เล็กลีบ (เลือดสีขาว 10)
เล็กลีบ
“ฮือ..ฮือ ...ปวด..ปวดขา” เด็กชายภูพิพรรธร้องครางกลางดึก ลักขณาพลิกกายแล้วบีบนวดขาให้ลูกชายเบาๆ อาการปวดขาเริ่มปรากฏให้เห็นมากขึ้นทุกวัน ขาของลูกชายเล็กลีบผิดกับเนื้อตัวที่อวบอ้วน ถึงน้ำหนักจะเพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างไร ขาของลูกชายก็ยังลีบเล็กอยู่เช่นเดิม
ลักขณาถอนหายใจอย่างหนักอก ตั้งแต่วันแรกที่ลูกชายเจ็บป่วย อาการของลูกยังไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้นอย่างไรเลย อายุมากขึ้น แต่พัฒนาการด้านร่างกายและสมองยังไม่พัฒนาเหมือนเด็กวัยเดียวกัน การพูดจายังไม่เป็นประโยค มีเพียงการร้องไห้ยามเจ็บปวด หรือหัวเราะยามถูกอกถูกใจอะไรสักอย่าง
หมอผู้ทำการรักษาไม่เคยบอกตรงๆ ว่าโรคของลูกชายจะหายขาดหรือไม่ หมอบางคนเพียงบอกเป็นนัยๆ ว่ารักษาตั้งแต่เด็กมีโอกาสหายถึงเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ ลักขณาและสามีใจชื้นและมีความหวังมากขึ้น แม้บางครั้งเห็นลูกร้องครางด้วยความเจ็บปวดคนเป็นพ่อเป็นแม่จะเจ็บปวดไปด้วยก็ตามที
แม้ค่ารักษาพยาบาลจะเบิกได้ แต่ค่ากินค่าใช้จ่ายยามต้องมานอนเฝ้าลูกที่โรงพยาบาลก็ทำให้ครอบครัวเล็กๆ นี้ ต้องทยอยขายทรัพย์สินที่มีอยู่ไม่มาก คราวแรกขายรถจักรยานยนต์ ล่าสุดขายรถยนต์เสียแล้ว นี่หากไม่ได้พักอาศัยอยู่บ้านพักของทางราชการ ครอบครัวของหล่อนคงมีสภาพไม่ต่างจากคนไร้ถิ่นฐานที่เดินอยู่ข้างถนนนัก
ด้วยความที่สามีที่สามีรับราชการอยู่ต่างจังหวัด สามีของหล่อนจึงทำเบิกจ่ายตรงตามสิทธิการรักษาพยาบาลข้าราชการไว้ให้ลูกที่โรงพยาบาลสามแห่ง ในกรุงเทพฯ โรงพยาบาลประจำหนึ่งแห่ง โรงพยาบาลต่างจังหวัดอีกสองแห่ง หากฉุกเฉินใกล้ที่ไหนก็เข้าที่นั่น
โรคของลูกชายเอาแน่เอานอนไม่ค่อยได้ ผักสดของสดกินไม่ได้ ถ้าเป็นไข้ต้องพบแพทย์และตรวจเลือดที่โรงพยาบาลทันที เกล็ดเลือดจะลดลงและทำให้ร่างกายทรุดโทรมลงทันตาเห็น จะซื้อหยูกยาตามร้านค้าทั่วไปให้ลูกกินก็ไม่แน่ใจว่าจะส่งผลต่อเลือดหรือไม่ ต้องมีการตรวจเลือดทุกครั้งที่เป็นไข้ หากลูกเป็นไข้ลักขณาต้องเตรียมกระเป๋าเสื้อผ้าไว้สำหรับนอนค้างคืนที่โรงพยาบาลอย่างน้อยก็สามวัน
ลูกชายคงหายปวดและหลับไปแล้ว ลักขณาพยายามข่มตาหลับ หล่อนจะต้องหลับเพื่อตื่นในวันพรุ่งนี้ ครอบครัวน้อยๆ นี้จะขาดใครคนใดคนหนึ่งในเวลานี้ไม่ได้เด็ดขาด