วันสิ้นโลก (Doomsday)
วอชิงตัน, 23 ม.ค. (Xinhua-ซินหัว) — องค์กรไม่แสวงหากำไรของสหรัฐฯ ปรับเลื่อนเข็มนาฬิกาวันสิ้นโลก (Doomsday Clock) ซึ่งเป็นนาฬิกาเชิงสัญลักษณ์ที่ออกแบบมาเพื่อบ่งชี้ความเป็นไปได้ของการเกิดมหันตภัยจากฝีมือมนุษย์ โดยการปรับเวลาครั้งนี้ถือว่าใกล้เที่ยงคืนที่สุดเท่าที่เคยมีมา
คณะนักวิทยาศาสตร์ขององค์กรจดหมายข่าวนักวิทยาศาสตร์ด้านปรมาณู (BAS) ในนครชิคาโก ที่ดูแลนาฬิกาวันสิ้นโลกมาตั้งแต่ปี 1947 ประกาศการขยับเข็มนาฬิกาวันสิ้นโลกจาก 2 นาทีจะถึงเที่ยงคืน มาเป็น 100 วินาทีจะถึงเที่ยงคืน เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (23 ม.ค.)
การตัดสินใจปรับเวลาของนาฬิกาครั้งนี้เกิดขึ้นภายใต้การปรึกษาหารือระหว่างคณะกรรมการวิทยาศาสตร์และความมั่นคงขององค์กรฯ ร่วมกับคณะกรรมการผู้สนับสนุนองค์กรฯ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผู้ได้รับรางวัลโนเบล 13 คน
นาฬิกาวันสิ้นโลกเคยถูกปรับในปี 2017 เป็น 2 นาทีครึ่งจะถึงเที่ยงคืน และถูกปรับอีกครั้งในปี 2018 เป็น 2 นาทีจะถึงเที่ยงคืน แต่ไม่มีการปรับเวลาในปี 2019
“เรากำลังบอกว่าโลกเข้าใกล้หายนะมากแค่ไหนในไม่กี่วินาที ไม่ใช่ชั่วโมงหรือนาที มันใกล้กับวันโลกาวินาศมากที่สุดเท่าที่เราเคยมีมาในประวัติศาสตร์นาฬิกาวันสิ้นโลก” ราเชล บรอนสัน (Rachel Bronson) ประธานองค์กรฯ กล่าว
คณะนักวิทยาศาสตร์อ้างถึงอาวุธนิวเคลียร์ การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และการบิดเบือนข้อมูลในโลกไซเบอร์ ว่าเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้สถานการณ์ฉุกเฉินเลวร้ายยิ่งขึ้น
“ตั้งแต่การถอนตัวของสหรัฐฯ จากข้อตกลงปารีสและข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่านไปจนถึงการหยุดชะงักของการเจรจาปลดอาวุธนิวเคลียร์ และความแตกแยกในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) กลไกการทำงานร่วมกันของเรากลับกำลังสึกกร่อนในเวลาที่เราต้องการมากที่สุด” บันคี-มูน อดีตเลขาธิการสหประชาชาติกล่าว
คณะนักวิทยาศาสตร์เรียกร้องให้ผู้นำสหรัฐฯ และรัสเซียหันกลับมาเจรจากัน เพื่อถกประเด็นขีปนาวุธและคลังอาวุธนิวเคลียร์ รวมถึงเรียกร้องให้ประเทศต่างๆ ในโลกอุทิศตนเพื่อบรรลุเป้าหมายลดอุณหภูมิโลกตามข้อตกลงปารีส
ทั้งนี้ หลังการทดสอบระเบิดไฮโดรเจนของอเมริกาและโซเวียต เข็มนาฬิกาวันสิ้นโลกในปี 1953 ชี้อยู่ที่ 23.58 น. ส่วนช่วงท้ายของสงครามเย็นในปี 1991 เข็มนาฬิกาย้อนกลับไปอยู่ที่ 23.43 น. ซึ่งนับว่าอยู่ไกลจากวันโลกาวินาศมากที่สุด
“ตอนนี้เรากำลังเผชิญสถานการณ์ฉุกเฉินอย่างแท้จริง เป็นเรื่องที่โลกไม่ควรอยู่เฉย ไม่มีเวลาเหลือให้กับความผิดพลาดหรือความล่าช้าอีก” บรอนสันกล่าว