ทำนาแล้วขาดทุน ทำไมไม่เลิกทำ?
ดร.แสวง รวยสูงเนิน ท่านเป็นอาจารย์ทางด้านการเกษตร เป็นผู้ที่มีส่วนผลักดันให้เกษตรกรหันมาทำการเกษตรแบบไร้สารเคมี
ท่านได้กล่าวไว้ในหนังสือที่ท่านเขียนว่า
"ผมสงสัยว่ากระดูกสันหลังของชาติอยู่ที่ไหน ผมไม่เคยเห็นเลย บัดนี้ผมยืนอยู่ที่นาก็เห็นแต่นา แต่ไม่มีชาวนา เห็นแต่คนที่ทำตัวเป็นขยะลอยตามน้ำ ตามกระแส แล้วยังเรียกตัวเองว่าเป็น ชาวนา
นี่แหละชะตากรรมของประเทศไทย"
อาจารย์แสวงยังสำรวจพบว่า ชาวนามานากันปีละ5-10วันเท่านั้น แถมยังมาแบบฉาบฉวยไม่ลงไปสัมผัสนาอย่างจริงจัง แล้วพวกเขาจะดูแลนาของเขาได้อย่างไร
พอไม่ได้วางแผนเตรียมการอะไร น้ำก็ไม่ทัน ดินก็ไม่ทัน กล้าก็ไม่ทัน จึงแก้ปัญหาด้วยการระดมแรงงาน ต้องใช้เงิน แล้วก็หนีไม่พ้นต้องไปพึ่งพานายทุนที่รอหาจังหวะอยู่แล้ว กลายเป็นที่มาของการขาดทุนทุกครั้งที่ทำนา
แม่ของผมจะยืนยันหนักแน่นเสมอว่า เราเป็นชาวนา เราต้องทำนา
แม้ผมจะพยายามแจกแจงว่าต้นทุนในการผลิตเราต้องลงอะไรไปเท่าไหร่บ้าง ทั้งค่าไถที่ ค่าเมล็ดพันธุ์ข้าว ค่าจ้างหว่าน ค่าแรงฉีดยาคุมรุ่นหญ้า ค่าน้ำมันเครื่องตัดหญ้าและเครื่องสูบน้ำ ค่าปุ๋นเคมี ค่ารถเกี่ยว รวมๆกันแล้วก็อยู่ราวๆ 3,600 บาทต่อไร่
ถ้าขายข้าวได้ตันละ 10,000 บาท ข้าวที่ได้ประมาณ 560 กก.ต่อไร่ ก็จะขายได้เงิน 5,600 บาท หักทุนแล้วก็จะเหลือกำไรเพียง ไร่ละ 2,000 บาท ซึ่งยังไม่คิดค่าแรงที่ชาวนาทำงาน
แต่ถ้าชาวนาขายที่ดินไปหมดแล้ว และต้องเช่าที่ดินทำนาก็จะต้องมีต้นทุนเพิ่มอีกอย่างน้อยไร่ละ1,000 บาท ซึ่งก็แทบไม่เหลือกำไรเลย
ดูจากผลตอบแทนแล้วก็คงไม่จูงใจให้ชาวนาอยากทำนาสักเท่าไหร่
แต่ทำไมขาดทุนแล้วจึงยังไม่ยอมเลิก?
ด้วยวัฒนธรรมของชาวนาที่ปู่ย่าตายายพาทำสืบต่อกันมา ถึงแม้จะไม่มีทุนรอนแต่รัฐบาลก็ช่วยอุดหนุนให้กู้ชาวนาจึงมีแรงทำต่อมาได้
ถึงแม้ราคาข้าวจะตกต่ำแต่รัฐบาลก็มีโครงการรับจำนำข้าว หรือไม่ก็ประกันราคาให้เกษตกรไม่ต้องดิ้นรนว่าข้าวจะไม่มีที่ขาย แต่ถึงแม้รัฐบาลจะประกันราคาข้าว แต่ราคาข้าวก็ไม่ได้ช่วยให้เกษตรกรลืมตาอ้าปากได้ ยังต้องไปกู้เงินนอกระบบมาใช้จ่ายในครอบครัวเหมือนเดิม
หากปีไหนน้ำท่วมหรือฝนแล้ง รัฐบาลก็จะมีโครงการช่วยเหลือเกษตรกรที่ประสบภัยธรรมชาติ คิดเป็นไร่ละเท่านั้นเท่านี้
ส่วนธนาคารก็คอยดำเนินตามนโยบายรัฐบาลพักชำระหนี้ให้เกษตรกร แต่ภาระดอกเบี้ยจากการยืดเวลาก็ยังตกเป็นของเกษตรกรเหมือนเดิม
ชาวนาได้รับการโอบอุ้มทุกๆทาง พอถึงฤดูทำนาภาครัฐก็จะส่งคนออกมาสำรวจว่าใครปลูกข้าวอะไร กี่ไร่ บอกว่าเตรียมข้อมูลภัยแล้ง ยังไม่ได้เริ่มลงมือทำนาเลยเตรียมแจกเงินภัยแล้งแล้ว
ชาวนาก็เลยไม่รู้สึกว่าต้องดิ้นรนอะไร แค่ทำๆไปเดี๋ยวรัฐบาลก็ช่วย
และเหตุผลสำคัญอีกข้อหนึ่งคือชาวนาจะรู้สึกอุ่นใจหากมีข้าวอยู่ในยุ้งฉาง เพียงแค่หาผักหาปลามาปะทะปะทังก็อยู่กันรอดไม่อดตายแล้ว
อาชีพชาวนาจึงไม่ใช่อาชีพหลักที่เรียกว่ากระดูกสันหลังของชาติอีกต่อไป แต่เป็นคนที่รัฐบาลต้องคอยประคับประคองตลอดเวลา
ชาวนาส่วนใหญ่จะต้องออกไปทำงานอื่นที่มีรายได้ที่แน่นอนเพื่อมาจุนเจือครอบครัวเช่นงานก่อสร้างหรืองานรับจ้างทั่วไป ซึ่งจะมีรายได้ที่แน่นอนกว่า
ดังนั้น อาชีพชาวนาที่เป็นผู้ผลิตข้าวด้วยจิตวิญญาณจริงๆ จึงมีเหลืออยู่น้อยเต็มที