ลานประหาร (เรื่องสั้น)
ลานประหาร
...............................................................................................................................................
๑
ลานสาธารณะกลางเมืองหลวงถูกปรับเปลี่ยนเป็นลานประหารแล้ว
ทีวีทุกช่อง หนังสือพิมพ์ทุกฉบับอยู่ที่นี่ มีการถ่ายทอดสดการประหารชีวิตให้ประชาชนทั่วทุกมุมประเทศได้ชมไปพร้อมกันด้วย นักโทษประหารหกคนถูกคลุมหน้าด้วยถุงดำ มัดมือมัดเท้าตรึงกับเสาไม้รูปกางเขน ห่างออกไปเพชฌฆาตหกคนยืนเรียงแถวเล็งปืนหนึ่งนายต่อหนึ่งนักโทษ ดวงตาพวกเขาสงบนิ่ง ท่ามกลางฝูงชนที่ล้นทะลักสวนธารณะซึ่งโห่ตะโกนเร่งเร้าให้รีบลงมือประหาร
“พวกมันเป็นสัตว์นรก”
“มันไม่ใช่คน”
“เอาไว้ก็หนักแผ่นดิน”
“ฆ่ามันๆๆ”
๒
นักโทษประหารคนที่หนึ่ง ชายวัย ๒๕ ปี คดีฆ่าบุพการี
ค่ำวันนั้น สมจิตกลับจากทำงานก่อสร้างในเมืองด้วยรถมอเตอร์ไซค์คู่ชีพคันเก่าบุโรทั่ง เลิกงานตอนสี่โมงครึ่งบึ่งรถมอเตอร์ไซค์สักยี่สิบนาทีก็ถึงบ้านแล้ว พอดีกับแดดร่มลมตก ด้วยเหตุนี้แหละก่อนกลับเข้าบ้านสมจิตจึงแวะร้านค้าในหมู่บ้าน หิ้วเหล้าขาวติดมือกลับบ้านด้วยขวดหนึ่ง ถั่วและขนมขบเคี้ยวอีกสองสามถุง ไม่รู้ซี ถึงเวลามันก็เปรี้ยวปาก คล้ายกับปากและลิ้น มันเคยชิน ถึงบ้านเห็นพ่อกำลังนั่งพักผ่อนอยู่ที่แคร่ไม้ไผ่หน้าเรือน สมจิตจึงเอาเหล้าและกับแกล้มไปวางที่แคร่และชักชวนพ่อให้ดื่มด้วยกัน พ่อของสมจิตเป็นนักดื่มอยู่แล้ว แต่ก็ทำงานได้ พ่อไม่ใช่คนขี้เกียจ แกเป็นช่างไม้ฝีมือดี
เห็นพ่อกับลูกนั่งดวดเหล้ากันแม่ก็ออกมาเมียงมอง หายไปไม่นานแม่ออกมาพร้อมกับแกงไก่ถ้วยเล็กๆ ถ้วยหนึ่ง แล้วก็ทิ้งสมจิตกับพ่อไว้ตามลำพัง
จนกระทั่งเหล้าขวดแรกหมดสองพ่อลูกก็ได้ที่ เสียงพ่อดังโหวกเหวก และเริ่มขุดคุ้ยเรื่องเดิมๆ ก็เรื่องที่สมจิตเคยติดคุกคดียาเสพติดนั่นแหล่ะ ทั้งที่มันผ่านมาหลายปีแล้ว แต่พ่อก็มักจะจดจำได้และรื้อฟื้นทุกครั้งที่เมา สมจิตพยายามปรับปรุงตัวเอง ไม่ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดและอบายมุขแล้ว เขาดื่มเหล้าและสูบบุหรี่แค่นั้นเอง เขาไม่อยากเฉียดเข้าใกล้คุกตะรางอีก พ่อยังไม่ลดราวาศอก หนำซ้ำยังผลักหน้าสมจิตจนหงาย เลือดคนหนุ่มมันขึ้นหน้าก็เลยผลักอกพ่อกลับไปบ้าง พ่อหงายพลั่กตกแคร่ ท้ายทอยกระแทกกับท่อนไม้และแน่นิ่งไป พ่อของสมจิตตายเสียแล้ว
๓
นักโทษประหารคนที่สอง ชายวัย ๓๐ ปี คดีฆ่าชิงทรัพย์เจ้าอาวาสวัด
หลวงพ่ออร่ามยังจำวัดไม่ได้ เนื่องจากตอนหัวค่ำฝนได้เทกระหน่ำลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา หลังคาวัดหลังคาโบสถ์แทบปลิวหายไปพร้อมกับสายลมที่กรรโชกอย่างไม่บันยะบันยัง พระสองรูปกับเณรน้อยหนึ่งรูปวิ่งช่วยกันจับโน่นจับนี่ไม่ให้ข้าวของเสียหาย ยังดีที่ไฟฟ้าไม่ดับ กว่าลมและฝนจะสงบลงได้ก็ทำให้ทั้งพระทั้งเณรหมดเรี่ยวแรงไปตามๆ กัน
หลังฝนหยุดหลวงพ่ออร่ามได้เดินตรวจตราความเสียหายภายในบริเวณวัด ศาลาการเปรียญฝนสาดถึงครึ่งค่อนศาลา พรุ่งนี้ต้องให้พระเณรช่วยกันทำความสะอาดก่อนญาติโยมมาถวายจังหัน ตัวโบสถ์ยืนทะมึนไม่ได้รับความเสียหายใดๆ มีเพียงกิ่งมะม่วงหักหล่นอยู่บนพื้นข้างโบสถ์ กุฏิหลังใหญ่ซึ่งเป็นที่จำวัดของพระเณรรวมทั้งหลวงพ่ออร่ามเจ้าอาวาส โดนฝนสาดบริเวณบันไดขึ้นลง บริเวณหอระฆังต้นมะขามเทศหักโค่นขวางประตู คงต้องขนกันเหนื่อยในวันต่อไป ยังดีที่ตัวหอระฆังไม่ได้รับความเสียหาย
ตอนที่หลวงพ่ออร่ามเปิดประตูกุฏิของท่าน เงาวูบไหวของใครคนหนึ่งปรากฏอยู่ในห้อง หลวงพ่อมองไม่ชัดว่าเป็นใคร สำนึกรู้เพียงว่าเป็นขโมยที่กำลังรื้อค้นข้าวของ พอเห็นหลวงพ่อใครคนนั้นก็สะดุ้งตกใจ วิ่งสวนหลวงพ่อมาทางประตู หลวงพ่อขวางประตูไว้ ทันทีทันใดหลวงพ่อรู้สึกเจ็บแปลบบริเวณชายโครงและหน้าอก หลวงพ่อล้มลงและมรณภาพในเวลาต่อมา
๔
นักโทษประหารคนที่สาม ชายวัย ๒๘ ปี คดีฆ่าภรรยาท้องแก่
คนท้องจะเดินเหินจะลุกนั่งแต่ละทีก็ลำบาก แต่บังอรก็พยายามหยิบจับโน่นนี่อยู่เรื่อยๆ ใครบางคนบอกว่าถ้าเดินเหินและขยับร่างกายอยู่บ่อยๆ จะคลอดง่าย หล่อนไม่รู้หรอก ก็หล่อนเพิ่งท้องแรกนี่นะ
พอรู้ตัวว่าท้องบังอรก็ขอลาออกจากงานประจำ ซึ่งเงินเดือนไม่มากนัก หล่อนทำงานเพราะไม่อยากอยู่เฉยๆ เท่านั้นเอง ไม่คาดหวังความก้าวหน้าใดๆ สามีของหล่อนเป็นถึงนายตำรวจ อย่างไรเสียก็คงไม่ปล่อยให้หล่อนและลูกอดตายหรอก
บังอรสังเกตเห็นความผิดปกติของสามีก็ตอนท้องได้เจ็ดเดือน ทุกเย็นเขาจะออกจากบ้านและกลับเข้ามาอีกทีหลังเที่ยงคืน กลับมาพร้อมกับเสียงอ้อแอ้และกลิ่นเหล้าหึ่ง พอหล่อนไต่ถามเขาพาลโวยวายหาเรื่อง ซ้ำร้ายยังกล่าวหาว่าลูกที่อยู่ในท้องหล่อนไม่ใช่ลูกที่เกิดจากเขา เป็นลูกของชายชู้ที่ทำงานเก่าของบังอรเอง เขาเป็นตำรวจเขาสืบรู้มาแล้ว บังอรได้แต่ร่ำไห้ขมขื่น
จนกระทั่งวันเกิดเรื่อง สามีของหล่อนกลับมาตอนตีสอง เมามายมาเช่นเดิม หล่อนไม่ ปริปากได้แต่นอนหันหลังให้ เขาพูดพล่ามไปเรื่อยๆ เมื่อหล่อนไม่โต้ตอบก็เหมือนเป็นการเติม เชื้อไฟ เขายิ่งโมโห พูดตอกย้ำว่าเด็กในท้องไม่ใช่ลูกของเขา โดยที่หล่อนไม่ได้ตั้งตัว เขาดึงปืนออกจากซองแล้วกดเปรี้ยงกลางหลังของบังอรสองนัดซ้อน
๕
นักโทษประหารคนที่สี่ หญิงวัย ๔๐ ปี คดีฆ่าลูกของตัวเอง
พิจิตรามีลูกสามคน ชายหนึ่งหญิงสอง คนโตเป็นผู้หญิงเก้าขวบ คนกลางเป็นผู้ชายวัยหกขวบ และคนเล็กเป็นหญิงวัยสามขวบ หล่อนไม่ได้ออกทำงานนอกบ้านเหมือนชาวเมืองทั่วไป เพราะต้องเลี้ยงลูกทั้งสามคนให้อบอุ่นและใกล้ชิด ชีวิตของพิจิตราจึงวนเวียนอยู่แค่บ้านเช่า โรงเรียนของลูก และตลาดปากซอยเท่านั้น
สามีขี้เมาของหล่อนมีอาชีพขับแท็กซี่ เงินทองมีใช้ไปวันๆ ลูกเต้าทั้งสามคนกำลังกินกำลังนอน ครอบครัวของหล่อนจึงประสบกับปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ หล่อนและสามีมีปากเสียงกันบ่อยครั้ง บางครั้งถึงกับมีการลงไม้ลงมือต่อหน้าลูกๆ
พิจิตราเคยรบเร้าขอออกไปทำงานนอกบ้าน งานรับใช้ในบ้านหรืองานแม่บ้านทำความสะอาดก็ยังดี แต่ได้รับการปฏิเสธจากสามีทุกครั้งไป
วันหนึ่งหล่อนรู้สึกปวดศีรษะอย่างรุนแรง หล่อนจึงให้สามีขับรถพาไปโรงพยาบาลใกล้บ้าน ผลการตรวจร่างกายพบว่าหล่อนเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง หล่อนไม่เคยกลัวอะไรในชีวิต มาก่อน ถึงจะยากจนข้นแค้นหล่อนก็ต่อสู้กับความเหนื่อยยาก สำหรับคราวนี้ต่างออกไป เนื้อตัวหล่อนสั่นสะท้าน พิจิตรานึกถึงสภาพของลูกทั้งสามเมื่อขาดแม่
สามีของหล่อนออกไปขับรถตั้งแต่ตีห้า กว่าจะกลับเข้าบ้านก็เกือบเที่ยงคืน อยู่ด้วยกันก็เหมือนไม่ได้อยู่ ลูกๆ ไม่ค่อยได้พบหน้าพ่อเท่าใดนัก และหลังจากที่รู้ว่าหล่อนเป็นโรคร้ายแรงเขาเริ่มกลับบ้านไม่ตรงเวลา บางครั้งหายไปเกือบสัปดาห์ เงินทองก็ไม่ค่อยได้หยิบยื่นให้เหมือนเคย เพื่อนข้างบ้านเช่าเคยกระเซ้าหล่อนว่าเขาอาจไปติดพันหญิงอื่น จากคนที่เคยรักและห่วงครอบครัวเขากลับทิ้งครอบครัวไปเสียแล้ว
การตัดสินใจผสมสารหนูในไข่เจียวในค่ำนั้นคือทางออกที่ดีที่สุด ลูกทั้งสามและหล่อนกินอาหารมื้อสุดท้ายอย่างเอร็ดอร่อย ลูกทั้งสามตาย ทว่าหล่อนรอดชีวิต
๖
นักโทษประหารคนที่ห้า ชายวัย ๒๒ ปี คดีข่มขืนฆ่า
สิรินดาออกจากมหาวิทยาลัยตอนหนึ่งทุ่ม ขึ้นรถเมล์หน้ามหาวิทยาลัยพร้อมกับเพื่อนอีกสามคน ต้องใช้เวลาเดินทางจากจุดนี้ไปถึงปากซอยหน้าบ้านชานเมืองประมาณหนึ่งชั่วโมง
ชีวิตประจำวันที่ซ้ำซากจำเจ ตื่นแต่เช้ามืด ออกจากบ้าน ขึ้นรถสองแถวไปปากซอย ขึ้นรถเมล์หน้าปากซอยไปมหาวิทยาลัย เข้าเรียน พักเที่ยง เลิกเรียน และขึ้นรถเมล์กลับบ้าน มันน่าจะทำให้สิรินดาเบื่อหน่าย ตรงกันข้ามมันทำให้เธอสนุกสนานกับชีวิตมากกว่า เพราะเธออยู่ในวัยช่างฝัน
เธอเป็นคนสะสวย ผิวพรรณเปล่งปลั่ง ยิ้มแย้มสดใสกับคนทุกคน
เพื่อนๆ ของเธอลงรถเมล์ไปจนหมดแล้ว ตอนที่สิริดาลงจากรถเมล์หน้าปากซอยเพื่อต่อรถสองแถวสีแดงเข้าไปในซอยนั้นบริเวณหน้าปากซอยแทบร้างผู้คน
เธอขึ้นรถสองแถวสีแดงเที่ยวสุดท้ายของวัน คนขับเป็นเด็กหนุ่มที่สิรินดาไม่คุ้นหน้า อาจจะเป็นคนใหม่ก็ได้ ห้านาทีให้หลังรถก็เคลื่อนเข้าไปในซอย ซอยนี้ลึกเกือบห้ากิโลเมตร ยิ่งมืดค่ำอย่างนี้ดูเหมือนมันจะยาวลึกไม่มีที่สิ้นสุดทีเดียว ผู้โดยสารลงจากรถคนแล้วคนเล่า สุดท้ายเหลือเธอเพียงคนเดียว
คนขับหันมามองสิรินดาแวบหนึ่ง และแล้วก็กระชากรถออกไปอย่างรวดเร็ว เธอใจหายวูบ เกือบตกรถเพราะไม่ทันระวังตัว ครั้นตั้งสติได้เธอกดกริ่งติดต่อกันหลายครั้ง รถสองแถวยังห้อตะบึงต่อไปเหมือนไม่ได้ยิน จากนั้นก็เลี้ยวออกนอกเส้นทาง ถึงทางโค้งรถชะลอความเร็ว สิรินดาตัดสินใจกระโดดลงจากรถ หนังสือกระจัดกระจายพื้น เธอปวดแปลบตามแขนและขา เธอลุกไม่ไหว รถสองแถวจอด คนขับลงจากรถแล้วกระชากแขนลากเธอเข้าไปในพงหญ้า สิรินดาพยายามขัดขืน แต่ก็ไร้ผล เธอช่วยตัวเองไม่ได้เลย เขาฉีกเสื้อผ้าของเธอและตะโบมเนื้อตัวของเธออย่างกักขฬะ เสร็จสมแล้วเขาก็ยังไม่หนำใจ ใช้ก้อนหินที่ควานหาได้ทุบศีรษะของเธอหลายครั้ง ความเจ็บปวดหายสิ้น สิรินดาสิ้นลมเสียแล้ว
๗
นักโทษประหารคนที่หก ชายวัย ๕๕ ปี คดีทุจริตคอรัปชั่น
นายกิตติกรไต่เต้ามาจากนักการเมืองบ้านนอก จากสมาชิกองค์การบริหารส่วนจังหวัด สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ผู้ช่วยรัฐมนตรี รัฐมนตรีช่วยว่าการ รัฐมนตรีว่าการ และตำแหน่งสุดท้ายตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี
จากที่เคยมีทรัพย์สินหลักสิบล้านกลายมาเป็นเศรษฐีพันล้านภายในสิบปี ซึ่งมีน้อยคนนักที่จะบันดาลได้อย่างนี้ ทั้งก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่การงาน และการงอกเงยพอกพูนของทรัพย์สมบัติ
นายกิติกรมีภรรยาเป็นข้าราชการครูตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนประจำจังหวัด มีบุตรธิดารวมสามคน บ้านเล็กบ้านน้อยที่ไม่เป็นที่เปิดเผยอีกนับไม่ถ้วน ถึงกระนั้นคุณนายก็ไม่วุ่นวายกับชีวิตส่วนตัวของเขามากนัก เงินทองมีให้จับจ่ายไม่ขาดมือ อยากได้อะไรก็ได้ สามีอย่างนี้หาไม่ได้ง่ายๆ หรอก
ในตำแหน่งสำคัญต่างๆ มีโครงการที่ผ่านมือนายกิตติกรหลายร้อยหลายพันโครงการ วงเงินงบประมาณนับหมื่นนับแสนล้านบาท โดยเฉพาะโครงการที่เกี่ยวกับการคมนาคมขนส่งมีงบประมาณก้อนมหาศาล
ถึงอย่างไรนายกิตติกรก็เคารพมติของพรรคการเมืองที่เขาสังกัดอยู่ เขาจะต้องหาเงินเข้าพรรคด้วย ไม่ใช่หาใส่เพียงกระเป๋าตัวเองเท่านั้น พรรคต้องอิ่มหมีพีมันไปพร้อมกับสมาชิกทุกคน
โครงการก่อสร้างทางรถไฟสร้างปัญหาให้กับนายกิตติกรจนดิ้นไม่หลุด ทั้งชื่อผู้อนุมัติโครงการและเอกสารการทำธุรกรรมทางการเงินจำนวนหลายร้อยล้านบาท ส่งผลให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติชี้มูลความผิดว่าเขาทุจริตคอรัปชั่น และดำเนินคดีอาญากับเขาในที่สุด จากการสืบสวนขยายผลชี้ชัดว่านายกิตติกรมีส่วนบงการอุ้มฆ่าปิดปากพยานสองรายในคดีดังกล่าวอีกด้วย
โครงการย้อนหลังห้าปีที่ผ่านการอนุมัติจากนายกิตติกรทุกโครงการ ถูกรื้อขึ้นมาตรวจสอบใหม่ ผลปรากฏว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริตคอรัปชั่นทุกโครงการ รัฐสูญเสียประโยชน์ไปนับพันล้านบาท หลายกรรมหลายวาระ นายกิตติกรจึงถูกตัดสินประหารชีวิต ซึ่งเป็นคดีทุจริตคอรัปชั่นในประวัติศาสตร์ที่ถูกตัดสินลงโทษสูงสุด
๘
ลมหายใจของฝูงชนหยุดนิ่งไปขณะหนึ่ง พร้อมกับเสียงปืนดัง ปัง-ปัง-ปัง-ปัง-ปัง-ปัง นักโทษล้มทีละคนๆ ฝูงชนฮือฮาอื้ออึง หลังจากนั้นกลุ่มคนที่อัดแน่นลานสาธารณะก็ทยอยเดินออกจากลานประหารด้วยสีหน้าแววตาสมหวัง บางคนแสยะยิ้มอย่างสาแก่ใจ
๙
ลานสาธารณะกลางเมืองหลวงถูกปรับเปลี่ยนเป็นลานคนเดินแล้ว
ลานคนเดินเต็มไปด้วยร้านรวงต่างๆ ผู้คนอุ่นหนาฝาคั่ง บ้างเดินจับจ่ายซื้อของ บ้างเที่ยวชมมหรสพหลากชนิด ทั้งหนังกลางแปลง มวย ลิเก และคอนเสิร์ตจากนักร้องชื่อดัง บรรยากาศเต็มไปด้วยสีสันแห่งความรื่นเริง
.........................................................