หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Skype Page อัลบั้ม คำคม Glitter เกมถอดรหัสภาพ คำนวณ การเงิน
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

กิจกรรมพิเศษ(เรื่องสั้น)

เนื้อหาโดย ทินภัทร สำเร็จงาน

กิจกรรมพิเศษ

 

ตอนที่จิตราอายุสิบเจ็ดสิบแปดปีหล่อนเคยคิดแค่ว่าประชาธิปไตยก็คือการออกไปหย่อนบัตรเลือกตั้ง  จากนั้นก็เป็นเรื่องของผู้แทนราษฎรที่จะต้องทำงานรับใช้ประชาชน  ทว่าเมื่อหล่อนกร้านโลกกร้านสังคมจึงรู้ว่าตัวเองช่างโง่บรมทีเดียว  สมองคิดได้แค่การกาบัตรและการหย่อนบัตร งานที่หล่อนทำต้องพบปะผู้คนมากหน้าหลายตา  จำไม่หวาดไม่ไหว  หล่อนจำได้แม่นยำที่สุดก็คงจะเป็นนายวิชิตชัย  ซึ่งเป็น ส.ส.ทางภาคอีสานที่มาติดพันหล่อนและรับผิดชอบเลี้ยงดู  จ่ายค่าเช่าคอนโดและจ่ายค่าใช่จ่ายรายเดือนให้  หากนายวิชิตชัยเข้ากรุงเทพฯ มาประชุมสภาเมื่อไหร่  หล่อนจะได้รับเงินตอบแทนพิเศษนอกเหนือจากค่าใช้จ่ายประจำเดือน

ชีวิตของจิตรานั้นทุกข์ยากมาตั้งแต่เยาว์วัย  หล่อนเติบโตมาจากจังหวัดทางภาคเหนือ  ครอบครัวของหล่อนเป็นชาวไร่ ซึ่งได้ผลผลิตแต่ละปีไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยนัก พี่น้องท้องเดียวกันมีทั้งหมดห้าคน  ผู้หญิงสามชายสอง  หล่อนเป็นพี่สาวใหญ่จึงต้องรับภาระเลี้ยงดูน้องๆ  และออกกลางแจ้งทำไร่ช่วยพ่อแม่   ตอนที่จิตราอายุสิบหกปีพ่อของหล่อนก็เสียชีวิตลงด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์  วันนั้นพ่อเดินทางเข้าจังหวัดด้วยรถสองแถวประจำหมู่บ้าน เพื่อไปซื้อเครื่องไม้เครื่องมือทำไร่ที่ยังขาดแคลน  ขากลับรถสองแถวคันบุโรทั่งเสียหลักตกเหว  ผู้โดยสารเสียชีวิตสามคนรวมทั้งพ่อหล่อนด้วย  ส่วนที่เหลือบาดเจ็บสาหัส

อุบัติเหตุคราวนั้นทำให้ชีวิตของจิตราลำบากมากขึ้นหลายเท่าตัว  หล่อนต้องช่วยแบ่งเบาภาระของแม่  และช่วยเหลือให้น้องๆ ได้ร่ำเรียนเขียนอ่าน  ไม่อยากให้คนพื้นราบดูถูกว่าคนบนเขาโง่เง่าเต่าตุ่น  จิตราออกจากโรงเรียนมัธยมกลางคันหลังจากพ่อตาย  เส้นทางฝันที่วาดหวังว่าจะเรียนให้ถึงระดับปริญญาตรีได้สิ้นสุดลง

สองปีต่อมา  เมื่อแม่รับภาระไม่ไหวจึงรับคนเข้ามาเป็นสมาชิกในครอบครัวเพิ่มอีก   หนึ่งคน  เขามีสถานภาพเป็นพ่อเลี้ยงของหล่อน เป็นผู้ชายในหมู่บ้านนี่เอง อายุรุ่นราวคราวเดียวกับแม่ เขาทำงานในไร่ขยันขันแข็ง เสียอย่างเดียวเขามักดื่มเหล้าที่ชานเรือนในยาม     พลบค่ำ  ขณะที่แม่ จิตราและ น้องๆ ล้อมวงกินข้าวเขาจะนั่งละเลียดเหล้าขาวอย่างอารมณ์ดี  เมื่อทุกคนอิ่มหนำและเข้านอนแล้วนั่นแหละเขาจึงกินข้าวและเข้านอนบ้าง  ถึงตอนนั้นก็เป็นเวลาดึกและเขาก็เมามากแล้ว

คืนวันหนึ่ง  เหตุการณ์ตอนหัวค่ำดำเนินไปตามปกติ  หากทว่ายามดึกจิตรารู้สึกตัวตื่นเพราะมีร่างโถมทับบนตัวของหล่อน  พยายามที่จะส่งเสียง แต่มือที่ปิดปากแน่นหนายังกับแผ่นเหล็ก  เขากดร่างและถอดเสื้อผ้าของหล่อนอย่างทุลักทุเล  หล่อนดิ้นรนสุดฤทธิ์แต่ก็ไม่สามารถหลุดพ้นจากพันธนาการนั้นได้  เขากระซิบให้หล่อนหยุดดิ้นไม่งั้นเขาจะฆ่ายกครัว  จิตราจึงปล่อยให้เขารุกเร้าเคล้าคลึงกับร่างที่แข็งทื่อราวกับคนตายของหล่อน  จิตราออกจากบ้านในเช้าวันต่อมา   หล่อนเดินทางเข้ากรุงเทพฯ และได้งานทำอยู่กับเพื่อนซึ่งเป็นคนหมู่บ้านเดียวกันที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งย่านบางเขน หล่อนทำหน้าที่เป็นพนักงานเสิร์ฟอาหารและผสมเครื่องดื่มให้ลูกค้า  มันเป็นร้านเหล้าที่คลาคล่ำไปด้วยคอดื่มกิน  กว่าจะเลิกงานก็เกือบตีสอง  จิตราพักร่วมห้องกับเพื่อน  โดยหารค่าเช่ากันคนละครึ่ง  ค่าห้องสองพันห้าร้อยบาทหารสองคนก็พออยู่ได้  สิ้นเดือนหล่อนส่งเงินให้แม่และน้อง  น้องๆ ยังเรียนหนังสือ  ส่วนแม่ก็ยังคงคร่ำเคร่งอยู่กับท้องไร่ โดยมีเขา-พ่อเลี้ยงของหล่อนช่วยงาน จิตราตั้งปณิธานว่าหากไม่มีเงินทองและมีบ้านหลังใหม่ให้แม่และน้องๆ แล้ว  จะไม่กลับไปเหยียบบ้านเกิดอีก  หล่อนจะเก็บเงินไว้เยอะๆ  เพื่อสร้างอนาคตให้กับตัวเองและครอบครัว  หากถึงตอนนั้นจิตราต้องมีสามีเสียก่อน

เงินเดือนแต่ละเดือนไม่มากนัก ได้ทิปเล็กน้อยในแต่ละคืน หล่อนพออยู่ได้ในระยะแรกๆ  แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น  เมื่อภาวะเศรษฐกิจอยู่ในขั้นวิกฤต  สถาบันการเงินและร้านรวงล้มระเนระนาด  รวมถึงร้านอาหารที่จิตราทำงานอยู่ด้วย  หล่อนกลายมาเป็นคนตกงานในเมืองใหญ่  เมืองที่ต้องกระเสือกกระสนเพื่อให้ชีวิตอยู่รอด  หล่อนนึกถึงแม่และน้องๆ ที่จะต้องลำบากไปกับหล่อนด้วย   จิตราและเพื่อนปรึกษากันเรื่องออกหางานใหม่  จากวันเป็นสัปดาห์  จากสัปดาห์เป็นเดือน  เพื่อนและหล่อนก็ยังไม่ได้งานทำ  จนกระทั่งหล่อนและเพื่อนพบป้ายรับสมัครหมอนวดแผนโบราณหน้าร้านๆ หนึ่ง  โชคจึงเป็นของหล่อนและเพื่อน

ก่อนทำงานต้องมีการเรียนนวดในท่าต่างๆ จนสามารถนวดได้ครบทั้งคอร์ส  คอร์สละหนึ่งชั่วโมงครึ่ง  แลกกับเงินคอร์สละสามร้อยบาท  กับค่าทิปอีกนิดหน่อย  จิตราและเพื่อนได้ทำงานนวดแผนโบราณอยู่ที่ร้านนวดแห่งนั้นหลังจากเรียนจนคล่องมือดีแล้ว  แรกทีเดียวจิตรารู้สึกตะขิดตะขวางใจที่ต้องบีบนวดชายหญิงแปลกหน้า  หลากหลายอาชีพและหลากหลายอารมณ์  ตั้งแต่คนถีบสามล้อจนถึงรัฐมนตรี  บางคนเมาจนพูดไม่รู้เรื่อง  บางคนก็ดีแสนดีพูดจาสุภาพให้เกียรติ  บางคนกักขฬะหยาบคายและไร้เหตุผล  อย่างไรหล่อนก็ต้องรับภาวะอารมณ์ของคนพวกนี้ให้ได้ 

ไฟหลากสีหน้าร้านนวดกระพริบพราย  บรรยากาศภายในคละเคล้าเสียงเพลงเบาๆ  แสงไฟสลัวราง  จิตราต้องนั่งในตู้กระจกให้ลูกค้าเลือกเหมือนเลือกผักปลา  ทุกคนในตู้กระจกมีหมายเลขประจำตัว  หล่อนมีหมายเลขประจำตัวสามสิบหก  ทั้งๆ ที่มีป้ายขนาดใหญ่เขียนว่า “ห้ามค้าประเวณีโดยเด็ดขาด”  แต่จิตราก็รู้ว่ามีกิจกรรมพิเศษอยู่นอกเหนือจากการนวด  ซึ่งรู้เฉพาะบรรดาพนักงานนวดด้วยกันและลูกค้าบางคน  หากจะมีกิจกรรมพิเศษแบบสุดเหวี่ยงทางร้านไม่อนุญาตให้มีในร้าน  ลูกค้าและพนักงานนวดต้องตกลงกันและออกไปทำกิจกรรมพิเศษแบบสุดเหวี่ยงยังสถานที่อื่น  สำหรับกิจกรรมพิเศษแบบธรรมดาไม่กระโตกกระตากก็ทำกันอย่างลับๆ ล่อๆ ภายในร้านได้  แต่ต้องไม่ให้ใครรู้ใครเห็น เสี่ยเจ้าของร้านไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวกับตำรวจนัก

เพื่อนของจิตรามีกิจกรรมพิเศษกับลูกค้าอย่างมากหน้าหลายตา  จนกลายเป็นดาวเด่นของร้าน  หลายต่อหลายคืนที่จิตราต้องนอนห้องเช่าคนเดียว  เพราะเพื่อนไปค้างที่อื่นด้วยกิจกรรมพิเศษสุดเหวี่ยงที่ว่า   ไม่นานเดือนเพื่อนของหล่อนก็สามารถสร้างบ้านให้พ่อแม่ที่บ้านเกิด  และออกรถใหม่เอี่ยมขับโฉบไปมา  เพื่อนพยายามแนะนำให้จิตรามีทางเลือกมากขึ้น      จะมัวนั่งหลังขดหลังแข็งนวดอยู่ทำไม  ออกไปทำกิจกรรมพิเศษกับลูกค้าไม่กี่เดือนก็มีเงินหลายแสนแล้ว หากรู้จักเก็บออมปีเดียวอาจมีเงินถึงล้านบาทเลยทีเดียว เพื่อนย้ำว่าโดยเฉพาะคน    ผิวขาวหุ่นสวยเช่นจิตราด้วยแล้ว  คงมีลูกค้าขอทำกิจกรรมพิเศษสุดเหวี่ยงด้วยทุกคืนจนไม่มีเวลาพักผ่อน จะเสียดายร่างกายนี้ไปทำไม อีกหน่อยก็เหี่ยวย่นไม่มีใครเอา อีกอย่างจิตราก็ไม่ใช่คนบริสุทธิ์ผุดผ่องสักหน่อย  สู้หาเงินหาทองขณะยังเป็นสาวมิดีกว่าหรือ  ตอนที่เราอดใครช่วยเราได้บ้าง  เพื่อนของจิตราพูดกรอกหูบ่อยเข้าจิตราก็กระโจนเข้าสู่วังวนแห่งกลิ่นคาวโลกีย์  หล่อนกลายเป็นหญิงสาวกร้านโลกที่เผชิญโลกอย่างท้าทายและไม่เคยก้มหัวให้ชายหรือหญิงใด  ลูกค้าที่มีกิจกรรมพิเศษก็เป็นเพียงลูกค้า  มิใช่คนรักหรือคนพิเศษแต่อย่างใด  หล่อนมีเงินส่งบ้านเกิดอย่างต่อเนื่อง  อีกทั้งเงินในบัญชีธนาคารของหล่อนก็พอกพูนขึ้นทุกวัน  จนกระทั่งหล่อนได้พบกับนายวิชิตชัย  ส.ส. ผู้ทรงเกียรติทางภาคอีสานนั่นแหละจิตราจึงได้สัมผัสกับการเมืองในระบอบประชาธิปไตย ถึงแม้หล่อนจะยังไม่เข้าใจความหมายของมันนัก  .......................................................

            ตอนที่เห็นรถหาเสียงเลือกตั้งวิ่งหาเสียงทั่วทั้งตลาดอำเภอนั้น  เด็กชายชิตไม่ได้คิดอะไรมากหรอก  เขาชอบเพลงที่รถหาเสียงเปิดมากกว่า  เพราะมันทำให้ตลาดครึกครึ้นและมีสีสัน  เขามักวิ่งเข้าวิ่งออกร้านเพื่อดูรถหาเสียงครั้งแล้วครั้งเล่า    เขาชอบฤดูกาลหาเสียงมากก็ตรงที่มีรถหาเสียงนี่แหละ การเมืองและประชาธิปไตยคืออะไรเขาไม่สนใจ  พ่อชอบกระเตงเขาไปฟังการหาเสียงของผู้สมัครรับเลือกตั้งบ่อยๆ  เขาฟังผู้สมัครพูดบนเวทีหาเสียงด้วยความเบื่อหน่าย คนอะไรพูดได้น้ำไหลไฟดับ  คนฟังก็ช่างกระไร  ไม่รู้ชอบอกชอบใจอะไรนักหนา  เดี๋ยวก็ปรบมือเดี๋ยวก็ปรบมือ เขาจับสาระอะไรไม่ได้เลย  เข้าหูซ้ายทะลุออกหูขวา   ผ่านแล้วก็ผ่านเลย  รอว่าเมื่อไรผู้สมัครที่พูดมากคนนี้จะพูดจบและลงจากเวทีเสียที  เด็กชายชิตใจจดใจจ่อรอดูการแสดงดนตรีบนเวทีมากกว่า 

นายวิชิตชัยเกิดและเติบโตในจังหวัดทางภาคอีสาน  ครอบครัวของเขามีพี่น้องสามคน  เขาเป็นคนกลาง  พ่อแม่ทำธุรกิจร้านค้าวัสดุก่อสร้างอยู่ในตัวอำเภอหนึ่งของจังหวัดแห่งนั้น      เกิดมาเขาก็อยู่ท่ามกลางถังสีหลากยี่ห้อ ไม้แปรรูปนานาขนาด และวัสดุก่อสร้างชนิดต่างๆแล้ว  พี่สาวของเขาเข้าเรียนต่อในกรุงเทพฯ ด้านบริหารธุรกิจในมหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดัง ราคาค่าหน่วยกิตแพงหูฉี่ พ่อแม่หวังว่าพี่สาวจะกลับมาบริหารร้านค้าวัสดุแห่งนี้เป็นเรี่ยวแรงของครอบครัวต่อไป  แล้วก็เป็นไปตามที่หวัง  พี่สาวคว้าปริญญาด้านการบริหารมาได้และกลับมาบริหารร้านค้าวัสดุก่อสร้าง พ่อและแม่ซึ่งเรี่ยวแรงร่วงโรยจึงได้เพลามือลงบ้าง

พอนายวิชิตชัยเรียนจบมัธยมจากโรงเรียนประจำจังหวัดเขาสมัครสอบเข้ามหาวิทยาลัยของรัฐที่มีชื่อเสียงระดับประเทศ  แต่สอบเข้าที่ไหนก็ไม่ติดสักแห่ง  สุดท้ายนายวิชิตชัยก็สมัครเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยเปิด พ่อของเขาบอกให้เรียนด้านรัฐศาสตร์ นายวิชิตชัยตามใจพ่อ       สี่ปีต่อมาเขาก็จบปริญญาตรี  พ่อบอกให้เรียนต่อปริญญาโทในทันที  นายวิชิตชัยไม่ปฏิเสธอีกเช่นเคย  เขาก้มหน้าก้มตาเรียนอย่างดีที่สุด  นายวิชิตชัยไม่เกเรเรื่องการเรียน  อาจจะออกเที่ยวเตร่บ้างยามค่ำคืนตามประสาชายหนุ่ม  ขณะกำลังทำปริญญาโทนี่เองนายวิชิตชัยได้รู้จักเพื่อนนักศึกษาจากหลากหลายอาชีพ  นักการเมืองท้องถิ่น  นักการเมืองระดับชาติ  ข้าราชการ  ทหาร  ตำรวจ  พนักงานบริษัทเอกชน  ซึ่งคนเหล่านี้เรียนเพื่อความก้าวหน้าในหน้าที่การงานและพยายามถีบตัวเองให้สูงกว่าคนอื่น  ต่างกับเขาซึ่งยังไม่เคยทำงานที่ไหน ยังแบมือขอเงินพ่อแม่ใช้อยู่ทุกวี่วัน

อยู่มาวันหนึ่งนายวิชิตชัยได้ไปร่วมงานวันเกิดเพื่อนนักศึกษาซึ่งเป็นนักการเมืองระดับชาติ  เขาและนักการเมืองผู้นี้มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน  นายวิชิตชัยรู้สึกแปลกใจอยู่บ้างที่คนซึ่งมีอายุเท่ากับเขามีความเจริญก้าวหน้าและมีชื่อเสียงไปทั่วประเทศได้รวดเร็วปานนี้  ขณะที่เขาเองยังไม่แตะต้องงานสักอย่างเดียว  ครั้นสังเกตนามสกุลของเพื่อนนักการเมืองผู้นี้แล้วเขาก็ไม่แปลกใจอีกต่อไป  เพราะนามสกุลนี้แม้แต่คนนอกวงการเมืองก็รู้จักดี  วันนั้นเขาดื่มกินกับเพื่อนๆ นักศึกษาปริญญาโทอย่างเต็มคราบ  ตอนที่นักการเมืองหนุ่มกอดคอเขานั้น     นายวิชิตชัยเมามากแล้ว  แต่ถึงอย่างไรเขาก็จำได้ว่านักการเมืองเพื่อนของเขาชวนให้ไปร่วมพรรคการเมืองด้วย  พื้นที่ในจังหวัดของนายวิชิตชัย  โดยเฉพาะในเขตอำเภอที่เป็นบ้านเกิดของเขานั้น  ยังไม่มี ส.ส.สังกัดพรรคการเมืองที่เพื่อนของเขาสังกัดอยู่เลย  นายวิชิตชัยได้แต่อือๆ ออๆ  แล้วก็ลืมเรื่องนั้นไป

จนกระทั่งเรียนจบปริญญาโท  เพื่อนนักการเมืองจึงโทรศัพท์มาหาและบอกเขาว่าจะมีการยุบสภาและเลือกตั้งเร็วๆ นี้ ขอให้เขาลงสมัครรับเลือกตั้ง นายวิชิตชัยตอบตกลงที่จะเป็นตัวแทนของพรรคการเมืองซึ่งเพื่อนของเขาสังกัดอยู่   และจะลงสมัครรับเลือกตั้งในเขตจังหวัดบ้านเกิด  นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของการเป็นนักการเมืองของนายวิชิตชัย  ซึ่งมันเรียบง่ายเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น  เขาไม่มีอะไรในหัวสำหรับการเป็นนักการเมือง  หากทว่าเขาปฏิเสธใครไม่เป็น  เขาคิดเพียงว่าเป็นการทำกิจกรรมพิเศษระหว่างที่ไม่มีอะไรจะทำเท่านั้น  ครั้งนี้เขาตามใจเพื่อนและที่สำคัญถูกใจพ่อของเขามาก  พ่อหลงรักการเมืองตั้งแต่เป็นหนุ่ม  แต่พ่อไม่มีโอกาสเหมือนเขา  เช่นนี้เอง พ่อจึงทุ่มเทเงินทองช่วยเขาหาเสียงอย่างไม่อั้น เขาเพียงแต่เสนอหน้าตามงานตามเวทีต่างๆ  ส่วนที่เหลือพ่อจัดการเอง  รถหาเสียง  ป้ายหาเสียง  รวมทั้งทีมงานหาเสียง  พ่อจัดการค่าใช้จ่ายทั้งหมด แม้แต่การปราศรัยบนเวทีก็เป็นหน้าที่ของพ่อเป็นส่วนใหญ่         ผลการเลือกตั้งออกมาทำให้วิชิตชัยถึงกับตกตะลึง  เขาได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของเขตการเลือกตั้งนั้น  ทั้งที่เขาแทบไม่ได้ทำอะไรและทำงานไม่เป็นสักอย่าง ผู้คนทุกสาขาอาชีพหลั่งไหลมาร่วมยินดีกับเขา  เขายิ้มต้อนรับอย่างแกนๆ  ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพ่อ  หลังจากนั้นตัวแทนพรรคการเมืองประจำภาคก็เชิญเขาไปพบ  เขาเดินทางไปกับพ่อ  จากผลการเลือกตั้งทางพรรคสนับสนุนเขาด้วยเงินจำนวนหนึ่ง  โดยพรรคขอให้นายวิชิตชัยยกมือสนับสนุนพรรคในทุกเรื่องทุกกรณีเป็นพอ  เขาไม่ขัดข้อง  นายวิชิตชัยไม่สนใจในเรื่องนี้นัก      ให้พ่อเป็นผู้รับผิดชอบจัดการ  เขาปล่อยให้พ่อดำเนินการทุกอย่างตั้งแต่การพูดคุยตกลงเรื่องโควตารัฐมนตรี  เรื่องเงินงบประมาณสนับสนุนท้องถิ่นหรืองบ ส.ส. ตลอดจนเรื่องกำหนดการต่างๆ นายวิชิตชัยมีหน้าที่เพียงปรากฏตัวตามสถานที่ต่างๆ ตามกำหนดการ  แม้แต่การประชุมรัฐสภาเขาก็ให้พ่อเป็นคนบอกว่าวันไหนมีการประชุมสภา เขาจะได้ไปปรากฏตัวที่รัฐสภาถูก การพบปะชาวบ้านที่เลือกเขาก็เหมือนกัน  เขาปล่อยให้พ่อออกไปพบปะชาวบ้านและช่วยเหลือชาวบ้านแทน 

ด้วยความเป็นชายหนุ่มและโสด  นายวิชิตชัยจึงพลัดหลงเข้าไปสู่หุบเหวแห่งคาวโลกีย์  หลังจากประชุมสภาคืนนั้น  เขาได้เข้าไปนวดในร้านๆ หนึ่งและได้รู้จักกับจิตรา เขาหลงใหลหล่อนอย่างหัวปักหัวปำ  เขาและหล่อนพบปะกันเรื่อยมา  สุดท้ายเขาก็เช่าคอนโดให้หล่อนอยู่และให้เงินค่าใช้จ่ายเป็นประจำทุกเดือน  ถึงตอนนี้นายวิชิตชัยเริ่มสนใจเงินที่พรรคสนับสนุนบ้างแล้ว  พ่อบอกจำนวนเงินให้รู้  ซึ่งก็มีจำนวนหลายล้านบาท  เขาขอเงินพ่อมาก้อนหนึ่งสำหรับปรนเปรอจิตรา  หลายเดือนต่อมาเงินนั้นก็หมดลง

แล้วเหตุการณ์ที่นายวิชิตชัยคิดไม่ถึงก็เกิดขึ้น  พ่อของเขาเสียชีวิตอย่างปุบปับด้วยโรคหัวใจ  ทั้งๆ ที่รู้กันอยู่แล้วว่าพ่อเป็นโรคหัวใจ  ทว่าสมาชิกในครอบครัวก็ยังทำใจไม่ได้     พ่อเป็นทุกอย่างของครอบครัว  ถึงแม้จะเพลามือเรื่องร้านค้าวัสดุก่อสร้างลงบ้าง  แต่พ่อของเขาทุ่มเทหนักไปด้านการลงพื้นที่ช่วยลูกชายโรคหัวใจจึงกำเริบขึ้น

          หลังจากพ่อเขาตายเหมือนอะไรๆ ดูแย่ไปหมด  ร้านค้าวัสดุก่อสร้างเริ่มซบเซา      เพราะภาวะเศรษฐกิจที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ พรรคการเมืองไม่ให้เงินสนับสนุนนายวิชิตชัยอีกเพราะเขาไม่เคยลงพื้นที่พบปะชาวบ้าน  ทำให้คะแนนนิยมของพรรคลดน้อยลง  สถานภาพการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของนายวิชิตชัยอยู่ในภาวะง่อนแง่นเต็มที  เงินทองของเขาแทบไม่มีเหลือ  จะขอแม่ขอพี่สาวก็รู้สึกไม่สบายใจ  นายวิชิตชัยจึงตกอยู่ในภาวะฝืดเคืองอย่างหนัก

.............................................................................  

หลังจากนายวิชิตชัยกับจิตรามีกิจกรรมพิเศษแบบสุดเหวี่ยงแล้ว

“เฮียไม่มีเงินแล้วนะ”

“เฮียเป็น ส.ส.มิใช่หรือ”

“เป็น ส.ส.แล้วไง  จนไม่เป็นหรือ    ไหนจิตบอกว่ารักเฮีย  เงินไม่เกี่ยว”

“จริงๆ มันก็ไม่เกี่ยวหรอกเฮีย  จิตรักเฮียจริงๆ นะ  เพราะเฮียเป็นคนดี  แต่จิตไม่ได้ทำงานตั้งแต่คบหากับเฮียแล้ว  เฮียบอกว่างานหมอนวดมันไม่เหมาะกับจิต  และเฮียก็กลัวว่าจะทำให้เสื่อมเสียเกียรติของการเป็น ส.ส.ของเฮีย   จิตไม่ได้ทำงานเป็นปีแล้ว  ถ้าเฮียไม่มีเงินให้แล้วจิตจะเอาเงินที่ไหนส่งให้แม่และน้องล่ะ”

“เฮียกำลังหาทางอยู่”

“เฮียให้จิตกลับไปทำงานเหมือนเดิมเถอะ”

“ทำงานเหมือนเดิม  หมอนวดน่ะหรือ”

“ใช่”

“แล้วเฮียจะเอาหน้าตาไปไว้ไหนล่ะ  ถึงอย่างไรเฮียก็ยังเป็นผู้แทนราษฎร”

“ส.ส.ผู้ทรงเกียรตินะรึ”

“ก็ใช่น่ะซี”

“ถ้าเฮียรักเกียรติรักชื่อเสียง  เฮียก็ไปจากชีวิตจิตซะตอนนี้  ถึงอย่างไรชีวิตเราก็เริ่มต้นใหม่ได้  เฮียไปเป็น ส.ส.ผู้ทรงเกียรติทำหน้าที่แทนพี่น้องประชาชนที่เขาเลือก  ส่วนจิตจะกลับไปเป็นหมอนวดผู้ไร้เกียรติตามเดิม”

“โธ่จิต..ก็”

“วันนี้เฮียมาประชุมสภาใช่มั้ย”

“ประชุมสภา  ใช่  เกือบลืม”

“เฮียเป็น ส.ส.ประเภทไหนนะ  ใช้แต่พ่อทำงานแทนทุกอย่าง  พอเสียพ่อก็ทำอะไร     ไม่เป็น  สงสารคนเลือกมานัก”

“กี่โมงแล้ว”

“สิบโมง”

“งั้นเฮียไปประชุมสภานะ   เรื่องเราเดี๋ยวคุยกันอีกที”

“ไปเถอะ...เดี๋ยวสภาล่มอีก” 

“เฮียขอยืมเงินเติมน้ำมันรถหน่อย”

“ห้าร้อยพอมั้ย”

“ก็ได้...เดี๋ยวเฮียคืนให้นะ...”

          ครั้นนายวิชิตชัยออกจากคอนโดได้สักครึ่งชั่วโมง  จิตราก็อาบน้ำ ประพรมน้ำหอม  แต่งตัวด้วยชุดเฉิดฉาย  สำหรับออกไปพบรัฐมนตรีผู้มากบารมีท่านหนึ่ง  จุดนัดพบเป็นโรงแรมหรูย่านธุรกิจกลางใจเมือง  หล่อนไปพบท่านรัฐมนตรีเพื่อติดต่อธุรกิจพิเศษ  มันเป็นความลับระหว่างท่านรัฐมนตรีกับหล่อน ซึ่งจิตราไม่เคยบอกให้ใครรู้ แม้แต่นายวิชิตชัยนักการเมืองหนุ่มผู้เลี้ยงดูส่งเสียหล่อนมากว่าหนึ่งปี

          การเมืองในระบอบประชาธิปไตยคงจะหมายถึงการจัดการกับผลประโยชน์และการดำเนินกิจกรรมพิเศษสำหรับใครบางคนเท่านั้น...จิตราสรุปและยิ้มให้ตัวเองในกระจก

                   

.........................

                                       

                      พิมพ์ครั้งแรก

                     สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์

                     ฉบับวันที่ ๔ – ๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๖

เนื้อหาโดย: ทินภัทร สำเร็จงาน
⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
มาดูรีเเอคชั่น เมื่อชาวต่างชาติได้ยินเพลง “ออเจ้า” ในเวอร์ชั่นโอเปร่า 🥰ปาร์ตี้ทั้งคืน ดื่มจนหนัก มาพักตับกันบ้าง ด้วย 5 วิธีพักตับหลังปาร์ตี้ ดูแลฟื้นฟูได้ง่าย ๆ13 ของว่าง ของกินเล่น พลังงานต่ำ ไม่อ้วน แคลน้อย สำหรับคนลดน้ำหนัก กินแล้วอิ่มนาน"ชายวัย 59 ปี ทานกล้วย 2-3 ลูกทุกคืน พบความจริงหลังการตรวจสุขภาพ"น้องมิลค์หน้านิ่ง คว้าอันดับ 2 ในการแข่งโดรนเรสซิ่งชิงแชมป์โลก 2024ใบเฟิร์น โพสท่าสุดเท่ อวดหุ่นเป๊ะอุบัติเหตุใหญ่ รถทัวร์ชนรถบรรทุกพ่วงผู้โดยสารเจ็บยกคันแฟนพันธุ์แท้ Hello Kitty รับไม่ได้ ส่งข้อความให้แบนคนจีนที่ซื้อสินค้าไปหมดตำแหน่งที่ปวดศีรษะ อาการเหล่านี้ บ่งบอกว่ากำลังเป็นอะไรอยู่วันหยุดปี 2568 มาแล้ว! เช็กปฏิทินวันหยุดราชการ เตรียมแพลนวันพักผ่อนสาววัย 26 เมียมหาเศรษฐี เปิดเผย 'กฎเกณฑ์' ที่สามีกำหนด ทำชาวเน็ตตะลึง!ชูวิทย์ จับมือ“สันธนะ พูดคุยเคลียร์ใจ คดีหมิ่นประมาท
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
ลมหนาวมาฝุ่น PM2.5 ก็เริ่มกับมากระทบคนกรุงอีกทนายตั้มโผล่กองปราบ! หลังถูกแจ้งความ!น้องไปป์ ลูกชายยิ่งลักษณ์ สำเร็จการศึกษาระดับสูง พร้อมรับ 2 รางวัลสุดยอดบุกบ้าน “หมอดูฮวงจุ้ยชื่อดังตี่ลี่” ปิดเงียบ
กระทู้อื่นๆในบอร์ด นิยาย เรื่องเล่า
ตำนานรักสามเส้า ท้าวบางเจียง กับนางมะโรง (ທ້າວບາຈຽງນາງມະໂລງ)ผีหน้ารั้วตำนาน เขาอกทะลุ จังหวัดพัทลุงเมื่อข้าหลับตาต้องมีคนจากโลก
ตั้งกระทู้ใหม่