อนั้นเธอมีอย่างละนิดละหน่อย ความอยากเป็น กับ การเป็นจริง ๆ นั้นมีเส้นแห่งความเพียรพยายามกั้นอยู่ จะก้าวข้ามผ่านไปได้อย่างสวยสดงดงาม หรือสะดุดมันหกล้มหัวเข่าแตกถลอกก็สุดจะเดา
เธอเปิดดูหน้าผลการประกวดผ่านโปรแกรมเฟซบุ๊ก เป็นอีกรายการหนึ่งที่ส่งผลงานไปร่วมด้วยเป็นครั้งที่สามแล้ว ข้อความนั้นปรากฏผ่านสายตาว่า ‘จากต้นฉบับ 93 เรื่อง มีเรื่องผ่านรอบแรก 31 เรื่อง และรอบสุดท้าย 22 เรื่อง’ และแน่นอน ใน 22 เรื่องนั้นไม่มีเรื่องของเธอเช่นเคย
เช่นเคย เช่นเคย อะเกน และอะเกน มันช่างเป็นความคิดที่ชวนให้หดหู่ใจเหลือเกิน ถ้าเป็นเมื่อก่อนเมื่อรู้ผลแบบนี้ เธอจะจิตตกซึมเศร้าไปนานสองสามวันเลยทีเดียว ก่อนจะตั้งสติกลับมาเริ่มเขียนงานใหม่ได้อีกครั้ง แต่เดี๋ยวนี้เธอเริ่มชิน การเข้ารอบนั้นไม่ง่ายจากจำนวนผลงานที่ส่งเข้าไปในแต่ที่ บางที่มีถึงสามสี่ร้อยเรื่องเพื่อคัดเอาผลงานเพียงแปดชิ้นเท่านั้น และเช่นเคยหนึ่งในนั้นก็ไม่ใช่สิตา แต่วันนี้เธอกลับหมดแรงมากกว่าเดิม ใจเธอเริ่มถดถอย ท้อแท้ และรู้สึกสิ้นหวัง
ท้องฟ้ามืดแล้ว รัตติกาลเข้ามาเยือนตามเวลาอย่างที่เคย พระจันทร์นวลโผล่พ้นเพียงปลายต้นไม้ใหญ่ สิตาเดินออกไปนั่งที่ระเบียง เธอต้องการเวลาคิด สองปีกว่าแล้วที่เธอมุ่งมั่นสู่เส้นทางของการเป็นนักเขียน ทิ้งทุกอย่างเพื่อทุ่มเทเวลาให้กับการเขียนอย่างมุ่งมั่น เขียน เขียน และเขียน ในทุกวัน
“แค่มุ่งมั่นอาจยังไม่พอ หรือการเป็นนักเขียนต้องการพรสวรรค์”
แสงจากดวงดาวระยิบระยับพร่างพราวอยู่บนท้องฟ้า สิตายืนมองอย่างสนใจ
“ฉันเป็นเหมือนดวงดาวเหล่านี้ไหมนะ หรือเป็นแค่เพียงสายลม มีอยู่แต่จับต้องไม่ได้ ไม่เห็นแม้แต่รูปทรง”
สิตาหันเดินกลับเข้ามาในห้อง หยิบเอากระดาษบันทึกการเขียนพวกนั้นใส่แฟ้ม แล้วเปิดลิ้นชักโต๊ะทำงานออกมา เตรียมเก็บซุกฝันนั้นไว้ในลิ้นชักเหมือนเคย เหมือนเมื่ออดีต อย่างน้อยก็ปลอดภัย จะไม่มีใครมาวิจารณ์งานของเธออีก ไม่ต้องจิตตกเวลางานไม่ผ่านการประกวดตามเวทีต่าง ๆ มันควรเป็นแบบนั้นใช่ไหม เพราะเธอในตอนนี้นั้นไม่ต่างจากดวงดาวที่อยู่กลางแดดจ้าเลยสักนิด ไม่มีแสงพราวส่องให้ใครเห็น ไม่มีใครรู้ว่าเธออยู่ตรงนี้ เธอไม่อาจส่องประกายวับแวมให้ใครสัมผัสได้
“พอกันที ฉันยอมแพ้” สิตาคิดอย่างปลงตก
เดือนกว่าแล้วที่สิตาไม่ยอมขีดเขียนงานอย่างเคย บันทึกข้อความสำหรับงานเขียนถูกปล่อยทิ้งอย่างเงียบเหงาภายในลิ้นชักอย่างวังเวง เธอเอาแต่ดูซีรี่ส์อย่างเอาเป็นเอาตาย และหันไปมุ่งมั่นทำธุรกิจเหมือนเดิม แน่นอนเธอมีรายได้จากการทำงาน แต่หัวใจมันเหี่ยวเฉาเหลือเกิน รู้สึกถึงความเหงา เหมือนขาดอะไรไป ชีวิตช่างหดหู่ สิ้นหวัง ท้อแท้ และเดียวดาย
สายวันนี้เธอออกมายืนมองท้องฟ้าที่ระเบียงห้องเหมือนเคย เมฆขาวหลายก้อนผ่านตามาให้มอง ให้คิดจินตนาการไปถึงรูปทรงว่าแต่ละก้อนนั้นเหมือนอะไร สิตาเคยนอนมองท้องฟ้าแบบนี้บนสนามหญ้าหลังโบสถ์ของโรงเรียนเมื่อตอนอยู่ชั้นประถม จำได้ว่ามีความสุข ไม่ต้องคิดอะไรมาก เช่นเดียวกับตอนที่เริ่มหัดขีดเขียน
ตอนนั้นเธอเขียนมันทุกวัน เขียนทุกเรื่องราว ในวันที่คิดจะเปิดเพจการเขียนในแนวให้กำลังใจคน ครูของเธอถามว่า “ทำไมจะต้องรอ จะทำตอนนี้เลยก็ได้”
แค่นั้นเองง่าย ๆ ที่ทำให้เธอเขียนเพจให้กำลังใจคน แม้จะมีแฟนเพจไม่มาก แต่เธอก็สุขใจ ทุกถ้อยคำที่ถักทอส่งความปรารถนาดีออกไป เมื่อได้รับคำชมกลับมา มันยิ่งกว่ารางวัลใด ๆ เพราะแค่เพียงหนึ่งคนที่อาจมีกำลังขึ้นจากงานเขียนของเธอแค่นี้ก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว แต่ตอนนี้เธอกลับหยุดทิ้งทุกอย่างไป นานเป็นเดือน ๆ เธอถามตัวเองต่อไปว่าอะไรกันแน่คือสิ่งที่เธอต้องการ
‘ใช่แล้วความสุขของฉันไม่ได้อยู่ที่รางวัล หรืออยู่ที่ฉันคือนักเขียนไหม ความสุขของฉันอยู่ที่การบรรจงถักทอตัวอักษร สระ และวรรณยุกต์ต่าง ๆ ให้ออกมาเป็นเรื่องราวต่างหาก ฉันคงไม่ต่างอะไรกับดาวที่อยู่กลางแดด คือสิ่งที่มีอยู่แต่ไม่อาจเห็นหรือรับรู้ได้ เพราะโดนบดบังจากแสงที่สว่างจ้าจากดวงอาทิตย์ แต่หากถูกที่ถูกเวลาดาวดวงนั้นก็พลันส่องแสงสกาว ดุจดวงดาวยามค่ำคืนได้ ขอเพียงแต่อย่าเลิกฉายแสงไปเสียก่อน ฉันได้คำตอบในใจแล้ว’
สิตายิ้มให้ตัวเอง ก่อนจะเปิดลิ้นชักขึ้นมาอีกครั้ง หยิบแฟ้มกระดาษบันทึกนั้นออกมา และครั้งนี้เธอจะไม่ยอมแพ้ กระดาษพวกนี้จะไม่มีวันถูกนำไปซุกเก็บในลิ้นชักอีกต่อไป สิตาสัญญากับตัวเอง ก่อนจะลงมือเคาะข้อความลงบนแป้นคีย์บอร์ด มองการกะพริบของเคอร์เซอร์อย่างสุขใจ
เรื่อง ดาวกลางแดด
โดย อักษราลัย
มีใครบ้ามองหาดวงดาวกลางแดดร้อนยามเที่ยงวันแบบฉันบ้างไหม ....
https://www.facebook.com/Auksaralai
https://www.facebook.com/AuksaralaiBook