ความตายของช่างตัดผม(เรื่องสั้น)
ความตายของช่างตัดผม
๑
ข่าวช่างตัดผมชราถูกฆ่าตายไม่ทำให้ชาวบ้านในหมู่บ้านชนบทห่างไกลแห่งนี้แปลกใจนัก เพียงแต่หลายคนคิดว่ามันเร็วเกินไป ชาวบ้านวิจารณ์เหตุการณ์อุกอาจยิงช่างตัดผมกลางวันแสกๆ อย่างเผ็ดร้อน
ชายชราช่างตัดผมไม่มีลูกไม่มีเมีย แกอยู่ตัวคนเดียวตั้งแต่เป็นหนุ่มน้อย พ่อของแกเคยเป็นช่างตัดผมประจำหมู่บ้านนี้มาก่อน ผู้เป็นพ่อได้ถ่ายทอดวิชาช่างตัดผมให้กับลูกชายโทนจนหมด ไส้หมดพุง ส่วนผู้เป็นแม่ก็เป็นชาวนาเหมือนชาวบ้านทั่วไป หากว่างเว้นจากการทำงานก็ทำขนมขาย สามชีวิตดำเนินชีวิตอย่างเรียบง่าย ครอบครัวนี้จึงไม่ลำบากนัก
หากย้อนกลับไปปู่ของชายชราช่างตัดก็เป็นช่างตัดผม อาจบอกได้ทีเดียวว่าตระกูลนี้ทั้งตระกูลเป็นช่างตัดผม เป็นอาชีพที่ต้องเอาผมออกจากศีรษะคน เท่าที่ชายชรารู้มาปู่ของแกได้เอาชีวิตไปทิ้งในสนามรบครั้งสงครามเวียดนาม
ตอนเป็นเด็กช่างตัดผมอยู่ในวงล้อมของลูกค้าทุกวัย ตั้งแต่เด็กนักเรียนผมเกรียนจนถึงคนชราผมขาวทั้งศีรษะ การสนทนาปราศรัยเกิดขึ้นอย่างไม่มีพิธีรีตอง บางคนไม่ได้มาเพื่อตัดผม พวกเขามาเพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องราวแล้วก็กลับ ร้านตัดผมใต้ถุนบ้านจึงกลายเป็นที่ประชุมย่อย ของหมู่บ้านรองจากที่ประชุมหลักที่บ้านผู้ใหญ่บ้านไปโดยปริยาย
ประเด็นต่างๆ ทั้งการบ้านการเมือง สังคม อาชญากรรม ฆ่า ข่มขืน ลูกสาวใครหนีไปกับไอ้หนุ่มหมู่บ้านไหน ถูกเล่าปากต่อปากอย่างออกรส เด็กน้อยเห็นพ่อเป็นศูนย์กลางแห่งการเล่าเรื่องทั้งหมด หากจะพูดให้ถูกต้องตามหลักการก็คือ พ่อของเด็กน้อยเป็นประธานในที่ประชุมนี้โดยไม่ได้ตั้งใจ
เด็กน้อยซึมซับเรื่องราวเล่าขานภายในหมู่บ้าน และวิชาช่างตัดผมนับแรมเดือนแรมปี อีกทั้งยังซึมซับเอาท่วงทำนองของการเล่าเรื่อง การฟัง การแสดงความคิดเห็นจากผู้เป็นพ่อ เทิดทูนผู้เป็นพ่อให้เป็นพระเอกในดวงใจ พ่อของเด็กน้อยถึงแม้จะดื่มเหล้าและสูบบุหรี่บ้าง แต่ก็ชอบความยุติธรรม ความชอบธรรม ชอบช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก และก็ด้วยเหตุนี้เองจึงเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับความไม่ชอบมาพากลบางอย่าง จะเป็นเรื่องอะไรนั้นเด็กน้อยยังไม่ค่อยเข้าใจนัก
ตอนที่พ่อของแกจมน้ำตายในปีนั้น ผู้ใหญ่บ้านและเจ้าหน้าที่บ้านเมืองต่างลงความเห็นว่าพ่อของแกตายด้วยอุบัติเหตุ พ่อของแกขับมอเตอร์ไซค์คันเก่าคู่ชีพกลับจากไปช่วยงานบวชที่หมู่บ้านใกล้เคียงรถเสียหลักตกลงคลองส่งน้ำ ชาวบ้านที่ออกไปจับปลามาพบและงมร่างพ่อของชายชราขึ้นจากคลองส่งน้ำ พบว่าศีรษะข้างขวาพ่อของแกยุบไปทั้งแถบคล้ายถูกตีด้วยของแข็ง เสียงเล่าลือของชาวบ้านกระจายไปต่างๆ นานา แม่ของแกเสียใจอย่างหนัก เพราะพ่อของแกไม่เคยมีศัตรูที่ไหน ปกติพ่อของชายชราไม่ชอบออกไปไหนนัก ตัดผมและดื่มเหล้าพักผ่อนอยู่ภายในบ้านไม้หลังเล็กอันเป็นอาณาจักรเท่านั้น จะออกจากบ้านบ้างถ้ามีงานบุญที่วัด งานบวช งานแต่ง หรือมีการประชุมในหมู่บ้าน หลังจากพ่อของแกตายได้ปีเดียวแม่ของแกก็ตายตาม ปล่อยให้เด็กหนุ่มอยู่เผชิญโลกตามลำพัง
แกรับช่วงเป็นช่างตัดผมเจริญรอยตามผู้เป็นพ่อไม่ผิดเพี้ยน ฝีมือการตัดผมของแกราวกับฝีมือของผู้เป็นพ่อที่ล่วงลับ ลูกค้าทั้งเด็กทั้งแก่ติดอกติดใจในฝีมือ ถึงแม้โต๊ะตัดผมจะเก่าคร่ำ สีลอกหลุดล่อน อุปกรณ์ตัดผมอย่างเช่น ปัตตาเลี่ยน หวี ที่ปัดผม จะเก่าเก็บ เนื่องจากถูกใช้งานมาจากรุ่นพ่อ แต่แกไม่ทิ้งมัน แกซ่อมแซมและดูแลมันอย่างดี เพราะมันเป็นมรดกตกทอดอย่างเดียวที่พ่อของแกทิ้งไว้ให้
๒
ก่อนที่ช่างตัดผมวัยชราจะถูกยิงตายคาโต๊ะตัดผมเพียงหนึ่งสัปดาห์ ร้านตัดผมใต้ถุนบ้านหลังเก่าโทรมมีผู้คนเดินเข้าออกไม่ว่างเว้นราวกับเป็นการประชุมใหญ่ประจำปี
ลูกค้าคนแรกของวันคือตาไผ่หลังโก่ง
“ทรงเดิมนะช่าง” ตาไผ่ว่าหลังจากขึ้นนั่งบนโต๊ะตัดผมเรียบร้อย ช่างตัดผมมักจะจำได้หมดว่าใครเคยตัดทรงอะไร มีน้อยรายที่จะเปลี่ยนทรง ตาไผ่คนนี้ตัดสั้นเกรียนติดหนังหัวตั้งแต่หนุ่มจนแก่
“ข้าบอกเอ็งด้วยความหวังดีนะช่าง เรื่องก่อสร้างอาคารที่ทำการ อบต.น่ะ แกอย่าไปวุ่นวายกับเขาเลยนะ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของทางการเถอะ” ตาไผ่ผู้คุ้นเคยกันดีชวนคุย
“ฉันไม่เห็นได้ทำอะไรนี่ตาไผ่ ก็แค่พูดทักท้วงในที่ประชุมของหมู่บ้านเท่านั้น”
“ก็นั่นแหละ ข้าเป็นห่วงเอ็งนะ ข่าวว่าพวกนี้มันมีอิทธิพลมาก เงินทอง อำนาจ ไม่เข้าใครบอกใครนะโว้ย”
“ยังไงก็ขอบใจนะตาไผ่ที่เตือน”
ตาไผ่กลับไปแล้ว มีลูกค้ามาต่อคิวหลายราย พูดคุยกันเรื่องทั่วไป ไม่มีอะไรน่าสนใจ จะมีก็แต่ทิดหวังเท่านั้นที่ทำให้ช่างตัดผมต้องตั้งใจฟัง
“เมื่อวานฉันผ่านไปสถานที่ก่อสร้างอาคารที่ทำการ อบต.แห่งใหม่ ช่างที่กำลังก่อสร้างหันมามองเป็นตาเดียวกัน ฉันนี่ขนลุกเกรียว หน้าตาท่าทางแต่ละคนเอาเรื่องทั้งนั้น เป็นคนต่างถิ่นที่ฉันไม่เคยพบเคยเห็น มีพ่อค้าในตลาดตัวอำเภอบอกฉันว่าตอนนี้มีมือปืนเข้ามาป้วนเปี้ยนในอำเภอนี้แล้ว ระวังตัวไว้ก็ดีนะช่าง พวกมันไม่ฟังที่ช่างพูดหรอก มันเอาจริง เคยมีข่าวยิงกันตายทั้งห้องประชุม อบต.มาแล้วมิใช่หรือช่าง ไม่มีเรื่องอะไรหรอก ขัดแย้งเรื่องผลประโยชน์ หรือไม่ก็เรื่องการเมืองท้องถิ่นนี่แหละ”
ช่างตัดผมชราได้แต่หัวเราะหึๆ ในลำคอ ก่อนทิดหวังจะจากไป ช่างตัดผมขอบอกขอบใจที่แจ้งข่าวให้รู้ ยังไงก็จะระมัดระวังตัวให้ดีที่สุด
บ่ายแก่ๆ นั้นช่างตัดผมถึงกับสะดุ้ง เมื่อผู้ใหญ่บ้านได้เดินเข้ามาในร้านตัดผมเก่าโทรมของแก ผู้ใหญ่บ้านเป็นคนหนุ่ม ตั้งแต่ได้รับตำแหน่งไม่เคยเข้ามาตัดผมในร้านของแกเลย เขาเข้าไปตัดผมที่ร้านในตลาดตัวอำเภอโน่น
หลังจากคลุมผ้าขาวเรียบร้อย ผู้ใหญ่บ้านหนุ่มก็เอ่ยขึ้น
“ไม่ตัดผมนะช่าง แค่โกนหนวดเครา กับแคะหู”
“อ๋อ..ได้ๆ ผู้ใหญ่” ช่างตัดผมรับคำ รู้สึกแปลกใจพิกล และแล้วทุกอย่างก็กระจ่าง
“เรื่องที่แกพูดทักท้วงการก่อสร้างอาคารที่ทำการ อบต.แห่งใหม่ ครั้งที่ประชุมหมู่บ้านนั่นน่ะ แกอย่าได้ไปแพร่งพรายออกไปนอกหมู่บ้านหรือตำบลนี้เลย จะบอกอะไรให้ฉันไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับเรื่องนี้หรอกนะ สมาชิกอบต. นายก อบต. เขาว่ากันเอง ฉันไม่เกี่ยว ที่ฉันพูดนี่เพราะฉันหวังดีหรอกนะ”
ช่างตัดผมชราไม่ปริปาก แกทำงานอย่างเงียบๆ พยายามบังคับมือไม่ให้สั่นจนมีดโกนบาดคอผู้ใหญ่บ้าน ช่วงเวลาแห่งความอึดอัดนี้ช่างยาวนานเสียนี่กระไร
ผู้ใหญ่บ้านกลับไปแล้ว ช่างตัดผมปิดร้านแล้วนั่งจิบเหล้าพลางคิดเรื่อยเปื่อย แกเฝ้าถามตัวเองว่าพูดอะไรในที่ประชุมผิดไปหรือ แค่พูดว่าไม่เห็นด้วยกับการก่อสร้างอาคารที่ทำการ อบต. แห่งใหม่ ที่ใช้งบประมาณก่อสร้างถึงห้าสิบล้านบาท ขณะที่ชาวบ้านยังยากจนหาเช้ากินค่ำ บางคนแค่ตัดผมยังขอติดไว้ก่อน ชายชราช่างตัดผมออกความเห็นแค่นั้น ทว่ามันได้ปลุกกกระแสชาวบ้านให้ไม่พอใจผู้เกี่ยวข้องในการก่อสร้าง จนกลายเป็นคลื่นใต้น้ำที่รอวันกระเพื่อมลูกใหญ่
หลังจากวันประชุมช่างตัดผมพยายามไม่พูดถึงเรื่องการก่อสร้างอาคารที่ทำการ อบต.อีก ถึงแม้ลูกค้าจะชวนคุยแลกเปลี่ยน แกก็บ่ายเบี่ยงและยกเอาเรื่องอื่นขึ้นมาพูดคุยแทน แกไม่อยากให้ชาวบ้านที่รู้จักมักคุ้นกันมาแต่ครั้งเป็นเด็กต้องแตกแยก แตกความสามัคคีกัน ก็นายก อบต. สมาชิก อบต.ทั้งหลายนั่นเป็นใครที่ไหนกันเล่า เป็นเครือญาติกันทั้งนั้น
๓
ลมแล้งร้อนพัดผ่านมาพร้อมกับข่าวร้ายแห่งหมู่บ้าน
วันทั้งวันไม่มีลูกค้าเข้ามาตัดผม ช่างตัดผมชรานึกแปลกใจกับความเป็นไปนี้ ไม่เคยมีสักวันเดียวที่ร้านตัดผมของแกจะว่างเส้นผมบนพื้น อย่างน้อยๆ วันหนึ่งๆ จะต้องได้ตัดผมสักสองสามหัว แต่วันร้อนอบอ้าวนี้ได้ผ่านชั่วโมงบ่ายมาแล้ว แต่ยังไม่มีลูกค้าสักรายเดียว
ช่างตัดผมชรานั่งบนโต๊ะตัดผมพลางกางหนังสือพิมพ์ฉบับวันนี้อ่านฆ่าเวลา ข่าวบนหน้าหนังสือพิมพ์มีแต่เรื่องเลวร้าย การทุจริตคอรัปชั่นมีอยู่ทุกหัวระแหง แม้แต่ในวัดวาอารามก็ไม่เว้น ข่าวอาชญากรรม ฆ่า ข่มขืน ยึดครองหน้าหนึ่งเต็มพรืด การเมืองยังคุกรุ่นไปด้วยความไม่เท่าเทียม ความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวยและคนจน ปัญหาที่ดินทำกินของชาวชนบทที่นับวันจะกลายเป็นของนายทุนเงินถังไปหมดแล้ว
“ช่าง....” เสียงแปลกหูตะโกนเรียก ช่างตัดผมชราชะตาขาดหันหลังกลับไปมอง แทบไม่ทันตั้งตัวมฤตยูสีดำมะเมื่อมก็กัมปนาทสามนัดซ้อน
ช่างตัดผมประจำหมู่บ้านสิ้นชื่อเสียแล้ว
ข่าวการตายของช่างตัดผมประจำหมู่บ้านปลุกให้ชาวบ้านลุกฮือขึ้นขับไล่นายก อบต.สมาชิก อบต. กำนัน และผู้ใหญ่บ้าน ในเขตพื้นที่บริหารขององค์การบริหารส่วนตำบลทั้งหมดออกจากตำแหน่ง
ชาวบ้านประมาณสองร้อยคนจากแปดหมู่บ้านเดินเท้าไปยื่นหนังสือถึงนายอำเภอให้มีการสอบสวนการก่อสร้างอาคารที่ทำการ อบต.แห่งใหม่ และให้ติดตามจับกุมผู้ก่อเหตุและผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดในคดีฆ่าช่างตัดผมประจำหมู่บ้านอย่างเร่งด่วน หากไม่ดำเนินการภายในสามสิบวัน ชาวบ้านจะเดินทางไปยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีเพื่อขอความเป็นธรรม
ป้ายกระดาษสีหม่นมัวที่ชาวบ้านเขียนด้วยลายมือโย้เย้ไม่เป็นระเบียบซึ่งกางหราหน้าที่ว่าการอำเภอนั้น สะกดสายตาแก่ผู้พบเห็นให้นิ่งมองอย่างสะเทือนใจ
“เรามาขอความเป็นธรรมให้ช่างตัดผมประจำหมู่บ้าน”
“ช่างตัดผมจะไม่ตายฟรี”
“ช่างตัดผมจะอยู่กับเราตลอดไป”
๔
ภายในห้องกระจกเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำของนายอำเภอ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใบหน้าบวมฉุผู้กว้างขวางนั่งพ่นควันบุหรี่ปุ๋ยๆ อย่างไม่ยี่หระ
“นายอำเภอออกไปรับหนังสือตามปกติ รับปากชาวบ้านว่าจะดำเนินการให้ตามที่เรียกร้อง ยิ้มเข้าไว้นายอำเภอ ผู้กำกับจับตาแกนนำไว้ หลังจากที่พวกชาวบ้านแยกย้ายกลับไปแล้วให้จัดการอย่างเฉียบขาดไร้ร่องรอย ส่วนนายก อบต.กลับไปลบบ้าน ร้านตัดผม และชื่อของช่างตัดผมออกจากสารบบซะ ทำอย่างไรก็ได้ เผา ฝัง กลบ แล้วแต่สะดวก ถ้าจำได้หลายสิบปีก่อนผมนี่แหละเป็นคนลบชื่อพ่อของช่างตัดผมออกจากบัญชี โดยการโยนทั้งมอเตอร์ไซค์และคนขี่ลงคลอง ตอนนี้อย่าให้เหลือเชื้อของช่างตัดผมอีก แม้เส้นผมสักเส้นเดียวก็อย่าให้เหลือ พวกคุณไปทำตามที่ผมบอก ผมจะคุยกับท่านรัฐมนตรีเอง เอาล่ะไปจัดการ”
นายอำเภอ ผู้กับการสถานีตำรวจ นายก อบต.ลุกจากเก้าอี้แล้วเดินออกไปปฏิบัติตามที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้ทรงอิทธิพลในจังหวัดสั่งการอย่างว่าง่าย
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้มีใบหน้าบวมฉุยิ้มพราย ปัญหามีไว้แก้โว้ยไอ้พวกงั่ง เขานึกกระหยิ่มในใจ ไม่กี่วันเรื่องก็เงียบเอง ห้าสิบล้านบาทเรื่องขี้ผง หลังจากนั้นเขาก็กดโทรศัพท์ไปหาสื่อมวลชนกระแสหลักทุกแขนง
๕
ข่าวบ้านของช่างตัดผมชราถูกไฟไหม้กลางดึก และข่าวการหายไปของแกนนำชาวบ้าน บางคน ไม่มีการเสนอข่าวทางหน้าหนังสือพิมพ์หรือโทรทัศน์ ซึ่งเรื่องนี้ไม่ทำให้ชาวบ้านในหมู่บ้านชนบทห่างไกลแห่งนี้แปลกใจนัก เพียงแต่หลายคนคิดว่ามันเร็วเกินไป ชาวบ้านวิจารณ์เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างเผ็ดร้อน
...............................
พิมพ์ครั้งแรก
สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์
๘-๑๔ ธันวาคม ๖๐