ครอบครัวบนตึกขาว(เลือดสีขาว 9)
ครอบครัวบนตึกขาว
พอเริ่มจำความได้ผมก็คุ้นเคยกับตึกสีขาว แวดล้อมด้วยเพื่อนวัยใกล้เคียงกันในห้องที่ตกแต่งด้วยสีสันสดใส มีของเล่นหลากหลายชนิด หนังสือการ์ตูนหลายต่อหลายเล่ม ผมมีเพื่อนที่พูดคุยสนิทสนมอยู่คนหนึ่งชื่อเต้ย ทุกครั้งที่เจอกันเราเล่นกันอย่างสนุกสนาน เต้ยมากับแม่ บนศีรษะของเต้ยซึ่งโล้นเลี่ยนมีเข็มและสายระโยงระยาง แม่ของเต้ยบอกกับแม่ว่าเต้ยเป็นเนื้องอกในสมอง พ่อของเต้ยเสียชีวิตนานแล้วด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ แม่ของเต้ยจึงต้องรับบทหนักในการดูแลรักษาและเลี้ยงดูลูกเพียงลำพัง
“น่าสงสารนะ” แม่เคยพูดกับผมอย่างนี้
ด้วยความสนิทสนมกันนี้เอง ทุกคราวที่ผมมาที่ตึกสีขาวและก้าวเข้าไปในห้องสีสันสดใสท่ามกลางเด็กวัยเดียวกัน ผมจะมองหาเต้ยก่อนเป็นอันดับแรกเสมอ บางครั้งแม่ก็นำของฝากมาฝากแม่ของเต้ยด้วย บางคราวแม่ของเต้ยก็นำขนมและของฝากจากต่างจังหวัดมาฝากแม่ของผม สองครอบครัวสนิทสนมกันเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน ถ้อยทีถ้อยอาศัยกันและกัน
“ฉันจะไปซื้อของหน้าโรงพยาบาล แม่เต้ยจะเอาอะไรมั้ย ฝากภูด้วยนะ” หรือบางทีก็เปลี่ยนคนพูด “ฉันจะไปร้านเซเว่นชั้นล่าง แม่ภูจะเอาอะไรหรือเปล่า ฝากเต้ยด้วยนะ”
หากยามใดที่ผมและเต้ยเล่นกันจนลืมแม่ๆ แม่ของผมและแม่ของเต้ยก็จะนั่งปรับทุกข์กันอยู่ที่ขอบเตียงด้วยใบหน้าเศร้าสร้อยทั้งคู่
“พ่อเขาต้องทำงาน มาได้เฉพาะวันหยุด ไม่เป็นอะไรหรอก ฉันเป็นแม่บ้าน มีหน้าที่เลี้ยงดูลูกอยู่แล้ว พ่อเขารับราชการอยู่จังหวัดชายแดนโน่น มาทีก็ลำบาก ช่วงแรกๆ ที่ลูกป่วยเขาลางานเกือบเดือนมาเฝ้าดูแลลูก เขาคงเจ็บปวดเหมือนกันที่ทำอย่างใจคิดไม่ได้”
แม่จะพูดอย่างนี้ หากเรื่องมันวกวนมาถึงเรื่องพ่อ แม่จะไม่ไถ่ถามถึงเรื่องของพ่อเต้ยเลย เพราะอะไรนั้นผู้ใหญ่ทั้งสองคนคงรู้แก่ใจดี
เรื่องนี้คงไม่มีอะไรน่าสนใจนัก หากวันนั้นผมได้พบเจอเต้ยและแม่ของเต้ยอีก วันนั้นหลังจากแม่ยื่นบัตร ผมเข้าห้องตรวจ และถูกส่งเข้าห้องสีสันสดใสแห่งวัยเด็กแล้ว ผมก็สอดส่ายสายตาหาเต้ยเช่นเคย ทว่าไม่พบ แม่คงจะคิดแบบเดียวกันจึงไปถามพยาบาลประจำห้อง พยาบาลบอกแม่ว่าเต้ยได้เสียชีวิตแล้วเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา แม่หันมากอดผมแล้วจูงมือผมไปที่เตียง
“ไม่เป็นไรลูก เต้ยกับแม่ยังอยู่กับเรา” แม่กระซิบ