เรื่องไร้สาระของคนนอนไม่หลับ (เรื่องสั้น)
เรื่องไร้สาระของคนนอนไม่หลับ
........................................................................................................
รู้ตัวว่าตนเองนอนไม่หลับก็เมื่อเวลาล่วงไปแล้วห้าวัน ผมคิดว่าอาการแบบนี้ทรมานมากทีเดียว พลิกตัวซ้ายทีขวาทีอยู่นั่นแล้ว ชั่วโมงก็แล้ว สองชั่วโมงก็แล้ว ไร้วี่แววของความง่วงเหงาหาวนอนเกิดขึ้นกับผม
เมียของผมหลับสบายไปนานโขแล้วล่ะ คุณเธอไม่เคยอยากรับรู้เกี่ยวกับผมนัก เธอนอนหลับง่ายและหลับนานอย่างวายร้าย นาฬิกาที่เธอตั้งปลุกไว้หกโมงเช้าน่ะ ไม่เคยทำให้เธอกระวีกระวาดแต่อย่างใด กดนาฬิกาแล้วนอนต่อจนถึงแปดโมงเช้าทุกวัน
อาการนอนไม่หลับทำให้ผมคิดมาก ร่างกายซูบผอมทันตาเห็น คิดฟุ้งซ่านเรื่อยเปื่อย เป็นต้นว่าทำอย่างไรจะรวยกับเขาบ้าง เมื่อไรเรื่องสั้นที่เฝ้าเพียรเขียนทุกวันจะได้ตีพิมพ์สักที แม่ยายจะมารังควานอีกหรือเปล่าหนอ เวียนวนซ้ำซากอยู่อย่างนี้
ขืนเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ โรคประสาทอาจถามหาผมสักวัน บางคืนกระสับกระส่ายเพราะปวดหัวตุ้บๆ หาหนังสือมาอ่านก็ไม่สามารถทำให้ผมอ่อนเพลียพอจะนอนหลับได้ ยิ่งทำให้ผมติดตามเรื่องราวจนค่อนรุ่ง
เสียงรองเท้าส้นสูงกระทบพื้น ผมก็รู้ว่านั่นคือหญิงสาวสองคนซึ่งกำลังเดินผ่านหน้าห้องผมไป เธอคุยกันถึงที่ทำงาน อันที่จริงผมไม่อยากรับรู้ด้วยซ้ำว่าเธอทำอะไรที่ไหน แต่เรื่องที่พวกเธอคุยกันมันวิ่งมาเข้าหูผมเอง
“ผู้ชายแก่ๆ คนนั้นเรียกชั้นไปนั่งโต๊ะ”
“เธอก็ไปสิท่า”
“มันเป็นงานของเรามิใช่หรือ”
“นักร้องห้องอาหารอย่างเราขัดใจแขกได้อย่างไร”
“แล้วเธอล่ะ...คืนอันเลวร้ายนี้เป็นไงบ้าง”
“เหมือนเดิม...ฉันไม่เคยเห็นคืนไหนมันสวยงามเลยนี่”
“คงสักวันหรอก”
“ใช่...คงสักวัน”
ห้าคืนมาแล้วที่เธอสองคนกลับมาตรงเวลาเป๊ะคือตีสาม ถ้าเลยก็นิดหน่อย เรื่องที่พวกเธอคุยกันก็ซ้ำๆ ซากๆ ผมจึงสามารถปะติดปะต่อเรื่องราวเกี่ยวกับพวกเธอไว้เข้าท่า
แมวสองตัวส่งเสียงแข่งกันอยู่ข้างนอกกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาสำหรับชาวอพาร์ตเมนต์แห่งนี้ ผมเคยคุยกับเมียเกี่ยวกับแมว ผมสงสัยเป็นนักเป็นหนาว่าแมวทำไมร้องเหมือนเด็กนัก เมียทำหน้ายุ่ง
“บ้าสิ...เสียงแมวชัดๆ อยู่แล้ว”
“ใช่เสียงแมว...แต่มันแปลก”
“คิดมากหรือเปล่า”
“เห็นจะจริง”
หากคิดในแง่ดีสักหน่อย ไอ้อาการนอนไม่หลับช่วยให้ผมเก็บรายละเอียดได้เยอะเหมือนกัน ใครทำอะไรรู้หมด ใครกำลังอาบน้ำอยู่ห้องไหน ห้องไหนคุยกันเรื่องอะไรผมได้ยิน อย่างเช่นคืนหนึ่งมีคนคุยกันเรื่องกางเกงในหายทั้งราว ผมก็รู้ พอรุ่งเช้าต่อมาเจ้าของตึกก็เอาป้ายประกาศมาติด “มาอีกแล้ว...ระวัง...พวกโรคจิต ชอบขโมยกางเกงใน”
ห้องนักศึกษาอาชีวะซึ่งเคยกระหึ่มดังเหมือนมีคอนเสิร์ต เวลานี้เงียบเชียบ ได้ยินเพียงพัดลมหึ่งๆ ในห้องของผมนี่แหละ พัดลมมันเป็นเพื่อนได้เหมือนกันนะ คิดดูสิ...หมุนวนอยู่นั่น ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ไม่เคยบ่น ไม่เคยเจ็บ ถ้ารำคาญก็ลุกไปปิด พอร้อนก็ลุกไปเปิดให้มันทำงานเป็นเพื่อน
เสียงเคาะประตูเบาๆ ทำให้ผมต้องเก็บเรื่องไร้สาระไว้ในลิ้นชักไว้ก่อน นานทีปีหนจะมีคนเคาะประตูห้องผมสักครั้ง ยังคิดไม่ออกว่าเวลาดึกดื่นป่านนี้ใครกันอุตริเคาะ พอเปิดประตูออกผมก็เจอพวกเธอ
“เห็นไฟเปิดอยู่ก็เลยลองเคาะดู...รู้ว่าคุณอยู่ห้องนี้” คนสวยที่หนึ่งว่า
“มีเรื่องอะไรให้ผมช่วยครับ”
“ไม่หรอกค่ะ...เราสองคนจะออกไปเที่ยวต่อ อยู่ห้องก็นอนไม่หลับจนกว่าจะสว่างนั่นล่ะ ไปด้วยกันมั้ยคะ” คนสวยที่สองพูดพลางยิ้มที่มุมปากอย่างท้าทาย
ผมหันไปมองเมียที่นอนกรนฟี้ๆ อยู่บนเตียง เมียของผมคงไม่รู้อะไรหรอก ปล่อยให้เธอสุขสบายกับความฝันเถอะ ผมเองนอนไม่หลับอยู่แล้ว ออกไปเปิดหูเปิดตาเสียบ้างจะเป็นไรไป กลับมาอาจนอนหลับเป็นตายก็ได้
“รอสักครู่นะ”
ผมแต่งตัวด้วยความรวดเร็ว
ไม่กี่นาทีต่อมาเราทั้งสามก็เข้ามาอยู่ในร้านคาราโอเกะมีชื่อแห่งหนึ่ง ดึกๆ นักเที่ยวไม่มาก ห้องวีไอพีจึงว่างให้เราแหกปากร้องเพลงกันสุดเหวี่ยง
พอเหล้าเข้าปากหลายอย่างดีขึ้นเยอะ สาวสวยสองคนนั่งขนาบข้างคนมีเมียแล้วอย่างผม คิดแล้วหัวใจก็พองโตอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เป็นหนุ่มขึ้นอีกหลายปี ดูพวกเธอไม่ถือเนื้อถือตัว มือสองข้างของผมจึงเปะปะไปเรื่อย พวกเธอไม่ว่ากระไร แถมยังหัวเราะระริกอีกด้วย
“ดึกดื่นทำไมไม่นอน พรุ่งนี้ต้องทำงานมิใช่หรือ” ผมถามเล่นๆ
“คุณล่ะ ทำไมไม่นอน” คนสวยที่สองถามกลับ
“นอนไม่หลับ”
“เมียคุณคงไม่ใช่คนเรื่องมากสินะ...” คนสวยที่หนึ่งถามบ้าง
“เมียผมไม่รู้อะไรด้วยหรอก”
“น่าอิจฉานะ...มีเมียขี้เซา” ดูคนสวยที่สองพูดสิ พูดไม่พูดเปล่ามือไม้ของเธอยังอยู่ไม่เป็นสุขอีกแน่ะ
“คุณสองคนทำงานที่ไหน” คำถามเป็นงานเป็นการของผมสะกดให้สองสาวนิ่งงัน ชั่วครู่เธอหันมายิ้มให้กันแล้วหัวเราะร่วน
“คุณรู้...ยังมาถามอีก” คนสวยที่หนึ่งว่า
“ใช่...ไม่บอกคุณก็รู้” คนสวยที่สองสนับสนุน
“ผมรู้ว่าพวกคุณร้องเพลงในห้องอาหาร...แต่ที่ไหนล่ะ”
“จะรู้ไปทำไม แค่นี้ก็รู้มากแล้ว” คนสวยที่สองว่า จากนั้นเธอก็หันไปหาจอทีวีเพื่อครวญเพลง ลืมเรื่องที่คุยกันชั่วขณะ
มีบางสิ่งบางอย่างที่ผมสงสัย พวกเธอทำงานในห้องอาหารก็เจอผู้คนและเสียงดนตรีมากแล้ว เธอน่าจะเบื่อหรือไม่ก็อยากหลีกหนีไปในที่ที่ดีกว่า ที่แตกต่างกันสุดขั้วอะไรอย่างนั้น ผมเองยังเคยเบื่องานที่ทำทุกวันเลย ถ้าผมเบื่อจากงานประจำ ผมจะลายาว จากนั้นก็นั่งรถไฟขึ้นเหนือเพื่อเยี่ยมชมธรรมชาติ หายเบื่อก็เข้าทำงานต่อ แต่พวกเธอสิทำงานประจำคือร้องเพลง พอออกมาเที่ยวก็เข้าร้านคาราโอเกะ
“ถามจริงๆ เถอะ พวกคุณไม่เบื่อเพลงพวกนี้บ้างหรือ ทำงานในห้องอาหารไม่เบื่อแขก เบื่อเสียงเพลงบ้างเลยใช่ไหม ถึงอยากมาเที่ยวคาราโอเกะแห่งนี้” ผมโพล่งยาวเหยียด
“ก็เพราะเบื่อไง” คนสวยที่หนึ่งบอก
“ผมไม่เข้าใจ”
“ที่เรากำลังสนุกและร้องเพลงกันตอนนี้ เป็นสิ่งที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง ร้องเพลงในห้องอาหารต้องร้องในชุดสั้นเต่อ ล่อพวกตะเข้ทั้งหลายให้น้ำลายหก สายตานักเที่ยวแต่ละคนเป็นมันเยิ้ม เราไม่ชอบสายตาอย่างนั้น เราไม่ชอบบรรยากาศแบบนั้น แต่ขณะนี้เราทำของเราเพราะมันคือตัวเรา ไม่อยู่ในสายตาใคร จะแก้ผ้าหรือแต่งตัวรุ่มร่ามไม่ต้องสนใจ..นี่คือความแตกต่างและความสุข”
ผมได้แต่อ้าปากหวอฟังคนสวยที่สองบรรยายยาวยืด ผมแหกปากร้องเพลงคาราโอเกะด้วยฤทธิ์สุราและมึนเมาคำพูดของพวกเธอ
เรากลับอพาร์ตเมนต์ตอนตีห้าเศษๆ ผมไม่รู้จักชื่อของเธอทั้งสอง พวกเธอเองก็ไม่รูจักชื่อของผมเช่นกัน เมียของผมยังหลับปุ๋ยเช่นเดิม ผมล้มตัวลงนอนด้วยความอ่อนเพลีย ผมหลับเป็นตาย
เมียเขย่าตัวผมตอนแปดโมงเช้า ผมสะดุ้งเล็กน้อย รู้สึกอ่อนระโหยโรยแรงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน และแล้วเมียก็เล่าความฝันให้ผมซึ่งกำลังงัวเงียฟัง
“...เมื่อคืนฉันฝันว่าคุณหนีเที่ยว”
...................................................................
ตีพิมพ์ครั้งแรก “ชีวิตต้องสู้” พฤษภาคม ๒๕๔๑