หลอน(เรื่องสั้น)
เรื่อง...หลอน
โดย...ทินภัทร สำเร็จงาน
...............................................................................................................................................
๑
สาวิตรีสะดุ้งตื่นเพราะเสียงรัวเคาะประตูห้อง อันที่จริงหล่อนไม่ได้หลับด้วยซ้ำ อาการหลับๆ ตื่นๆ มีตลอดทั้งคืน หญิงสาวมีอาการหวาดผวาตั้งแต่เริ่มเข้ามาในเมืองนี้ ดูเหมือนกลิ่นอายของความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจกระจายครอบคลุมทุกพื้นที่ ออกจากโรงแรมไปไหนมาไหนหล่อนต้องเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้นกว่าเดิม แล้วใครกันที่มาปลุกหล่อนดึกดื่นค่อนคืนเช่นนี้
เสียงเคาะประตูหยุดลง มีเสียงฝีเท้าเดินไปมาหน้าห้องอย่างลุกลี้ลุกลน สาวิตรสลัดผ้าห่มออกจากตัว เท้าเปลือยเปล่าย่ำไปบนพรมพื้นห้อง หล่อนรู้สึกเย็นเฉียบตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ขณะเคลื่อนไหวร่างกายหูก็ผึ่งฟังสรรพเสียงต่างๆ หัวใจเต้นระทึก หล่อนพยายามนึกถึงอาวุธที่พอจะป้องกันตัวเองได้ ไม่มีเลย หล่อนไม่ชอบพกอาวุธอะไรทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นปืน มีด หรือแม้แต่สเปรย์พริกไทย หล่อนเคยคิดว่าใครก็ตามเมื่อมีอาวุธใกล้มือชะตาชีวิตก็เท่ากับแขวนไว้บนเส้นด้าย ไม่เป็นพระเอกก็เป็นผู้ร้ายในเวลาเดียวกัน ดูอย่างตำรวจหรือทหารซึ่งมีอาวุธประจำกายนั่นปะไร มีอารมณ์โกรธขึ้นมาคราวใดก็มีการตายหรือไม่ก็ติดคุกคราวนั้น
เสียงฝีเท้าแผ่วหายไปแล้ว สงสัยผู้ประสงค์ร้ายจะล้มเลิกความตั้งใจที่จะบุกเข้ามาภายในห้องพักของหล่อน หรือบางทีเขาอาจจะออกไปหาเครื่องไม้เครื่องมือพังประตูห้องเข้ามา ทำไมสาวิตรีจึงคิดว่าเป็นผู้ชายที่จะเข้ามาทำร้ายหล่อน ไม่ใช่เพียงแค่คิดหรอก หล่อนแน่ใจด้วยซ้ำไป ถึงแม้หล่อนจะเป็นคนต่างถิ่นแต่ร่างกายของหล่อนแข็งแรง มีความสูงใหญ่คล้ายผู้ชายอกสามศอก มิหนำซ้ำหล่อนยังชอบออกกำลังกายอีกด้วย ดังนั้น ไม่มีผู้หญิงหน้าไหนจะสู้พละกำลังของหล่อนได้ หากแต่ถ้าเป็นผู้ชายหล่อนต้องยอมแพ้
สาวิตรีไม่กล้าเปิดไฟภายในห้อง หล่อนเดินเปะปะชนโน่นชนนี่ เมื่อเสียงรบกวนนอกห้องหายไปหล่อนจึงโล่งอกและนั่งลงบนเก้าอี้หน้าเตียงอยู่อย่างนั้น
เวลาผ่านไปนานเท่าใดหล่อนไม่รับรู้ เสียงโทรศัพท์บนหัวเตียงดังขึ้น หล่อนมองมันด้วยใจระทึก โทรศัพท์ดังยาวนานโดยที่สาวิตรีไม่คิดที่จะรับ ปล่อยให้มันเงียบเสียงไปเอง
...........................................
๒
สาวิตรีเป็นพนักงานของบริษัทชื่อดังแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ หน้าที่การงานของหล่อนทำให้ต้องตระเวนไปทั่วประเทศ บางครั้งก็เดินทางกันเป็นหมู่คณะ บางครั้งเดินทางตัวคนเดียว
หล่อนยังเป็นโสด อายุสามสิบแล้ว ยังรู้สึกสนุกกับงานที่ทำ ไม่เคยคิดจะมีข้อผูกพันกับชายหน้าไหนทั้งสิ้น เคยคบหากับผู้ชายสามสี่คน แต่ก็ไปไม่ตลอดรอดฝั่ง พวกเขาว่าหล่อนเป็นคนบ้างานมากกว่าสิ่งใดทั้งหมด สุดท้ายเหล่าผู้ชายใจร้อนก็หายไปทีละคนสองคน
หล่อนไม่เคยรู้สึกโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงาแต่ประการใด การเดินทาง การท่องไปกับงาน การออกกำลังให้เหนื่อย ทำให้หล่อนหลุดพ้นจากความเศร้าหมองและคลายความคิดถึงเรื่องไม่เป็นเรื่องลงได้
แม่เคยบอกหล่อนว่า เมื่อยังมีเรี่ยวแรงอยู่ก็รีบทำ นั่นแหละหล่อนจึงมุมานะเพื่อให้ถึงจุดหมาย ซึ่งคนแต่ละคนมีจุดหมายปลายทางที่ไม่เหมือนกัน หล่อนต้องการเพียงให้พ่อแม่สบายใจและมีความสุขกับชีวิตที่เหลืออยู่ หล่อนดูแลพ่อแม่และคนใกล้ชิดอย่างเอาใจใส่ ถึงแม้จะไม่ค่อยได้พบหน้าค่าตากัน สาวิตรีโทรศัพท์กลับบ้านทุกวัน ส่งเสียเงินทองทุกเดือน หล่อนรู้สึกมีความสุขที่ได้ทำอย่างนี้ หล่อนใช้ชีวิตอยู่ในเกือบทุกจังหวัดของประเทศ ความเชื่อมั่นในตนเองจึงมีเต็มเปี่ยม
..................................................................
๓
ความเชื่อมั่นของสาวิตรีเริ่มหดหายเมื่อลงจากเครื่องบินยังเมืองท่องเที่ยวแห่งนี้ ข่าวหนังสือพิมพ์บนเครื่องบินที่หล่อนเผอิญอ่านเพื่อฆ่าเวลานั้น ทำให้หล่อนรู้สึกวิตกกังวลและใจสั่นพิกล หนังสือพิมพ์หัวสีรายงานว่าในรอบสามเดือนที่ผ่านมาเมืองแห่งนี้มีคดีเกี่ยวกับความผิดทางเพศรวมทั้งที่จับได้และจับไม่ได้ถึงยี่สิบคดี อนาจาร ข่มขืน ข่มขืนแล้วฆ่า รายล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อสองวันก่อนนี้เอง
ด้านหน้าสนามบินหล่อนเรียกรถรับจ้างให้มาส่งที่โรงแรม ซึ่งทางบริษัทจองโรงแรมที่พักล่วงหน้าไว้แล้ว หญิงสาวไม่ควรกังวลกับเรื่องที่พัก เพราะเคยพักที่โรงแรมแห่งนี้มาหลายครั้งหลายครา ครั้งล่าสุดเมื่อปีที่แล้วนี่เอง แต่ครั้งนั้นไม่มีข่าวข่มขืนถี่ยิบเหมือนช่วงเวลานี้
คนขับรถรับจ้างร่างใหญ่โตกำยำ ใบหน้าดุดันคล้ายผู้ร้ายในหนังฮอลลีวูด น้ำเสียงและแววตาของเขาทำให้สาวิตรีถึงกับสะดุ้ง หล่อนนั่งขวัญผวาจนถึงโรงแรมเลยทีเดียว
เมื่อเช็คอินเรียบร้อยหล่อนก็เข้าไปในห้อง ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงนุ่ม แต่ก็ไม่สามารถข่มตาให้หลับได้ ข่าวหนังสือพิมพ์ยังรบกวนจิตใจหล่อนอยู่ตลอดเวลา สาวิตรีจึงเปลี่ยนชุดออกกำลังกาย ห้องฟิตเนสอยู่ที่ชั้นสอง หล่อนเสียเหงื่อให้กับอุปกรณ์ออกกำลังกายเกือบสองชั่วโมง ภายในห้องออกกำลังกายสาวิตรีสังเกตเห็นชายวัยประมาณยี่สิบปลายคนหนึ่งจ้องมองหล่อนไม่วางตา หล่อนรู้สึกอึดอัดและวิตกกังวลจึงพาร่างโชกเหงื่อหนีจากสายตาคู่นั้น
..............................................................
๔
หล่อนขวัญกระเจิงอีกครั้งเพราะเสียงทุบประตูที่รุนแรงกว่าเดิม สาวิตรีมองซ้ายมองขวาแล้วคลำสะเปะสะปะไปคว้าได้กางเกงและเสื้อสำหรับออกไปข้างนอก รีบสวมใส่อย่างรวดเร็ว หล่อนจะไม่ยอมตกเป็นเป้านิ่งให้ใครข่มเหงได้ง่ายๆ
เปิดบานหน้าต่างเตรียมพร้อม สายลมพรูเข้ามาภายในห้อง ห้องของหล่อนอยู่ที่ชั้นสาม ร่างกายหล่อนแข็งแรงทุกกระเบียดนิ้ว หากปีนลงไปด้วยความระมัดระวังคงไม่มีอันตรายใดๆ
เสียงทุบประตูดังขึ้นอีก พร้อมกันนั้นเสียงหมุนลูกบิดก็รัวเร็ว จากนั้นก็มีเสียงสอดลูกกุญแจ สาวิตรีตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว หล่อนล้มเลิกแผนการพบปะลูกค้าสามรายในวันนี้ หล่อนปีนออกนอกหน้าต่างห้องอย่างรวดเร็ว
...................................................................
๕
“ผมไปเคาะห้องปลุกเธอตอนตีสี่ครึ่ง แต่ก็ไม่เห็นเธอโผล่ออกมา โทรศัพท์ไปก็ไม่รับสาย พอตอนตีห้าก็กลับไปเคาะห้องอีกครั้ง ครั้งนี้นานกว่าเดิม ผมคิดว่าเธอคงไม่สบายจึงใช้กุญแจสำรองไขเปิดห้อง พอประตูเปิดผลัวะออก ผมก็ได้ยินเสียงเหมือนอะไรหล่นจากตึก ผมไม่รู้นี่ ก็คุณสาวิตรีนัดรถโรงแรมให้ไปส่งตอนหกโมงเช้าที่ท่าเรือข้ามเกาะ เรือข้ามเกาะเที่ยวแรกมีตอนหกโมงเช้า ถ้าไม่ปลุกตีสี่ตีห้าแล้วจะปลุกตอนไหน ผู้หญิงต้องแต่งเนื้อแต่งตัว โดยเฉพาะผู้หญิงที่ต้องพบปะผู้คนอย่างคุณสาวิตรี ผมว่าเธอคงลืมเรื่องที่ขอให้ทางโรงแรมปลุก” พนักงานโรงแรมคนหนึ่งให้การกับพนักงานสอบสวน
.................................................
๖
ย้อนหลังไปเมื่อหลายปีก่อน หากผู้คนในสังคมยังจดจำได้ มีข่าวสยองขวัญขึ้นหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ และทางโทรทัศน์ทุกช่องว่า “หนุ่มใหญ่ถูกฆ่าหมกอยู่ในโรงแรมม่านรูด คนร้ายวิตถารได้ตัดอวัยวะเพศของผู้ตายไปด้วย”
เรื่องราวผ่านไปนานแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจยังไม่สามารถจับกุมตัวคนร้ายได้ จะมีใครเชื่อบ้างว่าสาวิตรีเป็นฆาตกร