ตัวประกัน(เลือดสีขาว 5)
ตัวประกัน
บ่ายวันนั้น อาพงษ์บอกลักขณาว่าสาธิตถูกผู้ต้องขังจับเป็นตัวประกัน แต่ลุงดิษฐ์บอกว่าเป็นอนุศาสนาจารย์คนใดคนหนึ่งที่ถูกจับ แล้วเพื่อนร่วมงานของสาธิตทั้งสองก็เข้าไปตรึงกำลังเพื่อช่วยเหลือตัวประกัน
เสียงโจษจันต่างๆ นานาระงมไปทั่วบ้านพักข้าราชการ เด็กชายภูพิพรรธซึ่งเพลิดเพลินอยู่กับการเล่นของเล่นเหมือนจะรับรู้ถึงข่าวร้าย เด็กน้อยวางมือจากรถ แบล็กโฮพลาสติกคลานเข้าสู่อ้อมแขนของลักขณาอย่างตื่นกลัว อามุภรรยาของอาพงษ์ ป้าข้าวปุ้นภรรยาของลุงดิษฐ์พร้อมลูกคนเล็ก มารวมตัวกันเพื่อฟังข่าวคราวที่บ้านพักของลักขณา สามครอบครัวคบหากันเหมือนครอบครัวเดียวกัน
ไกลออกไปเสียงสัญญาณเตือนภัยกรีดเสียงยาวเหยียด เสียงไซเรนของรถตำรวจและรถดับเพลิงกรีดเสียง ท่ามกลางความอกสั่นขวัญหาย ทุกคนรู้ดีว่าหากเกิดเหตุร้ายภายในเรือนจำ ประตูเรือนจำจะถูกปิดตาย ผู้คุมที่ปฏิบัติหน้าที่ภายในเรือนจำจะถูกขังรวมกับผู้ต้องขัง ไม่มีใครสามารถเข้า-ออกจากเรือนจำได้ เว้นแต่จะคลี่คลายสถานการณ์ให้เป็นปกติได้ ลักขณากอดลูกชายแน่น ลูกชายตัวร้อนรุ่ม แต่ไม่ถึงกับร้อนจัด ถ้าลูกเป็นไข้ตัวร้อนถึงสามสิบเก้าองศาตามที่หมอเคยบอกไว้ต้องไปโรงพยาบาลทันที หล่อนนึกภาวนาอย่าให้ลูกตัวร้อนถึงขนาดที่ต้องไปโรงพยาบาลเลย สาธิตคงถูกขังรวมอยู่กับเจ้าหน้าที่อื่นที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ภายในเรือนจำเรียบร้อยแล้ว นั่นเท่ากับเขายืนอยู่ตรงกลางระหว่างความเป็นกับความตาย
บางครั้งคนเราก็ไม่สามารถเลือกอาชีพได้ สาธิตก็เช่นกัน ความฝันของเขาคือการทำงานที่เกี่ยวข้องกับหนังสือ ทำร้านหนังสือ เขียนหนังสือ อ่านหนังสือ เขาไม่เคยชอบชีวิตข้าราชการสักนิดเดียว เขาต่อต้านกฎระเบียบที่คอยควบคุมกุมชีวิตเขาไว้ จนกว่าจะเกษียณชีวิตราชการถึงจะเป็นอิสระบ้าง ทำอะไรก็ผิด ละเว้นไม่กระทำก็ผิด โดยเฉพาะในยุคแห่งเทคโนโลยีก้าวหน้าล้ำยุคนี้ ข้าราชการทุกกรมกองทำงานหนักและลำบาก ไอ้สำนวนที่ว่า "เช้าชามเย็นชาม" ลักขณานึกไม่ออกว่ามันเป็นยังไง สาธิตไปทำงานตั้งแต่หกโมงเช้า จนกระทั่งทุ่มสองทุ่มถึงเข้าบ้าน หากวันไหนเข้าเวรก็ทำงานตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ร่างกายเขาจึงทรุดโทรมแก่กว่าวัย
ตอนเขาทำงานบริษัทสาธิตบอกว่าเขาเกลียดระบบราชการเข้ากระดูกดำเลยทีเดียว เขียนหนังสือก็เสียดสี ด่าว่าระบบราชการอย่างเสียๆ หายๆ เมื่อมารับราชการจริงๆ เขาจึงรู้ว่าสิ่งที่ด่าว่า เสียดสี เป็นจริงเพียงบางส่วน
ฝนพรำเป็นสายบางๆ ตอนหัวค่ำ ข่าวคราวจากเหตุการณ์ถูกตัดขาดเสียแล้ว สถานการณ์ที่บ้านพักยังตึงเครียดไม่แพ้กัน
"คงไม่เป็นอะไรหรอกพี่ พี่สาธิตคงปลอดภัย ทำใจดีๆ นะพี่" อามุปลอบโยนไปตามเรื่อง
"ใช่...อย่าคิดอะไรเลย สาธิตเป็นคนดี สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมคุ้มครอง" ป้าข้าวปุ้นเสริมขณะมือไม้ก็สาละวนอยู่กับลูกชายคนเล็กซึ่งอยู่ไม่เป็นสุข
เด็กชายภูพิพรรธอ้อแอ้อยู่ในวงแขนของลักขณา หล่อนผ่านเรื่องเลวร้ายมามากแล้ว ต่อสู้กับโรคประจำตัวของลูกชายมากับสาธิตจนบางครั้งคิดว่าตัวเองแข็งแกร่ง บางครั้งคิดว่าตัวเองหยาบกระด้าง ไม่รู้สึกรู้สากับบางสิ่งบางอย่าง อะไรจะเกิดมันก็เกิด หล่อนยอมจำนน กำลังเจ้าหน้าที่เรือนจำ ตำรวจ ทหาร เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองตรึงกำลังล้อมรอบเรือนจำไว้ทุกด้านแล้ว พวกเขากำลังช่วยเหลือตัวประกันเต็มที่ หล่อนและเพื่อนๆ จะทำอะไรได้ นอกจากภาวนาและรอ เหมือนคราวที่ลูกล้มป่วยและอยู่ในมือหมอ ใครจะรู้ดีและรักษาคนป่วยได้ดีกว่าหมออีกเล่า
ดึกดื่นค่อนคืนสามครอบครัวยังคงอยู่พูดคุยเป็นเพื่อนกัน เด็กน้อยสองคนหลับไปนานแล้ว ถึงแม้ว่าลักขณาจะกังวลกับเนื้อตัวของลูก ครั้นเอาปรอทที่โรงพยาบาลให้มาวัด ความร้อนของลูกชายยังอยู่ในระดับปกติ หล่อนจึงคลายความกังวลไปได้เปลาะหนึ่ง
เสียงรถยนต์และจักรยานยนต์แล่นตามกันเข้ามาบริเวณบ้านพักข้าราชการ หญิงสามคนมองหน้ากัน รถจักรยานยนต์เสียงคุ้นหูวิ่งเข้ามาจอดหน้าบ้านพักของลักขณา ลักขณาลุกพรวด อาพงษ์ยิ้มเผล่เข้ามาก่อน ตามด้วยลุงดิษฐ์ ท้ายสุดเป็นสาธิต ทุกคนมีท่าทางอิดโรย แต่ยิ้มรื่น ลักขณาวิ่งเข้าไปหาสาธิตพลางละล่ำละลัก "เป็นอะไรมั้ยพี่" อาพงษ์กับลุงดิษฐ์ยิ้มกริ่มมีเลศนัย "ไม่เป็นอะไรหรอก ซ้อมแผนประจำปีน่ะ แต่พี่เล่นสมบทบาทนะ ได้เลือดเหมือนกัน" สาธิตว่าด้วยใบหน้ายิ้มแย้มพร้อมทั้งถลกแขนเสื้อให้ดูรอยเลือด