ผลกรรมของ ดำ “เอสโซ่” แม้แต่นอนเป็นอัมพาต ก็ต้องจบชีวิตด้วยปืน
ดํา “เอสโซ่” เป็นชื่อฉายาของวัยรุ่นเกเรเมื่อ 40 กว่าปีล่วงมาแล้ว เขาผู้นี้มีชื่อนามสกุลจริง ที่ไม่กล่าวถึงเพื่อไม่ให้กระทบกระเทือนผู้ร่วมสกุลเดียวกับเขา ในสมัยเมื่อ 30 กว่าปีก่อน เหตุที่เด็กวัยรุ่นบางกลุ่มสมัยนั้นนิยมชมชอบในทางเลวมีอยู่หลายประการคือ
ข้อแรก เป็นเด็กที่มีปัญหาในครอบครัว เช่น ครอบครัวยากจน ครอบครัวแตกแยก ถูกกดดันด้านจิตใจจึงมาระบายออกใส่ทางเกะกะเกเร และแม้แต่ครอบครัวร่ำรวยก็เป็นเด็กเกเรได้เหมือนกัน เช่น ตาล “สุทธิสาร” เป็นลูกชายนายพล ครอบครัวมีฐานะร่ำรวย เขาถูกตามใจมากจึงใช้จ่ายเงินฟุ่มเฟือยในหมู่เพื่อนในที่สุดก็เตลิดไปใหญ่ กระทั่งในที่สุดต้องติดคุกติดตะรางเสียอนาคตชั่วชีวิต
ข้อสอง สภาพสิ่งแวดล้อมชักนำให้คล้อยตาม เช่น อยู่ในสลัมอยู่ในระแวกที่มีเพื่อนเลวๆ เป็นแบบอย่าง เพื่อนเลวมีความประพฤติอันเป็นภัยต่อสังคมซึ่งชักชวนให้กระทำเลวไปกับหมู่พวกเห็นเป็นการกระทำที่โก้เก๋เป็นคนเก่งในกลุ่ม
ข้อสาม สมัยนั้นเป็นยุคนักเลงดัง คนเป็นนักเลงอันธพาลจะคุมพื้นที่อันเป็นถิ่นของใครของมัน มีบารมีน่าเกรงขาม มีคนกลัวกันทั่วทางย่าน อีกทั้งยังมีรายได้ที่หามาง่ายๆ คือเก็บค่าคุ้มครองจากร้านค้า จากคิวรถเมล์ รถรับจ้าง บ่อนการพนัน ซ่องโสเภณี เป็นต้น กลายเป็นแบบอย่างของคนเก่งในสายตาวัยรุ่นเกเร วัยรุ่นอยากจะเป็นนักเลงดังกับเขาบ้าง จึงแสดงความใจถึงในทางร้ายออกมา ในที่สุดก็ทำให้ก่อคดีอุกฉกรรจ์ขึ้น เช่น แทง ยิง ฆ่า คู่อริโดยไม่ยั้งคิด
ดํา “เอสโซ่” เป็นคนเงียบๆ ไม่พูดมาก ดูเหมือนเขาจะมีปมด้อยหรือมีความรู้สึกเก็บกดบางอย่างอยู่ในใจ แต่เขาไม่เคยพูดหรือระบายออกมาให้ใครฟัง เขาเริ่มต้นเกเรก็เพราะอยากเป็นคนดังเป็นเบื้องต้น ประกอบกับเป็นคนใจถึง ไม่กลัวคนทำให้ ดํา “เอสโซ่” มีชื่อขึ้นมาในกลุ่มวัยรุ่นมหาภัยยุคนั้นอันได้แก่ แดง “ไบเล่” ปุ๊ “ระเบิดขวด” จ๊อด “เฮาดี้”
พวกนี้จะมั่วสุมกันอยู่ตามโต๊ะบิลเลียด ตามร้านกาแฟที่มีตู้เพลงในถิ่นของตน มีการชกต่อยยกพวกตีกันก่อนเพื่อแสดงความเก่ง ต่อมาก็มีการใช้อาวุธ เช่น มีด ปืน ระเบิดขวด กลายเป็นผู้กระทำผิดกฎหมายเต็มตัว เมื่อถูกตำรวจจับ ถูกศาลพิพากษาให้ติดคุกตามโทษทัณฑ์แทนที่จะเกิดการเข็ดหลาบ กลับทำให้กร้าวกระด้างยิ่งขึ้น กลายเป็นว่ายิ่งติดคุก ยิ่งเก๋า ออกจากคุกแล้วกลุ่มนักเลงอันธพาลยอมรับว่าเป็นรุ่นใหญ่ เหตุนี้เองพวกวัยรุ่นมาหาภัยในสมัยนั้นจึงเห็นผิดเป็นชอบอย่างถอนตัวไม่ขึ้น
ดํา “เอสโซ่” ก็ถลำไปในทางชั่วแบบนี้เหมือนกัน ประกอบกับจิตใจของเขามีความเหี้ยมเกรียมเป็นพื้นสันดาน ทำให้เขาฆ่าศัตรูได้อย่างไม่ลังเล ครั้งหนึ่ง ดํา “เอสโซ่” มีเรื่องขัดใจกับ น้อย “บางกอกน้อย” ซึ่งเป็นวัยรุ่นพุ่งแรงอยู่ละแวกสี่แยกพรานนกและบ้านขมิ้น ดํา “เอสโซ่” ไปพบ น้อย “บางกอกน้อย” ที่โรงบิลเลียดพรานนก เขากระชากปืนยิง น้อย “บางกอกน้อย” ซึ่งๆ หน้า “น้อย” ตายคาที่ ส่วน ดํา “เอสโซ่” หนีไป คดีนี้ไม่มีใครกล้าเป็นพยาน เพราะกลัวความเหี้ยมของ ดํา “เอสโซ่”
ยิ่ง ดํา “เอสโซ่” ก่อคดีอุกฉกรรจ์มากเท่าไร จิตใจของเขาก็ยิ่งกร้าวกระด้างมากขึ้นเท่านั้น ขณะเดียวกันเขาก็วนเวียนเข้าคุกออกคุกด้วยคดีต่างๆ ซึ่งเขาจะสู้คดีจนหลุดเนื่องจากไม่มีใครกล้ามาเป็นพยาน ดํา “เอสโซ่” เป็นเพื่อนสนิทกับ ปุ๊ “ระเบิดขวด” แต่ในที่สุด ดํา “เอสโซ่” ก็ยิง ปุ๊ “ระเบิดขวด” ตายคามือ
เหตุการณ์ตอนนั้นเกิดที่แฟลตแห่งหนึ่งย่านพระโขนง ดํา “เอสโซ่” กับ ปุ๊ “ระเบิดขวด” ต่างมีคดีอาญาติดตัว จึงไปหลบซ่อนที่แฟลตดังกล่าว ปุ๊ “ระเบิดขวด” ใช้อำนาจเถื่อนตบหน้าผู้หญิงของดำ และปุ๊ทำท่าจะชักปืน ดํา “เอสโซ่” จึงกระชากปืนเหนี่ยวไกยิง ปุ๊ “ระเบิดขวด” อย่างไม่ลังเล
ปุ๊ กลายเป็นศพคาห้องนั้นทันที หลังจากนั้น ดํา “เอสโซ่” ได้ไปอยู่กับ “เต็งโก้” ที่จังหวัดขอนแก่น “เต็งโก้” เปิดสถานอาบ อบ นวด คาเฟ่ ภัตตาคาร และบ่อนการพนันขึ้นที่นั่น ดํา “เอสโซ่” ไปอยู่ในฐานะมือปืนคุ้มครองและเขาได้ฆ่าคนอีกหลายคนที่เป็นศัตรูขัดขวางผลประโยชน์ของเต็งโก้ ดํา “เอสโซ่” ก่อบาปสร้าง “กรรม” ไม่หยุดยั้ง และเขาไม่เคยคิดว่าการกระทำที่ผ่านมามันคือ “อกุศลกรรม” ซึ่งจะต้องติดตัวเขาไปทุกภพทุกชาติ และกรรมนั้นต้องตามมาสนองเขาไม่วันใดก็วันหนึ่ง
ต่อมา ดํา “เอสโซ่” เดินทางเข้ากรุงเทพอีก ตอนนี้เขาเป็นมือปืนรับจ้างไปแล้ว ดำรับงานฆ่าคนจากอดีตเจ้าพ่อนครบาล (ที่ถูกยิงตายอย่างน่าอนาถ) หลายงาน รับเงินมัดจำล่วงหน้าไปแล้วหลายหมื่นบาท แต่ ดํา “เอสโซ่” ยังไม่มีโอกาสยิงเหยื่อ เจ้าพ่อคิดว่า ดํา “เอสโซ่” เบี้ยวเงินและกลัวว่าเขาจะนำความรับไปขายให้ฝ่ายตรงข้าม เจ้าพ่อจึงส่งมือปืนอีกกลุ่มหนึ่งตามยิงดำอย่างเงียบๆ แล้ว ดํา “เอสโซ่” ก็ถูกยิงที่สะพานขาว กระสุนนัดหนึ่งถูกกระดูกสันหลัง เขาไม่ตายก็จริงแต่เป็นอัมพาตทั้งตัว จะกระดิกแม้ปลายนิ้วก็ยังไม่ได้ นอนแข็งทื่ออยู่อย่างนั้น ขยับตัวไม่ได้ พูดไม่ได้ มีแต่นัยน์ตาอย่างเดียวที่ยังลืมตาหลับตาได้เท่านั้นเอง
กรรมได้ปรากฏแก่ ดำ “เอสโซ่” แล้ว ไม่ต้องคอยถึงชาติหน้าหรือชาติไหนๆ หรอก แม้ ดํา “เอสโซ่” จะเป็นอัมพาตทั้งตัว แต่คดีอุกฉกรรจ์ต่างๆ ที่เขาก่อเอาไว้ทำให้ตำรวจมาอายัดตัว ถูกส่งตัวเข้าอีกทั้งๆ ที่นอนแข็งทื่ออยู่อย่างนั้น สภาพร่างกายของ ดํา “เอสโซ่” ผอมเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก เป็นสภาพมันชวนให้เกิดความสลดสังเวชอย่างยิ่ง
ในที่สุดศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดีทั้งหมด เนื่องจากผู้ต้องหาหมดสภาพรับรู้ใดๆ ทั้งสิ้น ดํา “เอสโซ่” จึงเป็นอิสระ ถูกส่งตัวกลับมาอยู่บ้านน้องสาวคนเดียวของเขา น้องสาวคนนี้ เป็นบุคคลคนเดียวที่ ดํา “เอสโซ่” รักมากที่สุด เงินส่วนหนึ่งที่เขาหามาได้จากการก่อบาปถูกส่งมาให้น้องสาวปลูกบ้านอยู่อาศัยหลังหนึ่ง และเขาส่งเสียน้องสาวศึกษาเล่าเรียนจนจบทั้งน้องสาวจบการศึกษาและได้งานทำเป็นพนักงานธนาคารที่ธนาคารแห่งหนึ่ง
นี่คือกรรมดีที่ทำที่ ดำ “เอสโซ่” ได้ทำเอาไว้ และกรรมดีนี่เองทำให้น้องสาวไม่ทอดทิ้งพี่ชาย น้องสาวผู้แสนดีคือคนที่คอยดูแล ดํา “เอสโซ่” อย่างเอาใจใส่ คอยป้อนข้าว ป้อนน้ำ คอยทำความสะอาดร่างกายให้โดยไม่มีความรังเกียจ เธอจะป้อนข้าวให้ดำก่อนไปทำงานที่ธนาคาร เลิกงานแล้วก็รีบกลับบ้านเพื่อมาดูแลพี่ชายซึ่งอยู่กันแค่สองคน ดา “เอสโซ่” ผู้ซึ่งต้องนอนแข็งทื่อทั้งวันทั้งคืนเพียงเพื่อรอคอยวันตายของตัวเอง จะคิดอย่างไรในทุกเวลานาที ซึ่งค่อยๆ ผ่านไปอย่างเชื่องช้า ไม่มีใครรู้ได้
ท่านสาธุชนลองคิดดูเถอะว่า หากท่านตกอยู่ในสภาพเดียวกันกับ ดํา “เอสโซ่” คือขยับเขยื้อนไม่ได้ พูดไม่ได้ ไม่มีลูกน้องบริวารห้อมล้อมเป้ายอยกย่อง ไม่มีใครหวั่นเกรงอีกต่อไป ท่านจะทุกข์ทรมานใจอย่างแสนสาหัสปานใด เชื่อเถอะว่า ดํา “เอสโซ่” ไม่อยากมีชีวิตยืนยาวต่อไปอีกแน่ เขาคงอยากตายในชั่วพริบตาเดียวเท่านั้นจริงๆ แม้อยากตายก็ยังตายไม่ได้ อยากฆ่าตัวตายก็ทำไม่ได้ นี่คือ “กรรม” ทันตาเห็นใช่ไหม? ดำ “เอสโซ่” ต้องทนทรมานอยู่ในห้วงกรรมทั้งๆ ที่เขามีลมหายใจอยู่อย่างน่าสลดสังเวชสุดประมาณ
แต่ ดํา “เอสโซ่” ก็ยังไม่สิ้นกันเพียงเท่านี้
วันหนึ่ง หลังจากน้องสาวป้อนข้าวป้อนน้ำให้ ดํา “เอสโซ่” แล้ว เธอก็รีบออกจากบ้านไปทำงานธนาคาร ปล่อยให้ ดํา “เอสโซ่” นอนอยู่คนเดียวเช่นเคย น้องสาวจากไปไม่นาน ได้มีชายสองคนมาที่บ้านของดำ และไม่มีชาวบ้านสนใจการมาของชายสองคนนี้เพราะคิดว่าเป็นเพื่อนเก่าของดำมาเยี่ยม
ชายสองคนหายเข้าไปบ้านได้ครู่หนึ่ง ก็มีเสียงปืนดังรัวหลายนัด แล้วชายสองคนก็ผลุนผลันออกจากบ้านวิ่งหายไป เมื่อชาวบ้านเปิดประตูบ้านของ ดํา “เอสโซ่” เข้าไป ก็พบกับภาพสยดสยองสุดขีด นั่นคือ ดำ “เอสโซ่” ถูกยิงด้วยปืนเอ็ม.16 จนพรุนทั้งตัว ร่างอันผ่ายผอมของเขาถูกแรงปะทะจากกระสุนปืนกระเด็นตกเตียงไปนอนตายอยู่ตรงซอกข้างฝาอย่างน่าอนาถ ดํา “เอสโซ่” หลุดพ้นจากห้วงทรมานในโลกนี้ไปแล้ว แต่จิตวิญญาณจะไปผุดเกิดในที่ใดเล่า? เพราะแม้กระทั่งเวลาจะสิ้นใจตาย เขาก็ต้องตายอย่างหวาดหวั่นพรั่นพรึงสุดขีด ตายอย่างเจ็บปวดสยดสยองเหลือจะกล่าว จิตวิญญาณของ ดํา “เอสโซ่” จะไปเกิด ณ ภพภูมิใด