100 สถานที่สวยที่สุดในโลก อะเมซซิ่ง สวยตะลึง แทบลืมหายใจ !!!
มีสถานที่ในโลกอีกมากมายที่เรายังไม่เคยเห็น และ 100 สถานที่สวยที่สุดในโลก ที่เราได้รวบรวมไว้นี้ เป็นสถานที่ในฝันของหลายคน บางที่ก็สวยจนตะลึงเกือบลืมหายใจไปเลยทีเดียวค่ะ ตามมาดูกันว่า 100 สถานที่นี้ มีที่ไหนที่เราควรไปสัมผัสด้วยตาของตัวเองกันได้แล้วบ้าง !
1. Three Natural Bridges
ประเทศจีน
อุทยานแห่งชาติหลุมฟ้า 3 สะพานสวรรค์ (เทียนเชิงซ่านเฉียว) มรดกโลก ทางธรรมชาติที่มีความสวยงามมากที่สุดแห่งหนึ่ง ตั้งอยู่ที่เมืองอู่หลง นครฉงชิ่ง ประเทศจีน เกิดจากการยุบตัวของเปลือกโลก ทำให้เกิดเป็นบ่อหลุมขนาดใหญ่ที่ลึกประมาณ 300-500 เมตร และมีบางส่วนเป็นโพรงทะลุเหมือนกับสะพานทอดข้ามระหว่างภูเขา
อ่านรีวิวเพิ่มเติมได้ที่ อุทยานแห่งชาติหลุมฟ้า ภูผาอัศจรรย์ เมืองอู่หลง
==================
2. Petra
ประเทศจอร์แดน
นครเพตรา คือนครหินแกะสลักโบราณที่ซ่อนตัวอย่างลึกลับในหุบเขาวาดี มูซา หุบเขาที่ตั้งอยู่ระหว่างทะเลสาบเดดซีกับ ทะเลอัคบาในประเทศจอร์แดน เป็นเมืองที่เจาะสลักเข้าไปในหินเกือบทั้งหมด รอบบริเวณ ไม่ว่าจะเป็น วิหาร หลุมศพ บันได โรงละคร ซึ่งขุดสลักมาแต่ยอดเขาลงมาเป็นหลืบลดหลั่นเป็นช่อชั้นงดงาม
ถือกันว่าเป็นศูนย์กลางของ อารยธรรมเบื้องต้นของเขตตะวันออกกลาง นครนี้แต่เดิมนั้นเป็นนครแห่งการค้าขนาดใหญ่ซึ่งต่อมาถูกละทิ้งเป็นเวลานานกว่า 700 ปี จนเมื่อมีนักสำรวจชาวสวิตเซอร์แลนด์ โยฮันน์ ลุควิก บวร์กฮาร์ท เดินทางผ่านมาพบเห็นเข้าเมื่อปี 1812 ภายหลังที่นี่เลยกลายเป็นแหล่งความรู้อย่างดีของนักโบราณคดี และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงมากที่หนึ่งในโลก
==================
3. ทะเลสาบสีชมพู Hiller Lake (Pink Lake)
ประเทศออสเตรเลีย
ทะเลสาบฮิลลิเออร์นี้ตั้งอยู่บนเกาะมิดเดิ้ล ไอส์แลนด์ ประเทศออสเตรเลีย แปลกประหลาดล้ำตรงที่ว่าน้ำในทะเลสาบแห่งนี้มีสีชมพูเหมือนนมสตรอเบอร์รี่มิลค์เชค และถึงแม้ว่าในโลกนี้ยังมีทะเลสาบสีชมพูอีกหลายแห่ง แต่ทะเลสาบฮิลลิเออร์นั้นมีความแตกต่างจากทะเลสาบสีชมพูแห่งอื่นๆ ตรงที่น้ำในทะเลสาบเป็นสีชมพูจริงๆ ไม่ได้เกิดจากการตะกอน แสงสะท้อน หรือสาหร่ายในน้ำ
เมื่อตักน้ำในทะเลสาบฮิลลิเออร์มาใส่ขวดก็จะได้น้ำสีชมพูใส และจะเป็นสีชมพูอยู่อย่างนี้ตลอดไปจนนักวิทยาศาสตร์อึ้งไปตามๆ กัน น่าอัศจรรย์ใจมาก ซึ่งมีข้อสันนิษฐานว่าสีชมพูนั้นเกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่อยู่ในเกล็ดของเกลือนั่นเอง
==================
4. ทุ่งหญ้าสีชมพู Da Lat
ประเทศเวียดนาม
สำหรับทุ่งหญ้าสีชมพูนี้ ตั้งอยู่ที่ เมืองดาลัต ประเทศเวียดนาม ขอบอกว่า มันชมพูจริงๆ แถมยังฟรุ้งฟริ้งมากอีกด้วย เหมือนอยู่กลางทุ่งหญ้าในเกาหลี หรือยุโรปเป๊ะๆ เป็นอีกสถานที่ท่องเที่ยวหนึ่งที่สวยงามมากๆ
อ่านรีวิวเพิ่มเติมได้ที่ 7 ที่เที่ยวถ่ายรูปสวย ดาลัด เวียดนามใต้
===================
5. Cinque Terre
ประเทศอิตาลี
เมืองติดทะเลในเขต Liguria ของประเทศอิตาลีนั้นมีหมู่บ้าน 5 หมู่บ้านอยู่ติดกัน ซึ่งมีชื่อว่า Cinque Terre และเป็นเมืองที่ได้รับการยกให้เป็น UNESCO World Heritage เพราะชายหาด ทะเล ภูเขา ในแถบนั้นสวยงามมากๆ และเป็นพื้นที่อนุรักษ์ของประเทศอิตาลีอีกด้วย
===================
6. Fairy Pools, Isle of Skye
ประเทศสก็อตแลนด์
อย่างกับความฝันในตอนเด็ก ใครจะไปเชื่อว่า สักครั้งจะได้มีโอกาสลงไปแหวกว่ายในสระน้ำที่คนทั่วโลกบอกว่า ที่นี่แหละ สระว่ายน้ำของนางฟ้าในเทพนิยาย Fairy Pools นี้เป็นสระว่ายน้ำที่ธรรมชาติได้สรรสร้างขึ้นมาในหุบเขาเกลน บริทเทิล (Glen Brittle) ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเกาะสกาย (Isle of Skye) เกาะที่ใหญ่ที่สุดในเขตหมู่เกาะอินเนอร์ เฮบริดีส (Inner Hebrides) หมู่เกาะที่อยู่นอกชายฝั่งตะวันตกของสก็อตแลนด์
อ่านรีวิวเพิ่มเติมได้ที่ Fairy Pools สระน้ำในเทพนิยายที่มีอยู่จริง น้ำใสราวกับคริสตัล
==================
7. Mamanuca Islands
ประเทศฟิจิ
เกาะ Mamanuca เป็นเกาะสวรรค์ที่เหมือนหลุดออกมาจากโปสการ์ดสวยๆ เป็นหมู่เกาะที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของฟิจิ เพราะที่นี่มีความงามที่ยังบริสุทธิ์และโดดเด่นคงเหลืออยู่ อีกทั้งยังมีกิจกรรมหลากหลายรูปแบบให้คนบนเกาะสนุกได้โดยไม่เบื่อ
==================
8. Jellyfish Lake หมู่เกาะ Palau
ประเทศปาเลา
ทะเลสาบแมงกะพรุนไร้พิษ หรือ Jellyfish Lake นี้ตั้งอยู่บนเกาะ Eil Malk ซึ่งเป็นเกาะหนึ่งในหมู่เกาะ Rock Islands ที่สาธารณรัฐปาเลา ซึ่งเป็นหนึ่งในจุดดำน้ำยอดนิยมที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และจุดเด่นที่สุดของที่นี่คือ แมงกะพรุนทอง (Golden Jellyfish) นับล้านตัวแหวกว่ายอยู่
อ่านรีวิวเพิ่มเติมได้ที่ ทะเลสาบแมงกะพรุน ไร้พิษ Jellyfish Lake ปาเลา
==================
9. Giant’s Causeway
ประเทศไอร์แลนด์
Giants Causeway Beach นี้เป็นชายหาดที่เต็มไปด้วยเสาหินกว่า 40,000 แท่ง และยังได้รับการประกาศเป็นมรดกโลกโดยยูเนสโกในปี 1986 บนชายฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของไอร์แลนด์เหนืออีกด้วย ใครที่อยากไปเที่ยวที่นี่ต้องระวังหินทิ่มขากันสักหน่อย
===================
10. Glass Beach
แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา
ชายหาดแก้วแห่งนี้ เดิมที่เป็นที่ทิ้งขยะของรัฐแคลิฟอร์เนีย หลายสิบปีผ่านไป ขยะที่เป็นเศษแก้วถูกคลื่นซัดสาดหายไป จนกลายเป็นชายหาดแสนสวยอย่าวน่าอัศจรรย์
==================
11. Motonosumi-Inari Shrine
ประเทศญี่ปุ่น
เสาโทริอิสีแดงตั้งตระง่านจากภูเขาไปจนถึงทะเล 1 ใน 29 สถานที่สวยที่สุดในญี่ปุ่น ที่นี่คือ Motonosumi-inari Shrine ศาลเจ้าที่ช่วยให้ผู้คนที่มาอธิษฐานประสบความสำเร็จ เชื่อไหมล่ะว่า หลังจากที่คุณหย่อยเงินบริจาคลงในกล่องรับบริจาคตรงเสาโทริอิต้นสุดท้าย ความหวังทั้งหลายของคุณจะประสบความสำเร็จ
==================
12. Reykjavik
ประเทศไอซ์แลนด์
เรคยาวิก เป็นเมืองหลวงของประเทศไอซ์แลนด์ และเป็นเมืองหลวงที่ตั้งอยู่ใกล้กับขั้วโลกเหนือมากที่สุด โดยตั้งอยู่ไม่ไกลจากเส้นอาร์กติกเซอร์เคิลมากนัก แม้ว่าที่นี่จะเป็นหนึ่งในจุดที่หนาวที่สุดของยุโรป แต่ก็เต็มไปด้วยบ่อน้ำพุร้อนธรรมชาติ การได้แช่ในบ่อน้ำพุร้อนธรรมชาติท่ามกลางความหนาวเย็นยะเยือกเป็นสิ่งที่ทุกคนถวิลหาในหน้าหนาว
===================
13. Pamukkale
ประเทศตุรกี
ธารน้ำแร่ใต้ดินไหลรวมเป็นแอ่งน้ำหินปูน เหมือนเป็นสระว่ายน้ำไร้ขอบธรรมชาติที่สวยงาม เกิดจากปรากฏการณ์ที่ตะกอนของหินปูนทำปฏิกิริยากับอากาศ จับตัวแข็งกลายเป็นแอ่ง และมีธารน้ำแร่ใต้ดินไหลเอ่อล้นผุดขึ้นมาบนพื้นผิว รวมเป็นแอ่งน้ำหินปูนที่ลดหลั่นกัน กว้าง 300 เมตร ยาวกว่า 3 กิโลเมตร ก่อนไหลลงจากผาสูง 100 เมตร
==================
14. Santorini
ประเทศกรีซ
Santorini เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่แสนจะดึงดูดใจนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก กลุ่มอาคารสีขาว รูปทรงแปลกตาที่ตั้งลดหลั่นกันตามเชิงเขาสูงชัน และโบสถ์แสนสวยที่มียอดโดมสีฟ้าสดใส เป็นเหมือนสัยลักษณ์ของที่นี่ ทำให้ใครๆ ก็อยากมาพักผ่อนในเมืองแสนสวยนี้ดูสักครั้ง
==================
15. Neuschwanstein Castle
ประเทศเยอรมนี
พระราชวังสมัยศตวรรษที่ 19 ตั้งอยู่บนเนินเขาขรุขระทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของบาวาเรีย ประเทศเยอรมัน มีลักษณะเหมือนปราสาทในเทพนิยาย จนติดอันดับ 9 สถานที่ เทพนิยายที่มีอยู่จริงบนผืนโลก
พระราชวังแห่งนี้เปิดให้ประชาชนเข้าชม และเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์หลายต่อหลายเรื่อง และแม้จะเป็นปราสาทยุคกลางของลุดวิก (Ludwig) แต่ก็มีเทคโนโลยีทันสมัย ทั้งห้องน้ำแสนสะอาด มีน้ำร้อน น้ำเย็น กันเลยทีเดียว
==================
16. Ha Long Bay
เวียดนาม
ฮาลองเบย์ มหัศจรรย์แห่งอ่าวมังกรตกน้ำ 1 ใน 10 อันดับ สุดยอดสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตในอาเซียน ตามนิทานปรัมปราของชาวเวียดนาม ที่กล่าวถึงมังกรโบราณซึ่งเคยร่อนมาลงในอ่าวนี้เมื่อครั้งดึกดำบรรพ์ และชื่อของฮาลอง ก็แปลได้ว่า มังกรร่อนลง
จากความสวยงามและสมบูรณ์ของอ่าวฮาลอง ทำให้ที่นี่ประกาศได้เป็น มรดกโลก ทางธรรมชาติ จากองค์กรยูเนสโก ในปี พ.ศ. 2537 เสน่ห์ของที่นี่คือ เกาะหินปูนเกือบ 2,000 เกาะ ซึ่งมีถ้ำมากมายรอให้เราไปชม แถมที่นี่ยังมีอ่าวที่เหมาะแก่การพายเรือคายัคอีกด้วย
อ่านรีวิวเพิ่มเติมได้ที่ 5 ที่เที่ยว เวียดนาม ความงามแห่งอาเซียน
==================
17. Fingal’s Cave
ประเทศสก็อตแลนด์
แม้ว่า ถ้ำฟิงกอล ที่ประเทศสก็อตแลนด์ นี้มันอาจจะดูเหมือนเป็นโครงสร้างบล็อกๆ ที่มนุษย์สร้างขึ้น แต่ความจริงแล้วเสาหินหกเหลี่ยมนี้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติจำนวนมาก ด้วยสภาพถ้ำที่เป็นโพรงแนวยาว ทำให้ภายในถ้ำเกิดเป็นเสียงสะท้อน คล้ายเสียงดนตรีได้ด้วย บางทีคนก็เรียกถ้ำนี้ว่า “Cave of melody”
===================
18. St. Lucia
ประเทศเซนต์ลูเซีย
St. Lucia เป็นประเทศที่เป็นเกาะ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของทะเลแคริบเบียน มีลักษณะเป็นเกาะภูเขาไฟ และเป็นส่วนหนึ่งของหมู่เกาะเลสเซอร์แอนทิลลีส (Lesser Antilles) ที่นี่มีภูมิประเทศที่สวยงาม น้ำทะเลใสราวกับกระจก
===================
19. Venice
ประเทศอิตาลี
ในบรรดาเมืองท่องเที่ยวของอิตาลี เมืองเวนิส ดูจะเป็นเมืองที่มีเอกลักษณ์เฉพาะที่แตกต่างจากทุกเมืองในโลก เป็นเมืองที่ตั้งอยู่กลางทะเลสาบที่สวยงามจนได้ฉายาว่าเป็น “ราชินีแห่งทะเลอาเดรียติก” ( The Queen of the Adriatic) หรือ “เมืองแห่งสายน้ำ” (The City of Water)
ที่มีคลองสำหรับใช้สัญจรแทนถนนมากกว่า 150 สาย และมีเรือกอนโดลา ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์หนึ่งของเวนิส อีกทั้งยังเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยสีสันแห่งศิลปวัฒนธรรม และดนตรียามค่ำคืนที่ผู้คนทั่วโลกรู้จัก และใฝ่ฝันอยากมาเทียวชมสักครั้งในชีวิต
เวนิสเป็นที่รู้จักกันมาช้านานในประวัติศาสตร์ ในฐานะที่เป็นศูนย์กลางการเดินเรือ และการค้าของทวีปยุโรปนับพันปี แต่น่าเสียดาย เพราะนักวิชาการหลายคนกล่าวไว้ว่า เวนิสอาจจะจม และหายไปในที่สุด ที่นี่จึงกลายเป็น ที่เที่ยวต้องไป ก่อนที่จะหายไปจากแผนที่โลก !
อ่านรีวิวเพิ่มเติมได้ที่ 6 ที่เที่ยว เวนิส เมืองในฝัน ชาตินี้ไม่ไป ตายตาไม่หลับ
=================
20. Yellowstone National Park
เยลโลว์ สโตน เป็นอุทยานแห่งชาติแห่งแรกของอเมริกาและแห่งแรกของโลกด้วย มีพื้นที่ทั้งหมดอยู่บนที่ราบสูงบนเทือกเขาร็อคกี้ มากกว่า 2 ล้านเอเคอร์ อีกทั้งยังมีบ่อน้ำร้อน และน้ำพุร้อนมากกว่า 10,000 แห่ง
ดินแดนแห่งนี้มีอายุมากกว่า 600,000 ปี เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟ ทิ้งร่องรอยของหินละลายที่พุ่งผ่านผิวโลกขึ้นมาเย็นตัว เกิดเป็นภูเขาสูง ที่ราบและหุบเหวที่สวยงาม นอกจากนี้ยังมีสัตว์ป่าที่น่าสนใจมากมาย
อ่านรีวิวเพิ่มเติมได้ที่ 20 ที่เที่ยว อเมริกา สวยขั้นเทพ
==================
21. Zion National Park
Zion National Park อุทยานแห่งชาติที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่น่ามาเยือน และมีชื่อเสียงมากแห่งหนึ่งของรัฐยูทาห์ สภาพภูมิประเทศส่วนใหญ่มีลักษณะเป็นภูมิทัศน์ทะเลทราย ประกอบไปด้วยภูเขา หน้าผาหินทราย หุบเขาลึก ที่ล้อมรอบไปด้วยทะเลทรายกันกว้างใหญ่ เป็นจุดหลายปลายทางยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบการเดินป่าและปีนเขา
==================
22. Great Blue Hole
ประเทศเบลิส
หลุมยักษ์น้ำเงินครามแห่งเบลิซ ประเทศนี้อยู่บนฝั่งตะวันออกของอเมริกากลาง ริมทะเลแคริบเบียน หลุมนี้อยู่ห่างจากชายฝั่งเบลิซประมาณ 60 ไมล์ เส้นผ่าศูนย์กลาง 984 ฟุต กับความลึกประมาณ 410 ฟุต เชื่อกันว่าหลุมนี้เป็นหลุมกลางทะเลที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก สันนิษฐานกันว่ามันก่อตัวขึ้นในยุคน้ำแข็ง แถมหลุมนี้ยังเป็น 1 ใน 7 หลุมที่นักประดาน้ำจัดอันดับสถานที่น่าดำน้ำที่สุดในโลกอีกด้วย
==================
23. Horsetail Falls, Yosemite National Park
น้ำตกเพลิง Firefall หรือ น้ำตก Horsetail Falls ณ อุทยานแห่งชาติ Yosemite สหรัฐอเมริกา เป็นน้ำตกที่สวยที่สุดในทวีปอเมริกาเหนือ และเป็นความงดงามอันแสนจะหาดูได้ยาก เพราะจะปรากฏให้เห็นเพียงปีละครั้ง กลางเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี ซึ่งเป็นช่วงที่แสงอาทิตย์ตกกระทบ สาดส่อง น้ำตก พอเหมาะพอดี เกิดเป็นสายลาวา ลู่ลงเบื้อล่างเหมือนหางม้าอันงดงาม
==================
24. Shirakawa-go
ประเทศญี่ปุ่น
หมู่บ้านชิราคาวาโกะ ตั้งอยู่ในเมืองกิฟุและโทยามะ เป็นหมู่บ้านที่มีชื่อเสียงได้รับการคัดเลือกให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก โดดเด่นด้วยอาคารแบบดั้งเดิมที่เรียกว่า Gassho-zukuri สร้างด้วยวัสดุธรรมชาติ ไม่ใช้ตะปูแม้แต่ตัวเดียว มีความเก่าแก่กว่า 300 ปี เป็นหมู่บ้านที่มีความงดงามมากโดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาวที่หิมะตกโปรยปราย
อ่านรีวิวเพิ่มเติมได้ที่ ชิราคาวาโกะ เมืองมรดกโลก ที่ญี่ปุ่น หมู่บ้านนินจา
===================
25. Panjin Red Beach
ประเทศจีน
Panjin Red Beach ในเมืองเหลียวหนิง ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีน จะเปลี่ยนเป็นสีแดเข้มทุกครั้งเมื่อถึงฤดูใบไม้ร่วง อีกทั้งยังเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำขนาดใหญ่ที่สุดที่ได้รับการอนุรักษ์จากรัฐบาลจีน ที่นี่ยังเป็นที่อยู่อาศัยของนกกว่า 260 สายพันธุ์ รวมถึงนกกระเรียนแดงที่เป็นสัตว์เสี่ยงสูญพันธุ์และสัตว์ป่าอีกราว 400 ชนิด
==================
26. Sea Cliffs, Etretat
ประเทศฝรั่งเศส
หน้าผาและเสาหินโค้งธรรมชาติ (The Cliffs at Etretat) จุดท่องเที่ยวแห่งนี้ได้กลายเป็นสถานที่ดึงดูดเหล่านักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีชายหาดที่ขนานไปกับแนวยาวของชายฝั่ง ซึ่งมีความสวยงามมากแห่งหนึ่งอีกด้วย
===================
27. Beachy Head
ประเทศอังกฤษ
หน้าผาชอล์กริมทะเลที่สูงที่สุดในสหราชอาณาจักร และอังกฤษ นอกจากที่นี่จะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่น่าสนใจแล้ว ยังเป็นภูมิประเทศที่เหมาะสำหรับเล่นกีฬาประเภทเอ็กซ์ทรีม อย่างเช่น กระโดดร่ม เป็นต้น
===================
28. Cristo Redentor Statue
ประเทศบราซิล
“สายตาของพระคริสต์ที่จับตามองลงมายังเมืองช่วยทำให้เมืองนี้ผาสุกเพียงใด ?” Cristo Redentor statue รูปปั้นพระเยซู ตั้งตระหง่านอยู่บนยอดเขา Corcovado ซึ่งสูงประมาณ 2,300 ฟุตจากเมืองริโอ เดอจาเนโร เป็นสิ่งที่ทุกคนอยากจะไปเห็นสักครั้งถึงความยิ่งใหญ่ และมุมมองที่พระคริสต์เห็นเมืองนี้อยู่ทุกๆ วัน นอกจากนั้น ที่นี่ยังเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ อีกด้วย
อ่านรีวิวเพิ่มเติมได้ที่ เที่ยวบราซิล ตะลุย 10 ที่เที่ยว ริโอ เดอ จาเนโร
==================
29. Shifen Waterfall
ประเทศไต้หวัน
น้ำตกที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของไต้หวัน อยู่ในย่านผิงซี (Pingxi District) เมืองนิวไทเป (New Taipei City) แม้น้ำตกซือเฟิ่นจะมีขนาดที่ไม่ใหญ่มากนักด้วยความสูง 20 เมตร กว้าง 40 เมตร แต่ก็สร้างความประทับใจให้แก่ผู้เข้าชม จนได้รับการขนานนามว่า “ไนแองการ่าแห่งไต้หวัน” (Taiwan’s Niagara Falls)
===================
30. The Alhambra
ประเทศสเปน
The Alhambra ไม่ได้เป็นเพียงสมบัติทางสถาปัตยกรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของสเปน แต่ยังเป็นหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของโลก พระราชวังที่สวยงามแกะสลักโดยช่างฝีมือประณีต ความสวยงามและยิ่งใหญ่นี้ ต้องได้ไปสัมผัสสักครั้ง
====================
31.Galapagos Islands
ประเทศเอกวาดอร์
หมู่เกาะกาลาปากอส เป็นหมู่เกาะกลางมหาสมุทรแปซิฟิก มีความน่าสนใจทั้งด้านธรณีวิทยา สัตววิทยา และนิเวศวิทยาเป็นอย่างยิ่ง ความพิเศษของที่แห่งนี้ คือ เป็นที่อาศัยอยู่ของสัตว์ท้องถิ่นที่มีลักษณะแปลกๆ มากมาย และ 75% ของสัตว์ทั้งหมดนี้สามารถพบได้ที่นี่ที่เดียวในโลก ประประเทศเอกวาดอร์ เทศเอกวาดอร์
=================
32. Wat Pho
ประเทศไทย
ใกล้กับพระบรมมหาราชวัง ในกรุงเทพฯ ยังมีวัดโพธิ์ท่าเตียน พระนอนองค์ใหญ่ ที่สร้างความประทับใจให้นักท่องเที่ยวจากปากต่อปาก ที่นี่เป็นวัดเก่าที่มีความสวยงาม ถูกบูรณะโดยรัชกาลที่ 3 เรียกได้ว่า ใครมาถึงกรุงเทพฯ ล่ะก็ ต้องแวะมาไหว้พระนอนที่นี่สักครั้ง
================
33. Dunnottar Castle
ประเทศสก็อตแลนด์
Dunnottar Castle ตั้งอยู่ที่ประเทศสก็อตแลนด์ เป็นปราสาทบนเนินผา ริมทะเล เคยเป็นที่พำนักของราชวงศ์ของ Earls Marischal แห่งสก็อตแลนด์ค่ะ ครั้งหนึ่งเคยเป็นราชวงศ์ที่มีอำนาจสูงสุดในดินแดนนั้น และแถมยังเป็นราชวงศ์ที่มีอำนาจในการควบคุมกิจกรรมที่เป็นพิธีการต่างๆ รวมถึงพิธีราชาภิเษกอีกด้วย เคยถูกใช้เป็นป้อมปราการ ตั้งแต่ศตวรรษที่ 15
=================
34. Coastal Potholes
มีกระจายอยู่ทั่วโลก
หมายถึงหลุมที่เกิดบริเวณพื้นท้องน้ำ บริเวณน้ำตก และบริเวณที่ทางน้ำไหลเชี่ยว เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่สวยงามทางธรณีวิทยาที่พบเห็นได้ทั่วไป
================
35. Nottingham Castle
ประเทศอังกฤษ
Nottingham Castle คือ พระราชวังที่สร้างขึ้นในยุคศตวรรษที่ 17ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นที่ตั้งป้อมปราการของราชวงศ์ประเทศอังกฤษ แต่สิ่งปลูกสร้างเกือบทั้งหมดได้ถูกทำลายลงระหว่างช่วงสงครามกลางเมืองอังกฤษเมื่อยุคศตวรรษที่ 17
=================
36. Zhangjiajie
ประเทศจีน
เมืองลอยฟ้า สวยแต่เสียว! มรดกโลกจางเจียเจี้ย ภูเขาลอยฟ้าที่นี่เป็นสถานที่ถ่ายทำหนังชื่อดังอย่าง “อวตาร” ถ้าได้มาเที่ยวต้องไม่พลาดขึ้นกระเช้าลอยฟ้ายาวที่สุดในโลก แล้วไปเดินทางเดินกระจกริมผาที่มีความสูงถึง 1,433 เมตร ที่นี่ยังเป็น 1 ใน 10 สุดยอดสถานที่ท่องเที่ยวในประเทศจีน ที่ต้องไปพิชิตให้ได้อีกด้วย
=================
37. Moraine Lake
ประเทศแคนาดา
ทะเลสาบสีฟ้าสวยแห่งนี้ชื่อว่า Moraine Lake ประเทศแคนาดา เป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติแบมฟ์ (Banff National Park) ในหุบเขา the Valley of the Ten Peaks น้ำสีฟ้าสวยนี้เกิดจากการหักเหของแสงและธารน้ำแข็ง ซึ่งน้ำของทะเลสาบจะสีสวยแบบนี้สุดๆในช่วงปลายเดือนมิถุนายน
==================
38. Atlantic Ocean Road
ประเทศนอร์เวย์
Atlantic Ocean Road มีความยาวทั้งสิ้น 8.3 กิโลเมตรในประเทศนอร์เวย์ สร้างทอดยาวไปตามเกาะแก่งต่างๆ ในทะเล เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่สวยงาม แต่ก็หวาดเสียวมากๆ อีกด้วย
=================
39. Kinkaku-ji Temple
ประเทศญี่ปุ่น
ใครที่เป็นสาวกการ์ตูนญี่ปุ่นชื่อดัง เรื่องอิ๊กคิวซัง จะต้องรู้จักวัดนี้เป็นอย่างดี วัดนี้ยังมีอีกชื่อหนึ่งว่า วัดทอง จุดเด่นของวัดอยู่ที่บริเวณ ปราสาทคินคาคุจิ เป็็นปราสาทที่งดงามราวกับภาพวาด
=================
40. Prague
สาธารณรัฐเช็ก
โคมไฟที่ถนนบวกสถาปัตยกรรมที่งดงามภายใต้หิมะโปรยปรายทำให้ปรากเหมือนเมืองในเทพนิยาย ความสวยของปรากภายใต้แผ่นหิมะหนาๆ ที่ทำให้ละสายตาไปไม่ได้คือ เมืองเก่าพร้อมสถาปัตยกรรม ป้อมปราการและห้องใต้ดินสมัยโรมัน
================
41. Great Barrier Reef
ประเทศออสเตรเลีย
สวรรค์ของนักประดาน้ำ แนวปะการังที่ใหญ่ที่สุดในโลกนี้ อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศออสเตรเลีย ประกอบไปด้วยปะการังกว่า 400 สปีชี่ส์ สวรรค์ใต้ทะเลแห่งนี้เป็นที่อยู่ของปลาโลมา สัตว์เลื้อยคลาน พันธุ์ปลาเขตร้อน และสิ่งมีชีวิตทางทะเลนับไม่ถ้วน นอกจากใต้ทะเลแล้ว ยังมีเกาะที่งดงามด้วยหาดทรายขาว และโขดหิน ซึ่งเป็นบ้านของสัตว์ป่า และนกว่าหลายร้อยชนิด
==================
42. Jigokudani Monkey Park
ประเทศญี่ปุ่น
หลายคนมาออนเซ็นในช่วงฤดูใบไม้ผลิ และฤดูหนาว แต่ที่นี่พวกเขาหวังมากกว่านั้น !! ที่มากกว่าที่อื่นก็คือ การมาดูลิงแช่น้ำร้อนที่ออนซ็นนั่นเอง ลิงกว่า 200 ตังที่อาศัยอยู่บนภูเขาจะลงมาแช่น้ำร้อน เพราะเวลาหนึ่งในสามของแต่ละปีจะถูกปกคลุมด้วยหิมะ นักท่องเที่ยวก็จะนิยมมาแช่ออนเซ็นกับลิง ได้บรรยากาศเหมือนมาดาวเคราะห์ของลิงเลยทีเดียว
================
43. Chichen Itza
ประเทศเม็กซิโก
ชีเชนอิตซา เป็นภาษามายา แปลว่า ต้นทางแห่งความสุขสบายของประชาชน ตั้งอยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศเม็กซิโก เป็นแหล่งโบราณคดีที่สร้างขึ้นโดยชาวมายันซึ่งสร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์ของเทพเจ้า ที่นี่เป็นสิ่งก่อสร้างที่มีชื่อเสียงที่สุดของอาณาจักรมายา ถูกสร้างขึ้นในช่วงที่อารยธรรมเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด ทำให้ ชีเชนอิตซา จึงเป็นสิ่งก่อสร้างที่แสดงออกถึงภูมิปัญญาทั้งหมดของชาวมายันทั้งด้านสถาปัตยกรรม วิศวกรรม ศิลปกรรม ดาราศาสตร์ ปฏิทิน เป็นต้น
==================
44. Dead Sea
ประเทศจอร์แดน และอิสราเอล
ทะเลที่แสนมหัศจรรย์ใจของโลก คนที่ไปเล่นน้ำในทะเลแห่งนี้จะไม่มีวันจมแม้ว่าเราจะอ้วนขนาดไหน นั่นเป็นเพราะทะเลสาบแห่งนี้ที่มีความเค็มมากกว่าทะเลทั่วไปถึง 10 เท่า จนคนสามารถลอยบนผิวน้ำได้
ระดับน้ำอยู่ต่ำที่สุดในบรรดาทะเลทั้งหลาย คือต่ำกว่าระดับน้ำทะเลปานกลางลงไปอีกประมาณ 400 เมตรทีเดียว แต่ด้วยสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง ปริมาณฝน และการไหลเวียนของน้ำ ทำให้น้ำจากแม่น้ำจอร์แดนซึ่งเป็นแหล่งน้ำหลักแหล่งเดียวที่ให้น้ำแก่ที่นี่ลดปริมาณลง ส่งผลให้ในช่วงสี่สิบปีที่ผ่านมาทะเลสาบแห่งนี้มีความกว้างลดลงกว่าเดิมถึง 1 ใน 3 และยังมีระดับน้ำต่ำลงอีกกว่า 2.40 เมตร และคาดว่าขนาดของน้ำจะลดลงเรื่องจนอีก 50 ปีข้างหน้าก็จะกลายเป็นเพียงที่โล้งกว้าง
==================
45. Sea Cave
ประเทศมอลตา
เป็นถ้ำที่พบตามบริเวณชายฝั่งทะเล หรือชายฝั่งของเกาะต่างๆ โดยการเกิดถ้ำชนิดนี้จะเกี่ยวข้องกับการกัดเซาะของคลื่นที่หน้าผาชายฝั่งเป็นเวลานานติดต่อกัน จนทำเกิดเป็นช่องหรือโพรงเข้าไป ในช่วงแรกอาจเป็นโพรงขนาดเล็ก (grotto) แต่เมื่อได้รับอิทธิพลจากน้ำฝนและน้ำใต้ดินมาช่วยก็กลายเป็นโพรงขนาดใหญ่
=================
46. Athabasca Falls
ประเทศแคนาดา
ภายในอุทยานแห่งชาติแจสเปอร์ มีอยู่ในทะเลสาบลึกลับอยู่นั่นก็คือ ทะเลสาบเมดิซีนแห่งนี้ ทุกฤดูหนาวน้ำจะหายไปเหมือนที่นี่ไม่เคยมีน้ำมาก่อน เกือบเหมือนอ่างอาบน้ำที่ปล่อยน้ำออกได้อย่างน่าอัศจรรย์
ความจริงของสิ่งลึกลับนี้ได้ถูกเปิดเผยออกมาแล้วว่า ทะเลสาบเมดิซีน ไม่ได้เป็นทะเลสาบจริงๆ แต่เป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่รับน้ำ “มาลีน วัลเลย์ (Maligne Valley)” ซึ่งในช่วงฤดูร้อนของทุกปีธารน้ำแข็งที่ปกคลุมบนภูเขาในแถบนี้จะละลายลงสู่แม่น้ำมาลีน โดยน้ำจากธารน้ำแข็งส่วนหนึ่งจะมารวมกันอยู่ที่นี่จนกลายเป็นทะเลสาบสวยงามในฤดูร้อนนั่นเอง
==================
47. Cathedral Cove
ประเทศนิวซีแลนด์
Cathedral Cove ตั้งอยู่บริเวณเกาะเหนือ ประเทศนิวซีแลนด์ บริเวณอ่าวแห่งนี้มีซุ้มประตูหินขนาดใหญ่ และแท่งหินขนาดใหญ่ที่เกิดจากการกัดเซาะของน้ำทะเล ถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมอีกที่หนึ่งในประเทศนิวซีแลนด์ นักท่องเที่ยวที่เดินทางมานิยมดำน้ำตื้นดูปะการัง และพายเรือคายักชมความงดงาม
==================
48. Antelope Canyon
แอริโซน่า สหรัฐอเมริกา
หุบเขาแอนทีโลพ เป็น 1 ในสถานที่ยอดนิยม สำหรับนักท่องเที่ยว อยู่ที่เมืองเพจ รัฐอริโซน่า ประเทศสหรัฐอเมริกา ด้วยภูมิประเทศที่เป็นร่องหินทรายที่ถูกน้ำกัดเซาะและได้ทิ้งร่องรอยการกัดเซาะที่คล้ายกลับหินผา
เกิดจากการพังทลายของชั้นหิน Navajo Sandstone ซึ่งถูกกัดเซาะอย่างฉับพลันจากกระแสน้ำที่ซัดผ่าน ผสานความแรงจากกระแสลม พายุฝน ผ่านฤดูกาลต่างๆ ที่นี่กลายเป็น หุบเขาที่อันตรายที่สุด เนื่องจากบริเวณนั้นอาจเกิดน้ำท่วมฉับพลันได้ตลอดเวลา และระดับน้ำสามารถสูงถึง 10 เมตรทีเดียว
อีกทั้งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวซึ่งดึงดูดใจช่างภาพทั่วโลก เพราะสีสันจากธรรมชาติซึ่งเกิดจากการตกกระทบของแสงอาทิตย์ที่สาดส่องผ่านช่องแคบ สะท้อนกับสีของชั้นหิน Navajo Sandstone เกิดเป็นความสวยงามสุดประทับใจแก่ทุกสายตา
==================
49. Mt. Kilimanjaro
ประเทศแทนซาเนีย และเคนยา
จุดสูงสุด หลังคาแอฟริกา ยอดเขาคิลิมันจาโร เป็นภูเขาไฟยอดเดี่ยวที่สูงที่สุดในโลก และเป็นยอดเขาที่สุดที่สุดในทวีปแอฟริกาอีกด้วย มีความสูงกว่า 5,895 เมตร ตรงบริเวณยอดเขามียอดเขาด้วยกัน 5 ยอด
ที่นี่เป็นภูเขาไฟที่ดับแล้ว บริเวณยอดเขามีธารน้ำแข็งขนาดใหญ่ยาวกว่า 4,500 เมตร เป็นธารน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดในทวีปแอฟริกาเลยก็ว่าได้ ที่ลาดเขาช่วงล่างเป็นที่อยู่ของสัตว์ป่าหลากหลายชนิดเช่น ช้าง แรด ควาย และแอนทิโลป ที่ระดับความสูง 3,500 เมตรขึ้นไปจะพบพรรณพืชแบบทุ่งมัวร์มีมอสส์ขึ้นอยู่เป็นส่วนใหญ่ ถัดขึ้นไปเป็นพรรณพืชแบบป่าสน บนยอดเขาเป็นที่ว่างเปล่าเต็มไปด้วยหิมะ ช่างขัดแย้งกลับด้านล่างอย่างสิ้นเชิง
==============
50. Taj Mahal
ประเทศอินเดีย
ทัชมาฮาล ตั้งอยู่ในเมืองอัครา ริมฝั่งแม่น้ำยมุนา ประเทศอินเดีย เป็นสุสานหินอ่อนที่ผู้คนเชื่อว่าเป็นสถาปัตยกรรมแห่งความรักที่สวยที่สุดในโลก สร้างขึ้นโดยสมเด็จพระจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิโมกุลให้กับพระมเหสีของพระองค์
นับว่าเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลาง ภายในอาคารทัชมาฮาล ตรงกลางมีหีบพระศพจำลองของพระนางมุมตาสกับหีบพระศพของพระเจ้าชาห์ชาฮันวางคู่กัน (หีบพระศพจริงอยู่ในห้องลึกลงไปด้านล่างประมาณ 10 เมตร)
อ่านรีวิวเพิ่มเติมได้ที่ ทัชมาฮาล รักเหนือกาลเวลา ที่อินเดีย สุดโรแมนติก
===============
51. Capilla de Marmol
ปาตาโกเนีย ประเทศอาร์เจนตินา และชิลี
ถ้ำหินอ่อนนี้อยู่ในเขตพื้นที่ของทะเลสาบการ์เรรา (General Carrera) ทะเลสาบขนาดใหญ่ในเขตภูมิภาคปาตาโกเนีย (Patagonia) ภูมิภาคที่ตั้งอยู่ปลายใต้สุดของทวีปอเมริกาใต้ โดยทะเลสาบนั้นระหว่างชายแดนของอาร์เจนตินา และชิลี เป็นถ้ำที่เกิดจากกระแสน้ำได้กัดเซาะเป็นระยะเวลานับล้านปี จนภูเขาหินอ่อนเกิดเป็นถ้ำหินอ่อนอันงดงามไม่เหมือนถ้ำแห่งใดในโลก
================
52. Garden of the Gods
โคโลราโด สหรัฐอเมริกา
ภูมิประเทศที่เต็มไปด้วยโขดหินของรัฐทางตะวันตกของสหรัฐอเมริกาเป็นเอกลักษณ์สำคัญของดินแดนที่ได้ชื่อว่า Wild West สวน Garden of the Gods มีหินสีแดงรูปร่างประหลาด กินพื้นที่ถึง 1,367 และเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางสุดโปรดของบรรดานักปีนเขา นักปั่นจักรยานเสือภูเขา และผู้ชื่นชอบกิจกรรมกลางแจ้ง
==================
53. Tower of London
ประเทศอังกฤษ
พระราชวังหลวง และป้อมปราการ ซึ่งตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำเทมส์ของกรุงลอนดอนในประเทศอังกฤษ เมืองผู้ดีที่เก่าแก่ ที่นี่เป็นพระราชวังที่เดิมสร้างโดยพระเจ้าวิลเลียมที่ 1 แห่งอังกฤษ เมื่อปี ค.ศ. 1078 และขึ้นชื่อว่าเป็นสถานที่ที่ผีดุที่สุดอีกแห่งหนึ่งของโลก
ถ้าเคยได้ไปสัมผัสจะรู้สึกว่าเป็นปราสาทที่สวยงาม แต่มีบรรยากาศบางอย่างอึมครึมอย่างบอกไม่ถูก หอคอยเคยใช้เป็นป้อมที่ขังนักโทษที่มียศศักดิ์สูง และยังเป็นสถานที่สำหรับประหารชีวิต และทรมานนักโทษอีกด้วย เสียงโอดครวญบางทียังมีเล็ดลอดออกมาในตอนกลางคืนให้ได้ยินกันบ่อยครั้ง
==================
54. Acropolis
ประเทศกรีซ
อะโครโพลิส คือ ป้อมปราการที่อยู่บนเทือกเขาสูง ซึ่งมีอยู่หลายจุดในประเทศกรีซ อะโครโพลิสที่มีชื่อเสียงที่สุดคือ อะโครโพลิสแห่งเอเธนส์
ที่นี่ถือได้ว่า เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ชิ้นสำคัญของโลกเลยก็ว่าได้ เป็น อารยธรรมโบราณ ซึ่งสถานที่ที่ยังมีสิ่งก่อสร้างซึ่งแสดงให้เห็นถึงความรุ่งเรือง และความรู้ความสามารถของคนในยุคก่อน ความท้าทายในการเที่ยวชมที่นี่เป็นสิ่งที่นักท่องเที่ยวหลายคนถวิลหา เพราะจะต้องเลาะไปตามทางเดินที่อยู่ตรงแนวเนินเขาที่ทั้งสูง และชัน
=================
55. Bagan
ประเทศเมียนมาร์
พุกามเป็นเมืองโบราณที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของเมียนมาร์ เป็นเมืองเก่าแก่ตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 11 ที่ยังคงความศักดิ์สิทธิ์ของพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะความยิ่งใหญ่ของทุ่งทะเลเจดีย์ จนได้รับสมญานามว่าเป็นเมืองแห่งเจดีย์สี่พันองค์
ในสมัยรุ่งเรืองเคยมีเจดีย์มากมายถึง 4,446 องค์ ปัจจุบันเหลือแค่เพียง 2,217 องค์ เจดีย์แห่งแรกของพุกามคือ เจดีย์ชเวสิกอง สร้างโดยพระเจ้าอโนรธามังช่อ ปฐมกษัตริย์แห่งอาณาจักรพุกาม ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ที่บ่งบอกถึงความรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนาในประเทศเมียนมาร์
================
56. Bali
ประเทศอินโดนีเซีย
เกาะบาหลี เป็นเกาะในประเทศอินโดนีเซีย มีเอกลักษณ์ของตนเองเป็นอย่างมาก มีความงดงามตามธรรมชาติ รวมถึงรักษาวิถีชีวิตและความเชื่อในแบบดั่งเดิมไว้ไม่เสื่อมคลาย จึงไม่แปลกใจที่จะกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม
อ่านรีวิวเพิ่มเติมได้ที่ บาหลี กับ 8 สถานที่เที่ยว ที่ห้ามพลาด อินโดนีเซีย
================
57. Hampi
ประเทศอินเดีย
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเมื่อพูดถึงอินเดีย ใครๆ จะต้องนึกถึง ทัชมาฮาล ที่มีชื่อเสียงที่สุดมรดกโลก แต่นักท่องเที่ยวไม่กี่คนเท่านั้นที่จะรู้จัก ฮัมปิ เมืองที่เคยเป็นอาณาเขตของอาณาจักรวิจายานะกา หรือ วิชัยนคร และยังเป็นเมืองหลวงสุดท้ายของอาณาจักรฮินดู แน่นอนว่าที่นี่เต็มไปด้วยวัด และพระราชวังวังที่สร้างด้วยศิลปะแบบดราวิเดียน
=================
58. Pig Beach
ประเทศบาฮามาส
หาดหมู (Pig Beach) หรือที่รู้จักกันในชื่อว่า เกาะหมู (Pig Island) หรือ เมเจอร์ เคย์ (Major Cay) แห่งนี้ เป็นเกาะเล็กๆ ที่เกิดขึ้นบนพื้นผิวของแนวปะการังในเขตเอ็กซูมาของประเทศบาฮามาส เป็นเกาะที่ไร้ผู้อยู่อาศัย ไม่มีบ้านเรือน รีสอร์ทใดๆ มีแต่เจ้าหมูอ้วนๆ นั่งๆ นอนๆ อาบแดดบ้าง เล่นน้ำทะเลบ้าง อย่างเพลิดเพลิน
อ่านรีวิวเพิ่มเติมได้ที่ มา Bahams ที่ เกาะหมู ว่ายน้ำกับ หมูทะเล ที่นี่หมูครองโลก
=================
59. Faroe Islands
ประเทศเดนมาร์ก
Faroe Islands เป็นประเทศในกลุ่มเกาะจำนวน 18 เกาะ ในมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวติดอันดับในเรื่องของความงดงาม ในแต่ละเกาะมีทั้งหุบเขา หน้าผาสูงชันทั้งที่ดิ่งลงทะเล และลาดเอียงเป็นแนวเนินที่สวยงามอย่างยิ่ง
===============
60. Church Of The Savior On Blood
ประเทศรัสเซีย
โบสถ์แห่งหยดเลือด ที่รัสเซีย สถานที่ท่องเที่ยวที่โดดเด่นที่สุดในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจาก ที่นี่ การประดับประดาตกแต่ง มีเพดาน กำแพงหลากหลายสีสัน และโดมทรงหัวหอม จึงไม่น่าแปลกใจที่นักท่องเที่ยวจะเลือกที่นี่เป็นจุดหมายในการเดินทาง
=================
61. หลวงพระบาง
ประเทศลาว
หลวงพระบาง อีกหนึ่งเมืองมรดกโลก ที่น่าเที่ยวมากๆ ของประเทศลาว แม้จะเป็นเมืองเล็กๆ แต่ก็เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ บรรยากาศที่เงียบสงบเหมาะกับการมาเดินเที่ยวชิลชมเมือง ชมศิลปวัฒนธรรม และธรรมชาติที่งดงาม วัดวาอาราม แม่น้ำโขง และกลิ่นอายของประวัติศาสตร์
อ่านรีวิวเพิ่มเติมได้ที่ 10 ที่เที่ยว หลวงพระบาง เมืองมรดกโลก
=================
62. Tiger’s Nest Monastery
ประเทศภูฏาน
วัดทักซัง หรือ วัดถ้ำเสือ เป็นวัดที่โด่งดังที่สุดในภูฏาน ตั้งอยู่บนขอบของหน้าผาที่สูง 3,000 ฟุตจากระดับน้ำทะเลเหนือหุบเขาพาโร ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นด้วยพลังศรัทธาอย่างแรงกล้าในพระพุทธศาสนา และการเดินทางไปที่แห่งนี้นอกจากความเพียรแล้วต้องมีศรัทธาอันแรงกล้า และความแข็งแกร่งของแรงขาทั้งสองข้างในการเดินขึ้นเขาที่สูงชันท่ามกลางอากาศที่บางเบา
อ่านรีวิวเพิ่มเติมได้ที่ ทักซัง เมืองพาโร พลังแห่งศรัทธาบนยอดภูผากว่า 3,000 เมตร
=================
63. Socotra Island
ประเทศเยเมน
Socotra หนึ่งในสถานที่ที่ห่างไกลที่สุดในโลก อยู่ในทะเลอาระเบียประมาณ 150 ไมล์ของแอฟริกา เกาะเป็นที่รู้จักของชาวอียิปต์โบราณ และมาร์โคโปโลก็เป็นผู้เขียนเรื่องราวเกี่ยวกับที่นี่ อย่างไรก็ตามที่นี่ยังคงสภาพเดิมอยู่ และมีประชากรเพียง 80,000 คน อีกทั้งยังไม่มีถนนลาดยางจนกระทั่งถึงปี 2007
นอกจากถ้ำ เกาะที่แปลกประหลาด และน้ำทะเลที่สวยงามแล้ว ความแห้งแล้งบนเกาะยังทำให้เกิดพืชพันธุ์ที่มีรูปทรงคล้ายมาจากต่างดาว มีงานวิจัยแสดงให้เห็นว่าประมาณ 33% ของพืชเหล่านี้ไม่สามารถพบได้ที่ใดในโลก และหนึ่งในสิ่งที่แปลกประหลาดที่สุด นับว่าเป็นสัญลักษณ์ของเกาะ Socrota ก็คือต้น Dragon Blood ที่มีรูปทรงเป็นร่มนั่นเอง
อ่านรีวิวเพิ่มเติมได้ที่ โซโคตร้า ต้นไม้ยักษ์ล้านปีเหมือนต่างดาว
=================
64. Hobbiton
ประเทศนิวซีแลนด์
เมื่อพูดถึง Lord of the Rings คุณจะไม่พูดถึงฮ็อบบิทเป็นไปไม่ได้เลย Matamata เมืองเล็กๆ ในนิวซีแลนด์เป็นโลเคชั่นสำหรับ Lord of the Rings ทั้ง 3 ภาค และทางรัฐบาลนิวซีแลนด์ได้ตัดสินใจให้หมู่บ้านฮ็อบบิทแห่งนี้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวอย่างเป็นทางการ
=================
65. Ladakh
ประเทศอินเดีย
ลาดัคห์ (Ladakh) เมืองพระพุทธศาสนาเก่าแก่เพียงแห่งเดียวที่เหลืออยู่ในอินเดีย ตั้งอยู่ในแคว้น Jamu & Kashmir หรือ แคชเมียร์ตะวันออก ถึงแม้ Ladakh จะอยู่ในประเทศอินเดียแต่อุปนิสัยของผู้คนที่นั่นช่างแตกต่างกับคนอินเดียอย่างสิ้นเชิง ลาดัคห์มีความเหมือนกับ ฑิเบต จนได้ฉายาว่า ฑิเบตน้อย ทั้งรูปแบบการสร้างบ้านเรือน เจดีย์ วัดวาอารามเหมือนกับย่อฑิเบตมาไว้ที่นี่ เมืองในหุบเขาที่ล้อมรอบด้วยเทือกเขาสูงที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ
อ่านรีวิวเพิ่มเติมได้ที่ เลห์ ลาดักห์ สวรรค์บนดิน เส้นทางเที่ยวสวยบาดใจ บนเทือกเขาหิมาลัย
=================
66. Cano Crystales
ประเทศโคลัมเบีย
ลึกเข้าไปในป่าของโคลัมเบียจะมีแม่น้ำสายเก่าแห่งหนึ่งที่ดูเหมือนแม่น้ำธรรมดาๆ หากแต่ในความเป็นจริงคุณสามารถข้ามแม่น้ำสายนี้ได้หลายร้อยครั้งต่อปี อย่างไรก็ตามถ้าเป็นช่วงฤดูฝนและฤดูแล้งจะเกิดปรากฎการณ์ประหลาดที่ทำให้คุณอาจจะตะลึงจนขากรรไกรค้างได้เลยว่า นี่ไม่ใช่ฝันไปใช่มั้ย นี่มันไม่ใช่ภาพหลอนใช่มั้ย
ปรากฏการณ์แปลกประหลาดนี้เกิดขึ้นโดยสาหร่ายหลากสีสันที่อยู่ด้านล่างของแม่น้ำพากันพลิ้วไสวอย่างสวยงาม ซึ่งเป็นปรากฎการณ์ทางชีวภาพที่ไม่ซ้ำกัน ทำให้ Cano Crystales ถูกขนานนามว่า “แม่น้ำห้าสี”, “แม่น้ำแห่งสรวงสวรรค์” และ “แม่น้ำที่สวยที่สุดในโลก”
=================
67. Jiuzhai Valley National Park
ประเทศจีน
อุทยานแห่งชาติแห่งนี้ต้องทำให้คุณหลงใหลในมนต์เสน่ห์ของทะเลสาบสีเขียวคราม และน้ำตกที่สวยราวภาพวาด หุบเขาจิ่วจ้ายโกว นี้ตั้งอยู่ทางตอนใต้สุดของเทือกเขาหมินซานทางตอนเหนือของมณฑลเสฉวน นอกจากทะเลสาบและน้ำตกที่สวยงามตระการตาแล้ว ที่นี่ยังเป็นบ้านของกล้วยไม้นานาพันธุ์ และสัตว์อนุรักษ์ อย่างหมีแพนด้า อีกด้วย
=================
68. Chichilianne, Rhone Alpes
ประเทศฝรั่งเศส
ภูเขามหึมา Mont Aiguille ที่สูงเกือบ 7,000 ฟุต เป็นหนึ่งในเทือกเขา The French Prealps (Préalpes) ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันตกของเทือกเขาแอลป์ในฝรั่งเศส ตั้งสงบนิ่งเป็นแบ็กกราวด์ให้กับเมืองที่อยู่เบื้องล่าง เป็นวิวที่สุดแสนอลังการ ใครได้อยู่ที่นี่ขอบอกคำเดียวว่า อิจฉาตาร้อนสุดๆ คงจะรู้สึกเหมือนอยู่ในเมืองลับแลอะไรบางอย่างแน่ๆ
=================
69. Tuscany
ประเทศอิตาลี
ทัสคานี เป็นแคว้นหนึ่งของประเทศอิตาลี มีเมืองฟลอเรนซ์เป็นเมืองหลวง ตั้งอยู่ในภาคกลางของอิตาลีและทอดยาวจาก Apennines ไปทะเล Tyrrhenian เมืองนี้มีความสำคัญในทางประวัติศาสตร์ ศิลปกรรม เนื่องจากเป็นที่กำเนิดของยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาหรือยุคเรอเนซองซ์ ทำให้สถาปัตยกรรมของเมืองนั้นสวยงามมากๆ และที่นี่ยังเป็นที่เป็นที่ตั้งของหอเอนเมืองปิซาอันโด่งดัง รวมถึงมีไวน์รสชาติดีอีกด้วย
=================
70. Colosseum
ประเทศอิตาลี
โคลอสเซียม เป็นรูปวงกลมก่อด้วยอิฐ และหินทราย วัดโดยรอบได้ประมาณ 527 เมตร สูง 57 เมตร สามารถจุผู้ชมได้ประมาณ 55,000 คน นอกจากนี้ยังมีการออกแบบอย่างชาญฉลาด โดยสร้างให้สนามกีฬามีลักษณะเป็นรูปวงรี เพื่อให้ผู้ชมรู้สึกเข้าใกล้นักกีฬา และมีการออกแบบทางระบายน้ำเพื่อไม่ให้น้ำท่วมขังในสนามขณะเกิดฝนตกอีกด้วย โคลอสเซียมจึงกลายเป็นต้นแบบของสนามกีฬาต่างๆ ในปัจจุบัน
=================
71. Moai
เกาะอีสเตอร์
รูปปั้นยักษ์แกะสลักเป็นหน้าคน โมอาย (Moai) ที่เรียกได้ว่าเป็นพระเอกตัวจริงของที่นี่ เชื่อกันว่าเป็นผลงานของชาว โพลีนีเซียน (Polynesian) ที่เข้ามาปกครองเกาะนี้ในช่วงปี 1250 จำนวนของรูปปั้นนั้นกระจายอยู่ทั่วทั้งเกาะประมาณ 887 ตัว รวมทั้งตัวที่ยังแกะสลักไม่เสร็จ และเสียหายระหว่างการขนย้ายด้วย บางตัวมีแค่ส่วนหัว บ้างก็มีส่วนลำตัวที่ส่วนใหญ่ถูกฝังอยู่ใต้ดิน ขนาดของตัวโมอายที่ใหญ่ที่สุดนั้นสูงถึง 30 ฟุต (ประมาณ 10 เมตร) น้ำหนัก 82 ตัน
อ่านรีวิวเพิ่มเติมได้ที่ ปริศนา รูปปั้นโมอาย เกาะอีสเตอร์ ความลึกลับที่ซ่อนอยู่ใต้ผืนดิน
=================
72. Xian
ประเทศจีน
ซีอาน เป็นเมืองที่มีอายุเก่าแก่ เกือบสามพันปี เดิมมีชื่อว่า เสียนหยาง (Xianyang) ที่นี่เคยเป็นเมืองหลวงของจีนถึง 13 ราชวงศ์เลยทีเดียวทำให้มีคำกล่าวที่ว่า “ถ้าอยากเห็นปัจจุบันของจีนต้องไปปักกิ่ง ดูอนาคตของจีนต้องไปเซี่ยงไฮ้ และถ้าอยากเห็นอดีตของจีนต้องไปซีอาน” และสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงสุดๆ คงจะหนีไม่พ้น “สุสานจิ๋นซีฮ่องเต้” ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นยิ่งกว่าแลนด์มาร์ค นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวซีอานถ้าไม่ได้แวะมาเที่ยวที่นี่ตราหน้าเลยว่ายังไม่ได้มาถึงซีอาน
อ่านรีวิวเพิ่มเติมได้ที่ สุสานทหารจิ๋นซี ฮ่องเต้ ซีอาน เต็มอิ่ม 1 วัน (มีคลิป)
=================
73. Rajasthan
ประเทศอินเดีย
ไม่น่าแปลกใจเลยทีเดียวที่นครภารตะอย่างอินเดียจะเป็นที่แรกๆ ที่เหล่าช่างภาพจะอยากไปชักภาพเป็นคอลเลคชั่นของตัวเอง โดยเฉพาะ รัฐราชสถาน หรือ Rajasthan ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของอินเดีย และติดกับประเทศปากีสถาน เป็นอีกจุดหมายปลายทางหนึ่งของนักท่องเที่ยวหลายล้านคนเพราะที่นี่เป็นที่ตั้งของนครสีสวยอย่าง ไจย์ปูร์ (เมืองสีชมพู) อีกทั้งยังเปี่ยมไปด้วยสีสันแห่งวิถีชีวิตของผู้คน พระราชวัง ประเพณี เทศกาล และภูมิทัศน์ที่สวยจับใจ
=================
74. Rotorua
ประเทศนิวซีแลนด์
โรโตรัว เมืองท่องเที่ยวยอดนิยมของนิวซีแลนด์ ขึ้นชื่อเรื่องทะเลสาบ และบ่อน้ำร้อน แต่ก็มีที่เที่ยวหลากหลายให้เลือก ทั้งสวนสัตว์ สวนสนุก ฟาร์มสเตย์ และหมู่บ้านชาวเมารี ซึ่งเมืองนี้ยังเป็นแหล่งเข้าถึงชาวเมารี ซึ่งเป็นชนพื้นเมืองเจ้าของแผ่นดินเดิมได้อย่างใกล้ชิดที่สุดในนิวซีแลนด์
=================
75. Kelimutu Volcano
ประเทศอินโดนีเซีย
มหัศจรรย์ธรรมชาติ ทะเลสาบ 3 สี ที่อินโดนีเซีย เป็นทะเลสาบที่อยู่บนปล่องภูเขาไฟเคลิมูตู (Kelimutu Volcano) บนเกาะฟลอเรส (Flores Island) เป็นส่วนหนึ่งของหมู่เกาะซุนดาน้อย (Lesser Sunda Islands) ประเทศอินโดนีเซีย สวยงามขนาดนี้ ที่นี่จึงเป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง และได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวจำนวนมาก
=================
76. Muine
ประเทศเวียดนาม
ทะเลทรายมุยเน่ ประเทศเวียดนาม ทะเลทรายขาว หรือ White Sand Dunes เป็นเนินทรายที่ใหญ่ที่สุดของมุยเน่ มีทะเลสาปขนาบข้าง เป็นอีกแห่งที่อลังการมากๆ
อ่านรีวิวเพิ่มเติมได้ที่ ทะเลทรายมุยเน่ ซาฮาร่าแห่งเวียดนามใต้ ที่เที่ยวถ่ายรูปสวย
=================
77. Islands of the Andaman Sea
ประเทศไทย
ความสนุกอยู่ที่การได้เห็นว่าเกาะจะมีความเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร จากความเปลี่ยนแปลงของเมฆ, แสงแดด บ้างก็เห็นแสงสะท้อนสีเงินระยิบระยับจากชายหาด มีหมู่บ้านเล็กๆที่แสดงถึงวัฒนธรรมและวิถีชีวิตท้องถิ่น เรียกได้ว่า เกาะบนทะเลอันดามันในประเทศไทยนั้น คือ สวรรค์บนดิน จริงๆ
=================
78. Aurora Borealis
ประเทศนอร์เวย์
ปรากฏการณ์ออโรรา ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ที่มีแสงเรืองๆ เป็นแถบสีต่างๆ บนท้องฟ้าในเวลากลางคืน ปรากฏการออโรรานี้มักจะขึ้นในบริเวณแถบขั้วโลก โดยจะเรียกว่า แสงเหนือ ซึ่งจะสามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่าส่วนใหญ่ในประเทศนอร์เวย์ ตั้งแต่เวลา 22.00 น ถึง เที่ยงคืน
อ่านรีวิวเพิ่มเติมได้ที่ ล่าแสงเหนือ ออโรรา ช่วงเวลา และ เมืองที่เกิด
=================
79. Hoi An
ประเทศเวียดนาม
Romas_Photo / Shutterstock.com
ฮอยอัน…ฉันรักเธอ !! เมืองมรดกโลกเล็กๆ ริมฝั่งทะเลจีนใต้ ทางตอนกลางของประเทศเวียดนาม ตั้งอยู่ในเขตจังหวัดกว๋างนาม ซึ่งในอดีตเคยเป็นเมืองท่าที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทีเดียว ทุกวันนี้ ฮอยอันยังคงเป็นเมืองขนาดเล็กเช่นเดิม แต่ก็มีนักท่องเที่ยวเข้ามาเยือนเป็นจำนวนมากค่ะ สิ่งที่น่าสนใจของฮอยอันก็คือผลงานทางศิลปะ และหัตถกรรม คนชอบสะสมของเก่าสามารถหาชมของโบราณได้อย่างหลากหลาย
อ่านรีวิวเพิ่มเติมได้ที่ 1 วันเต็มที่ ฮอยอัน ฉันยิ่งกว่ารักเธอ เมืองมรดกโลก เวียดนาม
=================
80. Crystal Ice Cave
ประเทศไอซ์แลนด์
หากพูดถึงถ้ำน้ำแข็งที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งในโลก ดูเหมือนว่าถ้ำน้ำแข็งที่ไอซ์แลนด์ก็เป็นหนึ่งในนั้น นั่นก็คือถ้ำน้ำแข็งที่เมืองสตัฟทาเฟล (Skaftafell) รับรองว่าถ้าใครได้เห็นต้องตื่นตาตื่นใจแน่นอน จะเป็นถ้ำน้ำแข็งสีฟ้าคราม ผนังของถ้ำใสเหมือนคริสตัล จึงเป็นที่มาทำไมถึงเรียกว่า Crystal Ice Cave การเข้าไปภายในถ้ำต้องอาศัยความปลอดภัยเป็นอย่างมาก ในช่วงฤดูหนาวคือช่วงที่เหมาะแก่การมาชมความงามของถ้ำน้ำแข็งแห่งนี้มากที่สุด
=================
81. Cenote
ประเทศเม็กซิโก
หลุมเหล่านี้เป็นหลุมลึกที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เกิดจากการถล่ม และสลายของหินปูนกลายเป็นหลุมที่มีบ่อน้ำใสขนาดใหญ่ในเม็กซิโก คาดว่าบ่อนี้ก่อตัวขึ้นในช่วงยุคน้ำแข็ง และถูกจัดให้เป็นสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ของชนเผ่ามายันโบราณอีกด้วย
=================
82. Son Doong
ประเทศเวียดนาม
Son Doong (ซันดอง) ถ้ำโบราณที่ซุกซ่อนอยู่ภายในหุบเขา มีความกว้าง 200 เมตร สูง 150 เมตร และมีความยาวถึง 9 กิโลเมตร ใครอยากลองเป็นนักสำรวจถ้ำนี้ตอบโจทย์มากๆ ตามไปดูความยิ่งใหญ่เพิ่มเติมได้ที่ ถ้ำใหญ่ที่สุดในโลก Son Doong Cave ประเทศเวียดนาม จุตึกเอ็มไพร์สเตทได้ทั้งตึก นอกจากนี้ที่นี่ยังเป็นสุดยอดทริป ที่คนรักการท่องเที่ยวต้องไปสักครั้งหนึ่งในชีวิต !
อ่านรีวิวเพิ่มเติมได้ที่ Son Doong Cave เวียดนาม ถ้ำใหญ่ที่สุดในโลก จุตึกเอ็มไพร์สเตทได้ทั้งตึก (มีคลิป)
=================
83. Wuhan
ประเทศจีน
เมืองตำนานยุทธจักรนักสู้ เที่ยวให้มันส์ยันบรรพบุรุษ ตามรอยพงศาวดารจีนสามก๊กที่ “หอกระเรียนเหลือง” หอสังเกตการณ์ข้าศึก ซึ่งเป็น 1 ใน 3 หอที่สวยที่สุดของจีน ก่อนขึ้นเขา “บู๊ตี๊ง” มรดกโลกจุดกำเนิดสุดยอดวิชากังฟู ที่นี่แหละคือ จุดที่ต้องมาให้ได้ในเมืองจีน
=================
84. Kirkjufell
ประเทศไอซ์แลนด์
Kirkjufell เป็นภูเขาทางฝั่งตะวันตกของไอซ์แลนด์เรียกได้ว่าเป็นสัญลักษณ์อีกหนึ่งสิ่งของประเทศไอซ์แลนด์เลยก็ว่าได้ เป็นสถานที่ดึงดูดช่างภาพมืออาชีพจากทั่วโลกที่มาเยือนไอซ์แลนด์ต่างก็ต้องมาแชะภาพของที่นี่กลับไปเป็นที่ระลึก
ภูเขา Kirkjufell ล้อมรอบไปด้วยวิวทิวทัศน์ทั้งหาดทรายชายทะเล และน้ำตก ไม่ว่าจะมาเที่ยวที่นี่ในช่วงไหนก็มีความงดงามตลอดทั้งปี โดยเฉพาะในหน้าหนาวที่จะมองเห็นภูเขา Kirkjufell ปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาว ถ้าโชคดีก็จะได้เห็นท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยแสงเหนือเต้นดุ๊กดิ๊กๆ อยู่ข้างหลัง
=================
85. St.George's Chapel
ประเทศอังกฤษ
Piotr Wawrzyniuk / Shutterstock.com
โบสถ์เซนต์จอร์จ (St. George's Chapel) ตั้งอยู่ภายในพระราชวังวินเซอร์นั่นเองสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้เรียกได้ว่าเป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมสำคัญๆ แห่งราชวงศ์อังกฤษมาแล้วมากมาย เป็นโบสถ์สไตล์โกธิค และทิวดอร์ สร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 15 ยุคของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 4 (ค.ศ. 1461–ค.ศ. 1483) เดิมเป็นศาสนสถานเฉพาะสำหรับพระราชวงศ์ และเป็นสุสานบรรจุพระบรมศพของกษัตริย์ถึง 10 พระองค์
อ่านรีวิวเพิ่มเติมได้ที่ ชมโบสถ์เซนต์จอร์จ แห่งพระราชวังวินด์เซอร์
=================
86. Sagano Bamboo Forest
ประเทศญี่ปุ่น
ป่าไผ่ซากาโนะ นี้ป่าไผ่ที่ใหญ่ที่สุดในเมืองเกียวโต ทั้งทัศนียภาพที่สวย และแปลกตาของป่าไผ่ซากาโนะ ทำให้มีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมเยียนที่นี่อย่างไม่ขาดสาย เราสามารถเดินชมป่าไผ่ตามทางเดินที่ได้จัดไว้ให้เป็นระยะทาง 500 เมตร ตลอดสองข้างทางเดินประกอบไปด้วยต้นไผ่สูงชะลูด และในระหว่างทางนักท่องเที่ยวจะได้เพลิดเพลินไปกับเสียงลำไผ่สีกันยามลมพัด นับเป็นเสียงธรรมชาติที่แสนไพเราะสุดจะบรรยายไปเลยทีเดียว นับว่าที่นี่เป็นอีกแห่งหนึ่งที่ทำให้ชาวต่างชาติหลายคนต้องมนต์เสน่ห์ของโลกฝั่งตะวันออก
อ่านรีวิวเพิ่มเติมได้ที่ เที่ยวญี่ปุ่น ป่าไผ่ซากาโนะ Sagano bamboo forest เกียวโต เสน่ห์โลกตะวันออก
=================
87. Huacachina, Peruvian Desert
ประเทศเปรู
Huacachina เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเปรู ที่นี่มีคนอาศัยอยู่เพียงแค่ร้อยกว่าคนเท่านั้นในโอเอซิสเขียวชอุ่มท่ามกลางทะเลทรายอันร้อนระอุ ใครมาที่นี่แล้วมักจะติดอกติดใจกับกิจกรรมท้าทายก็คือ sandboarding ซึ่งแน่นอนว่า เราจะสามารถเช่า sandboarding จากชาวบ้านมาลองกันสักครั้งในชีวิตได้อีกด้วย
=================
88. Melissani Cave, Kefalonia
ประเทศกรีซ
Melissani Cave เป็นถ้ำที่ตั้งอยู่บนเกาะ Kefalonia ประเทศกรีซ ถ้ำแห่งนี้ได้สำรวจพบในปี 1951 มีการขุดพบวัตถุโบราณหลายชิ้นด้วยกัน ภายในถ้ำมีทะเลสาบน้ำกร่อยอยู่เข้าไปลึกกว่า 500 เมตรจากทะเล เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมอีกที่หนึ่ง นักท่องเที่ยวจะล่องเรือไปตามเส้นทางเพื่อชมธรรมชาติที่สวยงามของน้ำที่ใสราวกับกระจก ตามตำนานเทพเจ้ากรีกโบราณ เหล่านางไม้ที่อาศัยอยู่ในถ้ำที่งดงามนี้จะล่อลวงคนด้วยความงามของพวกเขา และถ้ำนี้ก็ได้ล่อลวงนักดำน้ำหลายคนในหลงเข้าไปในโลกที่เต็มไปด้วยความงามของธรรมชาติ
=================
89. Mount Ai-Petry, Crimea
ประเทศยูเครน
ความเสียวระดับสูงนี้ตั้งอยู่บนภูเขา Kastron Mountain คุณจะต้องปีนขึ้นไปโดยไม่หันกลับมามองแม้หัวใจจะกองอยู่แทบเท้าแล้วก็ตาม และบนจุดสูงสุดเราจะได้พบกับวิวที่สวยอลังการของอ่าว Balaklava ที่แสนคุ้มค่ากับการขึ้นมา ณ ที่นี้
=================
90. Lofoten Islands
ประเทศนอร์เวย์
Lofoten เป็นกลุ่มของหมู่เกาะที่ตั้งอยู่ในภาคเหนือของนอร์เวย์ภายในอาร์กติกเซอร์เคิล เป็นที่ตั้งของหมู่บ้านชาวประมงที่แสนจะล่อตาล่อใจนักจับปลาทั้งหลาย คนที่ชื่นชอบการตกปลามักมาที่นี่กันในวันหยุดเพื่ออวดปลาตัวใหญ่ให้โลกเห็น นอกจากนี้ยังมีแนวปะการังที่ลึกที่สุดของโลกอยู่ที่นี่อีกด้วย แน่นอนว่าความสวยงามแห่งซีกโลกเหนืออยู่ที่นี่แหละ
=================
91. St. Petersburg
ประเทศรัสเซีย
เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก (St. Petersburg) เป็นเมืองท่าทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของรัสเซีย ตั้งอยู่ปากแม่น้ำเนวา ริมอ่าวฟินแลนด์ในทะเลบอลติก สร้างโดยพระเจ้าซาร์ปีเตอร์มหาราช เรียกได้ว่าเป็นจุดศูนย์กลางแห่งความเจริญที่เก่าแก่ที่สุดรวมไปถึงด้าน นโยบายการเมืองและเศรษฐกิจที่มีบทบาทและความสำคัญในหน้าที่ประวัติศาสตร์ สมัยที่เคยเรืองอำนาจในยุโรปจนถูกขนานนามว่า “หน้าต่างของยุโรป”
=================
92. Zermatt
ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
Zermatt (เซอร์แมตส์) เมืองเล็กน่ารักที่อุดมไปด้วยมิตรไมตรี บนความสูง 1,620 เมตร บริเวณเชิงเขา Matterhorn (แมทเทอร์ฮอร์น) หนึ่งในยอดเขาที่สวยงามที่สุดของประเทศสวิตเซอร์แลนด์
อ่านรีวิวเพิ่มเติมได้ที่ นั่งรถไฟเลียบหุบเขา สวิตเซอร์แลนด์ เยือนเมืองจักรยาน Zermatt พิชิตเขาสูง Matterhorn
=================
93. Angkor Wat
ประเทศกัมพูชา
ที่นี่คือโบราณสถานที่เกี่ยวกับศาสนาที่ใหญ่ที่สุดของโลก และยังได้เป็นอันดับ 1 ใน Travelers’ Choice ในปี 2015 นี้อีกด้วย นครวัด สร้างขึ้นราวศตวรรษที่ 12 เป็นสิ่งก่อนสร้างที่มีมนต์เสน่ห์อย่างน่าประหลาด ชวนให้หลายคนหลงใหลและอยากจะเดินทางมาเยือนที่นี่สักครั้ง นอกจากนี้ที่นี่ยังได้ชื่อว่าเป็นสัญลักษณ์ของกัมพูชา และยังเป็นหนึ่งในมรดกโลกที่ UNESCO ยกย่อง
=================
94. Trolltunga in Hordaland
ประเทศนอร์เวย์
Trolltunga มีความหมายว่าลิ้นของโทรลล์ ด้วยความที่เป็นชะง่อนผาที่มีลักษณะคล้ายกับการแลบลิ้นออกมาจากภูเขาประมาณ 2,000 ฟุตลอยอยู่กลางอากาศแบบนี้นั่นเอง หากยอมปืนเขาที่สูงกว่า 700 เมตรนี้ได้ จะเห็นวิวที่คุ้มค่ากับที่ปืนขึ้นมาแน่นอน เพราะวิวของแม่น้ำ Ringedalsvatnet สวยอย่างกับภาพวาด
=================
95. Tunnel of Love
ประเทศยูเครน
อุโมงค์แห่งความรัก (Tunnel of Love) คืออีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงมากแห่งหนึ่งของประเทศยูเครน เป็นอุโมงค์รถไฟที่สร้างขึ้นจากต้นไม้อย่างสวยงามตั้งอยู่ในเขตเมืองเคลเว่น (Klevan) เมืองเล็กๆ ในจังหวัดริฟเน (Rivne region) จังหวัดที่ตั้งอยู่ในภาคตะวันตกของประเทศยูเครนนั่นเอง เห็นแบบนี้โรแมนติกอย่าบอกใคร แนะนำให้เก็บเงินแล้วเตรียมไปถ่ายพรีเวดดิ้งที่นี่เลย
=================
96. Salar De Uyuni
ประเทศโบลิเวีย
Salar de Uyuni เป็นทะเลเกลือที่ใหญ่ได้ชื่อว่าเป็น กระจกเงาที่ใหญ่ที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง เป็นพื้นที่ราบที่ประกอบด้วยเกลือจำนวนมหาศาลบนเนื้อที่ 10,582 ตารางกิโลเมตร เป็นทะเลเกลือใหญ่ที่สุดของโลก อยู่ติดเขตระหว่างสองจังหวัดคือ Potosi และ Oruro ทางตอนใต้ของประเทศโบลิเวีย ลองมาตอนหน้าฝน จะเหมือนได้ยืนอยู่ท่ามกลางทะเลที่สะท้อนกับท้องฟ้าราวกับกระจก
อ่านรีวิวเพิ่มเติมได้ที่ ผืนฟ้าจรดผืนโลก ที่ Salar de Uyuni โบลิเวีย ทะเลเกลือที่ใหญ่ และสวยที่สุดในโลก
=================
97. Zhangye Danxia, Gansu
ประเทศจีน
ภูเขาสีรุ้ง หรือ ภูเขาหลากสีในเขตมณฑลกันซู่ ประเทศจีน เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เรียกได้ว่าเป็นงานศิลปะที่สรรสร้างด้วยฝีมือธรรมชาติโดยแท้ ภาพภูเขหลากหลายสีสันตรงนี้ เกิดจากการตกตะกอนของหินทราย และแร่ธาตุในบริเวณนี้ทับถมกันมานานกว่า 24 ล้านปีนั่นเอง
=================
98. Himeji Castle
ประเทศญี่ปุ่น
ปราสาทฮิเมจิ มีประวัติศาสตร์ก่อตั้งกว่า 400 ปี เป็นปราสาทที่คงสภาพเดิมที่สุดในญี่ปุ่น ถือว่าเป็น 1 ใน 3 ปราสาทที่งดงามที่สุดในญี่ปุ่น โดยอีก 2 แห่งคือ ปราสาทมะสึโมะโตะ และปราสาทคุมะโมะโต รวมทั้งได้รับการจดทะเบียนเป็นมรดกโลกจากยูเนสโกเป็นครั้งแรกของประเทศญี่ปุ่นในปี 1993 ความสง่างามของที่นี่ได้รับการเปรียบเปรยให้ถูกเรียกว่า “ปราสาทนกกระสาขาว”
อ่านรีวิวเพิ่มเติมได้ที่ เที่ยวญี่ปุ่น เช็คอิน ปราสาทฮิเมจิ กับ 7 กิจกรรมโดนๆ ที่ต้องลองสักครั้ง !
=================
99. Cappadocia
ประเทศตุรกี
คัปปาโดเกีย (Cappadocia) เมืองมหัศจรรย์ที่ตั้งอยู่ในประเทศตุรกี เป็นเมืองที่ได้รับการประกาศจากองค์การยูเนสโกให้เป็นเมืองมรดกโลก เมื่อปี ค.ศ.1985 เป็นพื้นที่พิเศษเกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟเออซิเยส และภูเขาไฟ ฮาซาน เมื่อประมาณ 3 ล้านปีมาแล้ว (ปัจจุบันภูเขาไฟทั้ง 2 ดับแล้ว) ทำให้ลาวาที่พ่นออกมา เถ้าถ่านจำนวนมหาศาลกระจายไปทั่วบริเวณทับถมเป็นแผ่นดินชั้นใหม่ขึ้นมา เกิดเป็นภูมิประเทศประหลาดแปลกตาน่าพิศวงสารพัดรูปร่าง
=================
100. Valley of Flowers
ประเทศอินเดีย
Valley of Flowers National Park ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเทือกเขาหิมาลัย ในรัฐ Uttarakhand ของประเทศอินเดียบนความสูง 3,650 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล กินอาณาบริเวณกว่า 87 ตารางกิโลเมตร บนนี้จะพบดอกไม้นานาพันธุ์ที่ทั้งสวยงาม และหายากในแถบภูมิภาคอื่นกว่า 520 ชนิด รวมถึงมีสรรพคุณทางยาด้วย โดยปกติดอกไม้จะบานสะพรั่งละลานตาในช่วงเดือนมิถุนายน ไปจนถึงต้นกันยายน
อ่านรีวิวเพิ่มเติมได้ที่ Valley of Flowers แดนแห่งขุนเขา ดอกไม้ และสายธาร ที่ประเทศอินเดีย
มีสถานที่ในโลกอีกมากมายที่เรายังไม่เคยเห็น และ 100 สถานที่สวยที่สุดในโลก ที่เราได้รวบรวมไว้นี้ เป็นสถานที่ในฝันของหลายคน บางที่ก็สวยจนตะลึงเกือบลืมหายใจไปเลยทีเดียวค่ะ ตามมาดูกันว่า 100 สถานที่นี้ มีที่ไหนที่เราควรไปสัมผัสด้วยตาของตัวเองกันได้แล้วบ้าง !
1. Three Natural Bridges
ประเทศจีน
อุทยานแห่งชาติหลุมฟ้า 3 สะพานสวรรค์ (เทียนเชิงซ่านเฉียว) มรดกโลก ทางธรรมชาติที่มีความสวยงามมากที่สุดแห่งหนึ่ง ตั้งอยู่ที่เมืองอู่หลง นครฉงชิ่ง ประเทศจีน เกิดจากการยุบตัวของเปลือกโลก ทำให้เกิดเป็นบ่อหลุมขนาดใหญ่ที่ลึกประมาณ 300-500 เมตร และมีบางส่วนเป็นโพรงทะลุเหมือนกับสะพานทอดข้ามระหว่างภูเขา
อ่านรีวิวเพิ่มเติมได้ที่ อุทยานแห่งชาติหลุมฟ้า ภูผาอัศจรรย์ เมืองอู่หลง
==================
2. Petra
ประเทศจอร์แดน
นครเพตรา คือนครหินแกะสลักโบราณที่ซ่อนตัวอย่างลึกลับในหุบเขาวาดี มูซา หุบเขาที่ตั้งอยู่ระหว่างทะเลสาบเดดซีกับ ทะเลอัคบาในประเทศจอร์แดน เป็นเมืองที่เจาะสลักเข้าไปในหินเกือบทั้งหมด รอบบริเวณ ไม่ว่าจะเป็น วิหาร หลุมศพ บันได โรงละคร ซึ่งขุดสลักมาแต่ยอดเขาลงมาเป็นหลืบลดหลั่นเป็นช่อชั้นงดงาม
ถือกันว่าเป็นศูนย์กลางของ อารยธรรมเบื้องต้นของเขตตะวันออกกลาง นครนี้แต่เดิมนั้นเป็นนครแห่งการค้าขนาดใหญ่ซึ่งต่อมาถูกละทิ้งเป็นเวลานานกว่า 700 ปี จนเมื่อมีนักสำรวจชาวสวิตเซอร์แลนด์ โยฮันน์ ลุควิก บวร์กฮาร์ท เดินทางผ่านมาพบเห็นเข้าเมื่อปี 1812 ภายหลังที่นี่เลยกลายเป็นแหล่งความรู้อย่างดีของนักโบราณคดี และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงมากที่หนึ่งในโลก
==================
3. ทะเลสาบสีชมพู Hiller Lake (Pink Lake)
ประเทศออสเตรเลีย
ทะเลสาบฮิลลิเออร์นี้ตั้งอยู่บนเกาะมิดเดิ้ล ไอส์แลนด์ ประเทศออสเตรเลีย แปลกประหลาดล้ำตรงที่ว่าน้ำในทะเลสาบแห่งนี้มีสีชมพูเหมือนนมสตรอเบอร์รี่มิลค์เชค และถึงแม้ว่าในโลกนี้ยังมีทะเลสาบสีชมพูอีกหลายแห่ง แต่ทะเลสาบฮิลลิเออร์นั้นมีความแตกต่างจากทะเลสาบสีชมพูแห่งอื่นๆ ตรงที่น้ำในทะเลสาบเป็นสีชมพูจริงๆ ไม่ได้เกิดจากการตะกอน แสงสะท้อน หรือสาหร่ายในน้ำ
เมื่อตักน้ำในทะเลสาบฮิลลิเออร์มาใส่ขวดก็จะได้น้ำสีชมพูใส และจะเป็นสีชมพูอยู่อย่างนี้ตลอดไปจนนักวิทยาศาสตร์อึ้งไปตามๆ กัน น่าอัศจรรย์ใจมาก ซึ่งมีข้อสันนิษฐานว่าสีชมพูนั้นเกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่อยู่ในเกล็ดของเกลือนั่นเอง
==================
4. ทุ่งหญ้าสีชมพู Da Lat
ประเทศเวียดนาม
สำหรับทุ่งหญ้าสีชมพูนี้ ตั้งอยู่ที่ เมืองดาลัต ประเทศเวียดนาม ขอบอกว่า มันชมพูจริงๆ แถมยังฟรุ้งฟริ้งมากอีกด้วย เหมือนอยู่กลางทุ่งหญ้าในเกาหลี หรือยุโรปเป๊ะๆ เป็นอีกสถานที่ท่องเที่ยวหนึ่งที่สวยงามมากๆ
อ่านรีวิวเพิ่มเติมได้ที่ 7 ที่เที่ยวถ่ายรูปสวย ดาลัด เวียดนามใต้
===================
5. Cinque Terre
ประเทศอิตาลี
เมืองติดทะเลในเขต Liguria ของประเทศอิตาลีนั้นมีหมู่บ้าน 5 หมู่บ้านอยู่ติดกัน ซึ่งมีชื่อว่า Cinque Terre และเป็นเมืองที่ได้รับการยกให้เป็น UNESCO World Heritage เพราะชายหาด ทะเล ภูเขา ในแถบนั้นสวยงามมากๆ และเป็นพื้นที่อนุรักษ์ของประเทศอิตาลีอีกด้วย
===================
6. Fairy Pools, Isle of Skye
ประเทศสก็อตแลนด์
อย่างกับความฝันในตอนเด็ก ใครจะไปเชื่อว่า สักครั้งจะได้มีโอกาสลงไปแหวกว่ายในสระน้ำที่คนทั่วโลกบอกว่า ที่นี่แหละ สระว่ายน้ำของนางฟ้าในเทพนิยาย Fairy Pools นี้เป็นสระว่ายน้ำที่ธรรมชาติได้สรรสร้างขึ้นมาในหุบเขาเกลน บริทเทิล (Glen Brittle) ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเกาะสกาย (Isle of Skye) เกาะที่ใหญ่ที่สุดในเขตหมู่เกาะอินเนอร์ เฮบริดีส (Inner Hebrides) หมู่เกาะที่อยู่นอกชายฝั่งตะวันตกของสก็อตแลนด์
อ่านรีวิวเพิ่มเติมได้ที่ Fairy Pools สระน้ำในเทพนิยายที่มีอยู่จริง น้ำใสราวกับคริสตัล
==================
7. Mamanuca Islands
ประเทศฟิจิ
เกาะ Mamanuca เป็นเกาะสวรรค์ที่เหมือนหลุดออกมาจากโปสการ์ดสวยๆ เป็นหมู่เกาะที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของฟิจิ เพราะที่นี่มีความงามที่ยังบริสุทธิ์และโดดเด่นคงเหลืออยู่ อีกทั้งยังมีกิจกรรมหลากหลายรูปแบบให้คนบนเกาะสนุกได้โดยไม่เบื่อ
==================
8. Jellyfish Lake หมู่เกาะ Palau
ประเทศปาเลา
ทะเลสาบแมงกะพรุนไร้พิษ หรือ Jellyfish Lake นี้ตั้งอยู่บนเกาะ Eil Malk ซึ่งเป็นเกาะหนึ่งในหมู่เกาะ Rock Islands ที่สาธารณรัฐปาเลา ซึ่งเป็นหนึ่งในจุดดำน้ำยอดนิยมที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และจุดเด่นที่สุดของที่นี่คือ แมงกะพรุนทอง (Golden Jellyfish) นับล้านตัวแหวกว่ายอยู่
อ่านรีวิวเพิ่มเติมได้ที่ ทะเลสาบแมงกะพรุน ไร้พิษ Jellyfish Lake ปาเลา
==================
9. Giant’s Causeway
ประเทศไอร์แลนด์
Giants Causeway Beach นี้เป็นชายหาดที่เต็มไปด้วยเสาหินกว่า 40,000 แท่ง และยังได้รับการประกาศเป็นมรดกโลกโดยยูเนสโกในปี 1986 บนชายฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของไอร์แลนด์เหนืออีกด้วย ใครที่อยากไปเที่ยวที่นี่ต้องระวังหินทิ่มขากันสักหน่อย
===================
10. Glass Beach
แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา
ชายหาดแก้วแห่งนี้ เดิมที่เป็นที่ทิ้งขยะของรัฐแคลิฟอร์เนีย หลายสิบปีผ่านไป ขยะที่เป็นเศษแก้วถูกคลื่นซัดสาดหายไป จนกลายเป็นชายหาดแสนสวยอย่าวน่าอัศจรรย์
==================
11. Motonosumi-Inari Shrine
ประเทศญี่ปุ่น
เสาโทริอิสีแดงตั้งตระง่านจากภูเขาไปจนถึงทะเล 1 ใน 29 สถานที่สวยที่สุดในญี่ปุ่น ที่นี่คือ Motonosumi-inari Shrine ศาลเจ้าที่ช่วยให้ผู้คนที่มาอธิษฐานประสบความสำเร็จ เชื่อไหมล่ะว่า หลังจากที่คุณหย่อยเงินบริจาคลงในกล่องรับบริจาคตรงเสาโทริอิต้นสุดท้าย ความหวังทั้งหลายของคุณจะประสบความสำเร็จ
==================
12. Reykjavik
ประเทศไอซ์แลนด์
เรคยาวิก เป็นเมืองหลวงของประเทศไอซ์แลนด์ และเป็นเมืองหลวงที่ตั้งอยู่ใกล้กับขั้วโลกเหนือมากที่สุด โดยตั้งอยู่ไม่ไกลจากเส้นอาร์กติกเซอร์เคิลมากนัก แม้ว่าที่นี่จะเป็นหนึ่งในจุดที่หนาวที่สุดของยุโรป แต่ก็เต็มไปด้วยบ่อน้ำพุร้อนธรรมชาติ การได้แช่ในบ่อน้ำพุร้อนธรรมชาติท่ามกลางความหนาวเย็นยะเยือกเป็นสิ่งที่ทุกคนถวิลหาในหน้าหนาว
===================
13. Pamukkale
ประเทศตุรกี
ธารน้ำแร่ใต้ดินไหลรวมเป็นแอ่งน้ำหินปูน เหมือนเป็นสระว่ายน้ำไร้ขอบธรรมชาติที่สวยงาม เกิดจากปรากฏการณ์ที่ตะกอนของหินปูนทำปฏิกิริยากับอากาศ จับตัวแข็งกลายเป็นแอ่ง และมีธารน้ำแร่ใต้ดินไหลเอ่อล้นผุดขึ้นมาบนพื้นผิว รวมเป็นแอ่งน้ำหินปูนที่ลดหลั่นกัน กว้าง 300 เมตร ยาวกว่า 3 กิโลเมตร ก่อนไหลลงจากผาสูง 100 เมตร
==================
14. Santorini
ประเทศกรีซ
Santorini เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่แสนจะดึงดูดใจนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก กลุ่มอาคารสีขาว รูปทรงแปลกตาที่ตั้งลดหลั่นกันตามเชิงเขาสูงชัน และโบสถ์แสนสวยที่มียอดโดมสีฟ้าสดใส เป็นเหมือนสัยลักษณ์ของที่นี่ ทำให้ใครๆ ก็อยากมาพักผ่อนในเมืองแสนสวยนี้ดูสักครั้ง
==================
15. Neuschwanstein Castle
ประเทศเยอรมนี
พระราชวังสมัยศตวรรษที่ 19 ตั้งอยู่บนเนินเขาขรุขระทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของบาวาเรีย ประเทศเยอรมัน มีลักษณะเหมือนปราสาทในเทพนิยาย จนติดอันดับ 9 สถานที่ เทพนิยายที่มีอยู่จริงบนผืนโลก
พระราชวังแห่งนี้เปิดให้ประชาชนเข้าชม และเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์หลายต่อหลายเรื่อง และแม้จะเป็นปราสาทยุคกลางของลุดวิก (Ludwig) แต่ก็มีเทคโนโลยีทันสมัย ทั้งห้องน้ำแสนสะอาด มีน้ำร้อน น้ำเย็น กันเลยทีเดียว
==================
16. Ha Long Bay
เวียดนาม
ฮาลองเบย์ มหัศจรรย์แห่งอ่าวมังกรตกน้ำ 1 ใน 10 อันดับ สุดยอดสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตในอาเซียน ตามนิทานปรัมปราของชาวเวียดนาม ที่กล่าวถึงมังกรโบราณซึ่งเคยร่อนมาลงในอ่าวนี้เมื่อครั้งดึกดำบรรพ์ และชื่อของฮาลอง ก็แปลได้ว่า มังกรร่อนลง
จากความสวยงามและสมบูรณ์ของอ่าวฮาลอง ทำให้ที่นี่ประกาศได้เป็น มรดกโลก ทางธรรมชาติ จากองค์กรยูเนสโก ในปี พ.ศ. 2537 เสน่ห์ของที่นี่คือ เกาะหินปูนเกือบ 2,000 เกาะ ซึ่งมีถ้ำมากมายรอให้เราไปชม แถมที่นี่ยังมีอ่าวที่เหมาะแก่การพายเรือคายัคอีกด้วย
อ่านรีวิวเพิ่มเติมได้ที่ 5 ที่เที่ยว เวียดนาม ความงามแห่งอาเซียน
==================
17. Fingal’s Cave
ประเทศสก็อตแลนด์
แม้ว่า ถ้ำฟิงกอล ที่ประเทศสก็อตแลนด์ นี้มันอาจจะดูเหมือนเป็นโครงสร้างบล็อกๆ ที่มนุษย์สร้างขึ้น แต่ความจริงแล้วเสาหินหกเหลี่ยมนี้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติจำนวนมาก ด้วยสภาพถ้ำที่เป็นโพรงแนวยาว ทำให้ภายในถ้ำเกิดเป็นเสียงสะท้อน คล้ายเสียงดนตรีได้ด้วย บางทีคนก็เรียกถ้ำนี้ว่า “Cave of melody”
===================
18. St. Lucia
ประเทศเซนต์ลูเซีย
St. Lucia เป็นประเทศที่เป็นเกาะ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของทะเลแคริบเบียน มีลักษณะเป็นเกาะภูเขาไฟ และเป็นส่วนหนึ่งของหมู่เกาะเลสเซอร์แอนทิลลีส (Lesser Antilles) ที่นี่มีภูมิประเทศที่สวยงาม น้ำทะเลใสราวกับกระจก
===================
19. Venice
ประเทศอิตาลี
ในบรรดาเมืองท่องเที่ยวของอิตาลี เมืองเวนิส ดูจะเป็นเมืองที่มีเอกลักษณ์เฉพาะที่แตกต่างจากทุกเมืองในโลก เป็นเมืองที่ตั้งอยู่กลางทะเลสาบที่สวยงามจนได้ฉายาว่าเป็น “ราชินีแห่งทะเลอาเดรียติก” ( The Queen of the Adriatic) หรือ “เมืองแห่งสายน้ำ” (The City of Water)
ที่มีคลองสำหรับใช้สัญจรแทนถนนมากกว่า 150 สาย และมีเรือกอนโดลา ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์หนึ่งของเวนิส อีกทั้งยังเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยสีสันแห่งศิลปวัฒนธรรม และดนตรียามค่ำคืนที่ผู้คนทั่วโลกรู้จัก และใฝ่ฝันอยากมาเทียวชมสักครั้งในชีวิต
เวนิสเป็นที่รู้จักกันมาช้านานในประวัติศาสตร์ ในฐานะที่เป็นศูนย์กลางการเดินเรือ และการค้าของทวีปยุโรปนับพันปี แต่น่าเสียดาย เพราะนักวิชาการหลายคนกล่าวไว้ว่า เวนิสอาจจะจม และหายไปในที่สุด ที่นี่จึงกลายเป็น ที่เที่ยวต้องไป ก่อนที่จะหายไปจากแผนที่โลก !
อ่านรีวิวเพิ่มเติมได้ที่ 6 ที่เที่ยว เวนิส เมืองในฝัน ชาตินี้ไม่ไป ตายตาไม่หลับ
=================
20. Yellowstone National Park
สหรัฐอเมริกา
เยลโลว์ สโตน เป็นอุทยานแห่งชาติแห่งแรกของอเมริกาและแห่งแรกของโลกด้วย มีพื้นที่ทั้งหมดอยู่บนที่ราบสูงบนเทือกเขาร็อคกี้ มากกว่า 2 ล้านเอเคอร์ อีกทั้งยังมีบ่อน้ำร้อน และน้ำพุร้อนมากกว่า 10,000 แห่ง
ดินแดนแห่งนี้มีอายุมากกว่า 600,000 ปี เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟ ทิ้งร่องรอยของหินละลายที่พุ่งผ่านผิวโลกขึ้นมาเย็นตัว เกิดเป็นภูเขาสูง ที่ราบและหุบเหวที่สวยงาม นอกจากนี้ยังมีสัตว์ป่าที่น่าสนใจมากมาย
อ่านรีวิวเพิ่มเติมได้ที่ 20 ที่เที่ยว อเมริกา สวยขั้นเทพ
==================
21. Zion National Park
สหรัฐอเมริกา
Zion National Park อุทยานแห่งชาติที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่น่ามาเยือน และมีชื่อเสียงมากแห่งหนึ่งของรัฐยูทาห์ สภาพภูมิประเทศส่วนใหญ่มีลักษณะเป็นภูมิทัศน์ทะเลทราย ประกอบไปด้วยภูเขา หน้าผาหินทราย หุบเขาลึก ที่ล้อมรอบไปด้วยทะเลทรายกันกว้างใหญ่ เป็นจุดหลายปลายทางยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบการเดินป่าและปีนเขา
==================
22. Great Blue Hole
ประเทศเบลิส
หลุมยักษ์น้ำเงินครามแห่งเบลิซ ประเทศนี้อยู่บนฝั่งตะวันออกของอเมริกากลาง ริมทะเลแคริบเบียน หลุมนี้อยู่ห่างจากชายฝั่งเบลิซประมาณ 60 ไมล์ เส้นผ่าศูนย์กลาง 984 ฟุต กับความลึกประมาณ 410 ฟุต เชื่อกันว่าหลุมนี้เป็นหลุมกลางทะเลที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก สันนิษฐานกันว่ามันก่อตัวขึ้นในยุคน้ำแข็ง แถมหลุมนี้ยังเป็น 1 ใน 7 หลุมที่นักประดาน้ำจัดอันดับสถานที่น่าดำน้ำที่สุดในโลกอีกด้วย
==================
23. Horsetail Falls, Yosemite National Park
สหรัฐอเมริกา
น้ำตกเพลิง Firefall หรือ น้ำตก Horsetail Falls ณ อุทยานแห่งชาติ Yosemite สหรัฐอเมริกา เป็นน้ำตกที่สวยที่สุดในทวีปอเมริกาเหนือ และเป็นความงดงามอันแสนจะหาดูได้ยาก เพราะจะปรากฏให้เห็นเพียงปีละครั้ง กลางเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี ซึ่งเป็นช่วงที่แสงอาทิตย์ตกกระทบ สาดส่อง น้ำตก พอเหมาะพอดี เกิดเป็นสายลาวา ลู่ลงเบื้อล่างเหมือนหางม้าอันงดงาม
==================
24. Shirakawa-go
ประเทศญี่ปุ่น
หมู่บ้านชิราคาวาโกะ ตั้งอยู่ในเมืองกิฟุและโทยามะ เป็นหมู่บ้านที่มีชื่อเสียงได้รับการคัดเลือกให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก โดดเด่นด้วยอาคารแบบดั้งเดิมที่เรียกว่า Gassho-zukuri สร้างด้วยวัสดุธรรมชาติ ไม่ใช้ตะปูแม้แต่ตัวเดียว มีความเก่าแก่กว่า 300 ปี เป็นหมู่บ้านที่มีความงดงามมากโดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาวที่หิมะตกโปรยปราย
อ่านรีวิวเพิ่มเติมได้ที่ ชิราคาวาโกะ เมืองมรดกโลก ที่ญี่ปุ่น หมู่บ้านนินจา
===================
25. Panjin Red Beach
ประเทศจีน
Panjin Red Beach ในเมืองเหลียวหนิง ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีน จะเปลี่ยนเป็นสีแดเข้มทุกครั้งเมื่อถึงฤดูใบไม้ร่วง อีกทั้งยังเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำขนาดใหญ่ที่สุดที่ได้รับการอนุรักษ์จากรัฐบาลจีน ที่นี่ยังเป็นที่อยู่อาศัยของนกกว่า 260 สายพันธุ์ รวมถึงนกกระเรียนแดงที่เป็นสัตว์เสี่ยงสูญพันธุ์และสัตว์ป่าอีกราว 400 ชนิด
==================
26. Sea Cliffs, Etretat
ประเทศฝรั่งเศส
หน้าผาและเสาหินโค้งธรรมชาติ (The Cliffs at Etretat) จุดท่องเที่ยวแห่งนี้ได้กลายเป็นสถานที่ดึงดูดเหล่านักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีชายหาดที่ขนานไปกับแนวยาวของชายฝั่ง ซึ่งมีความสวยงามมากแห่งหนึ่งอีกด้วย
===================
27. Beachy Head
ประเทศอังกฤษ
หน้าผาชอล์กริมทะเลที่สูงที่สุดในสหราชอาณาจักร และอังกฤษ นอกจากที่นี่จะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่น่าสนใจแล้ว ยังเป็นภูมิประเทศที่เหมาะสำหรับเล่นกีฬาประเภทเอ็กซ์ทรีม อย่างเช่น กระโดดร่ม เป็นต้น
===================
28. Cristo Redentor Statue
ประเทศบราซิล
“สายตาของพระคริสต์ที่จับตามองลงมายังเมืองช่วยทำให้เมืองนี้ผาสุกเพียงใด ?” Cristo Redentor statue รูปปั้นพระเยซู ตั้งตระหง่านอยู่บนยอดเขา Corcovado ซึ่งสูงประมาณ 2,300 ฟุตจากเมืองริโอ เดอจาเนโร เป็นสิ่งที่ทุกคนอยากจะไปเห็นสักครั้งถึงความยิ่งใหญ่ และมุมมองที่พระคริสต์เห็นเมืองนี้อยู่ทุกๆ วัน นอกจากนั้น ที่นี่ยังเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ อีกด้วย
อ่านรีวิวเพิ่มเติมได้ที่ เที่ยวบราซิล ตะลุย 10 ที่เที่ยว ริโอ เดอ จาเนโร
==================
29. Shifen Waterfall
ประเทศไต้หวัน
น้ำตกที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของไต้หวัน อยู่ในย่านผิงซี (Pingxi District) เมืองนิวไทเป (New Taipei City) แม้น้ำตกซือเฟิ่นจะมีขนาดที่ไม่ใหญ่มากนักด้วยความสูง 20 เมตร กว้าง 40 เมตร แต่ก็สร้างความประทับใจให้แก่ผู้เข้าชม จนได้รับการขนานนามว่า “ไนแองการ่าแห่งไต้หวัน” (Taiwan’s Niagara Falls)
===================
30. The Alhambra
ประเทศสเปน
The Alhambra ไม่ได้เป็นเพียงสมบัติทางสถาปัตยกรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของสเปน แต่ยังเป็นหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของโลก พระราชวังที่สวยงามแกะสลักโดยช่างฝีมือประณีต ความสวยงามและยิ่งใหญ่นี้ ต้องได้ไปสัมผัสสักครั้ง
====================
31.Galapagos Islands
ประเทศเอกวาดอร์
หมู่เกาะกาลาปากอส เป็นหมู่เกาะกลางมหาสมุทรแปซิฟิก มีความน่าสนใจทั้งด้านธรณีวิทยา สัตววิทยา และนิเวศวิทยาเป็นอย่างยิ่ง ความพิเศษของที่แห่งนี้ คือ เป็นที่อาศัยอยู่ของสัตว์ท้องถิ่นที่มีลักษณะแปลกๆ มากมาย และ 75% ของสัตว์ทั้งหมดนี้สามารถพบได้ที่นี่ที่เดียวในโลก ประประเทศเอกวาดอร์ เทศเอกวาดอร์
=================
32. Wat Pho
ประเทศไทย
ใกล้กับพระบรมมหาราชวัง ในกรุงเทพฯ ยังมีวัดโพธิ์ท่าเตียน พระนอนองค์ใหญ่ ที่สร้างความประทับใจให้นักท่องเที่ยวจากปากต่อปาก ที่นี่เป็นวัดเก่าที่มีความสวยงาม ถูกบูรณะโดยรัชกาลที่ 3 เรียกได้ว่า ใครมาถึงกรุงเทพฯ ล่ะก็ ต้องแวะมาไหว้พระนอนที่นี่สักครั้ง
================
33. Dunnottar Castle
ประเทศสก็อตแลนด์
Dunnottar Castle ตั้งอยู่ที่ประเทศสก็อตแลนด์ เป็นปราสาทบนเนินผา ริมทะเล เคยเป็นที่พำนักของราชวงศ์ของ Earls Marischal แห่งสก็อตแลนด์ค่ะ ครั้งหนึ่งเคยเป็นราชวงศ์ที่มีอำนาจสูงสุดในดินแดนนั้น และแถมยังเป็นราชวงศ์ที่มีอำนาจในการควบคุมกิจกรรมที่เป็นพิธีการต่างๆ รวมถึงพิธีราชาภิเษกอีกด้วย เคยถูกใช้เป็นป้อมปราการ ตั้งแต่ศตวรรษที่ 15
=================
34. Coastal Potholes
มีกระจายอยู่ทั่วโลก
หมายถึงหลุมที่เกิดบริเวณพื้นท้องน้ำ บริเวณน้ำตก และบริเวณที่ทางน้ำไหลเชี่ยว เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่สวยงามทางธรณีวิทยาที่พบเห็นได้ทั่วไป
================
35. Nottingham Castle
ประเทศอังกฤษ
Nottingham Castle คือ พระราชวังที่สร้างขึ้นในยุคศตวรรษที่ 17ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นที่ตั้งป้อมปราการของราชวงศ์ประเทศอังกฤษ แต่สิ่งปลูกสร้างเกือบทั้งหมดได้ถูกทำลายลงระหว่างช่วงสงครามกลางเมืองอังกฤษเมื่อยุคศตวรรษที่ 17
=================
36. Zhangjiajie
ประเทศจีน
เมืองลอยฟ้า สวยแต่เสียว! มรดกโลกจางเจียเจี้ย ภูเขาลอยฟ้าที่นี่เป็นสถานที่ถ่ายทำหนังชื่อดังอย่าง “อวตาร” ถ้าได้มาเที่ยวต้องไม่พลาดขึ้นกระเช้าลอยฟ้ายาวที่สุดในโลก แล้วไปเดินทางเดินกระจกริมผาที่มีความสูงถึง 1,433 เมตร ที่นี่ยังเป็น 1 ใน 10 สุดยอดสถานที่ท่องเที่ยวในประเทศจีน ที่ต้องไปพิชิตให้ได้อีกด้วย
=================
37. Moraine Lake
ประเทศแคนาดา
ทะเลสาบสีฟ้าสวยแห่งนี้ชื่อว่า Moraine Lake ประเทศแคนาดา เป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติแบมฟ์ (Banff National Park) ในหุบเขา the Valley of the Ten Peaks น้ำสีฟ้าสวยนี้เกิดจากการหักเหของแสงและธารน้ำแข็ง ซึ่งน้ำของทะเลสาบจะสีสวยแบบนี้สุดๆในช่วงปลายเดือนมิถุนายน
==================
38. Atlantic Ocean Road
ประเทศนอร์เวย์
Atlantic Ocean Road มีความยาวทั้งสิ้น 8.3 กิโลเมตรในประเทศนอร์เวย์ สร้างทอดยาวไปตามเกาะแก่งต่างๆ ในทะเล เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่สวยงาม แต่ก็หวาดเสียวมากๆ อีกด้วย
=================
39. Kinkaku-ji Temple
ประเทศญี่ปุ่น
ใครที่เป็นสาวกการ์ตูนญี่ปุ่นชื่อดัง เรื่องอิ๊กคิวซัง จะต้องรู้จักวัดนี้เป็นอย่างดี วัดนี้ยังมีอีกชื่อหนึ่งว่า วัดทอง จุดเด่นของวัดอยู่ที่บริเวณ ปราสาทคินคาคุจิ เป็็นปราสาทที่งดงามราวกับภาพวาด
=================
40. Prague
สาธารณรัฐเช็ก
โคมไฟที่ถนนบวกสถาปัตยกรรมที่งดงามภายใต้หิมะโปรยปรายทำให้ปรากเหมือนเมืองในเทพนิยาย ความสวยของปรากภายใต้แผ่นหิมะหนาๆ ที่ทำให้ละสายตาไปไม่ได้คือ เมืองเก่าพร้อมสถาปัตยกรรม ป้อมปราการและห้องใต้ดินสมัยโรมัน
================
41. Great Barrier Reef
ประเทศออสเตรเลีย
สวรรค์ของนักประดาน้ำ แนวปะการังที่ใหญ่ที่สุดในโลกนี้ อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศออสเตรเลีย ประกอบไปด้วยปะการังกว่า 400 สปีชี่ส์ สวรรค์ใต้ทะเลแห่งนี้เป็นที่อยู่ของปลาโลมา สัตว์เลื้อยคลาน พันธุ์ปลาเขตร้อน และสิ่งมีชีวิตทางทะเลนับไม่ถ้วน นอกจากใต้ทะเลแล้ว ยังมีเกาะที่งดงามด้วยหาดทรายขาว และโขดหิน ซึ่งเป็นบ้านของสัตว์ป่า และนกว่าหลายร้อยชนิด
==================
42. Jigokudani Monkey Park
ประเทศญี่ปุ่น
หลายคนมาออนเซ็นในช่วงฤดูใบไม้ผลิ และฤดูหนาว แต่ที่นี่พวกเขาหวังมากกว่านั้น !! ที่มากกว่าที่อื่นก็คือ การมาดูลิงแช่น้ำร้อนที่ออนซ็นนั่นเอง ลิงกว่า 200 ตังที่อาศัยอยู่บนภูเขาจะลงมาแช่น้ำร้อน เพราะเวลาหนึ่งในสามของแต่ละปีจะถูกปกคลุมด้วยหิมะ นักท่องเที่ยวก็จะนิยมมาแช่ออนเซ็นกับลิง ได้บรรยากาศเหมือนมาดาวเคราะห์ของลิงเลยทีเดียว
================
43. Chichen Itza
ประเทศเม็กซิโก
ชีเชนอิตซา เป็นภาษามายา แปลว่า ต้นทางแห่งความสุขสบายของประชาชน ตั้งอยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศเม็กซิโก เป็นแหล่งโบราณคดีที่สร้างขึ้นโดยชาวมายันซึ่งสร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์ของเทพเจ้า ที่นี่เป็นสิ่งก่อสร้างที่มีชื่อเสียงที่สุดของอาณาจักรมายา ถูกสร้างขึ้นในช่วงที่อารยธรรมเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด ทำให้ ชีเชนอิตซา จึงเป็นสิ่งก่อสร้างที่แสดงออกถึงภูมิปัญญาทั้งหมดของชาวมายันทั้งด้านสถาปัตยกรรม วิศวกรรม ศิลปกรรม ดาราศาสตร์ ปฏิทิน เป็นต้น
==================
44. Dead Sea
ประเทศจอร์แดน และอิสราเอล
ทะเลที่แสนมหัศจรรย์ใจของโลก คนที่ไปเล่นน้ำในทะเลแห่งนี้จะไม่มีวันจมแม้ว่าเราจะอ้วนขนาดไหน นั่นเป็นเพราะทะเลสาบแห่งนี้ที่มีความเค็มมากกว่าทะเลทั่วไปถึง 10 เท่า จนคนสามารถลอยบนผิวน้ำได้
ระดับน้ำอยู่ต่ำที่สุดในบรรดาทะเลทั้งหลาย คือต่ำกว่าระดับน้ำทะเลปานกลางลงไปอีกประมาณ 400 เมตรทีเดียว แต่ด้วยสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง ปริมาณฝน และการไหลเวียนของน้ำ ทำให้น้ำจากแม่น้ำจอร์แดนซึ่งเป็นแหล่งน้ำหลักแหล่งเดียวที่ให้น้ำแก่ที่นี่ลดปริมาณลง ส่งผลให้ในช่วงสี่สิบปีที่ผ่านมาทะเลสาบแห่งนี้มีความกว้างลดลงกว่าเดิมถึง 1 ใน 3 และยังมีระดับน้ำต่ำลงอีกกว่า 2.40 เมตร และคาดว่าขนาดของน้ำจะลดลงเรื่องจนอีก 50 ปีข้างหน้าก็จะกลายเป็นเพียงที่โล้งกว้าง
==================
45. Sea Cave
ประเทศมอลตา
เป็นถ้ำที่พบตามบริเวณชายฝั่งทะเล หรือชายฝั่งของเกาะต่างๆ โดยการเกิดถ้ำชนิดนี้จะเกี่ยวข้องกับการกัดเซาะของคลื่นที่หน้าผาชายฝั่งเป็นเวลานานติดต่อกัน จนทำเกิดเป็นช่องหรือโพรงเข้าไป ในช่วงแรกอาจเป็นโพรงขนาดเล็ก (grotto) แต่เมื่อได้รับอิทธิพลจากน้ำฝนและน้ำใต้ดินมาช่วยก็กลายเป็นโพรงขนาดใหญ่
=================
46. Athabasca Falls
ประเทศแคนาดา
ภายในอุทยานแห่งชาติแจสเปอร์ มีอยู่ในทะเลสาบลึกลับอยู่นั่นก็คือ ทะเลสาบเมดิซีนแห่งนี้ ทุกฤดูหนาวน้ำจะหายไปเหมือนที่นี่ไม่เคยมีน้ำมาก่อน เกือบเหมือนอ่างอาบน้ำที่ปล่อยน้ำออกได้อย่างน่าอัศจรรย์
ความจริงของสิ่งลึกลับนี้ได้ถูกเปิดเผยออกมาแล้วว่า ทะเลสาบเมดิซีน ไม่ได้เป็นทะเลสาบจริงๆ แต่เป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่รับน้ำ “มาลีน วัลเลย์ (Maligne Valley)” ซึ่งในช่วงฤดูร้อนของทุกปีธารน้ำแข็งที่ปกคลุมบนภูเขาในแถบนี้จะละลายลงสู่แม่น้ำมาลีน โดยน้ำจากธารน้ำแข็งส่วนหนึ่งจะมารวมกันอยู่ที่นี่จนกลายเป็นทะเลสาบสวยงามในฤดูร้อนนั่นเอง
==================
47. Cathedral Cove
ประเทศนิวซีแลนด์
Cathedral Cove ตั้งอยู่บริเวณเกาะเหนือ ประเทศนิวซีแลนด์ บริเวณอ่าวแห่งนี้มีซุ้มประตูหินขนาดใหญ่ และแท่งหินขนาดใหญ่ที่เกิดจากการกัดเซาะของน้ำทะเล ถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมอีกที่หนึ่งในประเทศนิวซีแลนด์ นักท่องเที่ยวที่เดินทางมานิยมดำน้ำตื้นดูปะการัง และพายเรือคายักชมความงดงาม
==================
48. Antelope Canyon
แอริโซน่า สหรัฐอเมริกา
หุบเขาแอนทีโลพ เป็น 1 ในสถานที่ยอดนิยม สำหรับนักท่องเที่ยว อยู่ที่เมืองเพจ รัฐอริโซน่า ประเทศสหรัฐอเมริกา ด้วยภูมิประเทศที่เป็นร่องหินทรายที่ถูกน้ำกัดเซาะและได้ทิ้งร่องรอยการกัดเซาะที่คล้ายกลับหินผา
เกิดจากการพังทลายของชั้นหิน Navajo Sandstone ซึ่งถูกกัดเซาะอย่างฉับพลันจากกระแสน้ำที่ซัดผ่าน ผสานความแรงจากกระแสลม พายุฝน ผ่านฤดูกาลต่างๆ ที่นี่กลายเป็น หุบเขาที่อันตรายที่สุด เนื่องจากบริเวณนั้นอาจเกิดน้ำท่วมฉับพลันได้ตลอดเวลา และระดับน้ำสามารถสูงถึง 10 เมตรทีเดียว
อีกทั้งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวซึ่งดึงดูดใจช่างภาพทั่วโลก เพราะสีสันจากธรรมชาติซึ่งเกิดจากการตกกระทบของแสงอาทิตย์ที่สาดส่องผ่านช่องแคบ สะท้อนกับสีของชั้นหิน Navajo Sandstone เกิดเป็นความสวยงามสุดประทับใจแก่ทุกสายตา
==================
49. Mt. Kilimanjaro
ประเทศแทนซาเนีย และเคนยา
จุดสูงสุด หลังคาแอฟริกา ยอดเขาคิลิมันจาโร เป็นภูเขาไฟยอดเดี่ยวที่สูงที่สุดในโลก และเป็นยอดเขาที่สุดที่สุดในทวีปแอฟริกาอีกด้วย มีความสูงกว่า 5,895 เมตร ตรงบริเวณยอดเขามียอดเขาด้วยกัน 5 ยอด
ที่นี่เป็นภูเขาไฟที่ดับแล้ว บริเวณยอดเขามีธารน้ำแข็งขนาดใหญ่ยาวกว่า 4,500 เมตร เป็นธารน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดในทวีปแอฟริกาเลยก็ว่าได้ ที่ลาดเขาช่วงล่างเป็นที่อยู่ของสัตว์ป่าหลากหลายชนิดเช่น ช้าง แรด ควาย และแอนทิโลป ที่ระดับความสูง 3,500 เมตรขึ้นไปจะพบพรรณพืชแบบทุ่งมัวร์มีมอสส์ขึ้นอยู่เป็นส่วนใหญ่ ถัดขึ้นไปเป็นพรรณพืชแบบป่าสน บนยอดเขาเป็นที่ว่างเปล่าเต็มไปด้วยหิมะ ช่างขัดแย้งกลับด้านล่างอย่างสิ้นเชิง
==============
50. Taj Mahal
ประเทศอินเดีย
ทัชมาฮาล ตั้งอยู่ในเมืองอัครา ริมฝั่งแม่น้ำยมุนา ประเทศอินเดีย เป็นสุสานหินอ่อนที่ผู้คนเชื่อว่าเป็นสถาปัตยกรรมแห่งความรักที่สวยที่สุดในโลก สร้างขึ้นโดยสมเด็จพระจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิโมกุลให้กับพระมเหสีของพระองค์
นับว่าเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลาง ภายในอาคารทัชมาฮาล ตรงกลางมีหีบพระศพจำลองของพระนางมุมตาสกับหีบพระศพของพระเจ้าชาห์ชาฮันวางคู่กัน (หีบพระศพจริงอยู่ในห้องลึกลงไปด้านล่างประมาณ 10 เมตร)
อ่านรีวิวเพิ่มเติมได้ที่ ทัชมาฮาล รักเหนือกาลเวลา ที่อินเดีย สุดโรแมนติก
===============
51. Capilla de Marmol
ปาตาโกเนีย ประเทศอาร์เจนตินา และชิลี
ถ้ำหินอ่อนนี้อยู่ในเขตพื้นที่ของทะเลสาบการ์เรรา (General Carrera) ทะเลสาบขนาดใหญ่ในเขตภูมิภาคปาตาโกเนีย (Patagonia) ภูมิภาคที่ตั้งอยู่ปลายใต้สุดของทวีปอเมริกาใต้ โดยทะเลสาบนั้นระหว่างชายแดนของอาร์เจนตินา และชิลี เป็นถ้ำที่เกิดจากกระแสน้ำได้กัดเซาะเป็นระยะเวลานับล้านปี จนภูเขาหินอ่อนเกิดเป็นถ้ำหินอ่อนอันงดงามไม่เหมือนถ้ำแห่งใดในโลก
================
52. Garden of the Gods
โคโลราโด สหรัฐอเมริกา
ภูมิประเทศที่เต็มไปด้วยโขดหินของรัฐทางตะวันตกของสหรัฐอเมริกาเป็นเอกลักษณ์สำคัญของดินแดนที่ได้ชื่อว่า Wild West สวน Garden of the Gods มีหินสีแดงรูปร่างประหลาด กินพื้นที่ถึง 1,367 และเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางสุดโปรดของบรรดานักปีนเขา นักปั่นจักรยานเสือภูเขา และผู้ชื่นชอบกิจกรรมกลางแจ้ง
==================
53. Tower of London
ประเทศอังกฤษ
พระราชวังหลวง และป้อมปราการ ซึ่งตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำเทมส์ของกรุงลอนดอนในประเทศอังกฤษ เมืองผู้ดีที่เก่าแก่ ที่นี่เป็นพระราชวังที่เดิมสร้างโดยพระเจ้าวิลเลียมที่ 1 แห่งอังกฤษ เมื่อปี ค.ศ. 1078 และขึ้นชื่อว่าเป็นสถานที่ที่ผีดุที่สุดอีกแห่งหนึ่งของโลก
ถ้าเคยได้ไปสัมผัสจะรู้สึกว่าเป็นปราสาทที่สวยงาม แต่มีบรรยากาศบางอย่างอึมครึมอย่างบอกไม่ถูก หอคอยเคยใช้เป็นป้อมที่ขังนักโทษที่มียศศักดิ์สูง และยังเป็นสถานที่สำหรับประหารชีวิต และทรมานนักโทษอีกด้วย เสียงโอดครวญบางทียังมีเล็ดลอดออกมาในตอนกลางคืนให้ได้ยินกันบ่อยครั้ง
==================
54. Acropolis
ประเทศกรีซ
อะโครโพลิส คือ ป้อมปราการที่อยู่บนเทือกเขาสูง ซึ่งมีอยู่หลายจุดในประเทศกรีซ อะโครโพลิสที่มีชื่อเสียงที่สุดคือ อะโครโพลิสแห่งเอเธนส์
ที่นี่ถือได้ว่า เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ชิ้นสำคัญของโลกเลยก็ว่าได้ เป็น อารยธรรมโบราณ ซึ่งสถานที่ที่ยังมีสิ่งก่อสร้างซึ่งแสดงให้เห็นถึงความรุ่งเรือง และความรู้ความสามารถของคนในยุคก่อน ความท้าทายในการเที่ยวชมที่นี่เป็นสิ่งที่นักท่องเที่ยวหลายคนถวิลหา เพราะจะต้องเลาะไปตามทางเดินที่อยู่ตรงแนวเนินเขาที่ทั้งสูง และชัน
=================
55. Bagan
ประเทศเมียนมาร์
พุกามเป็นเมืองโบราณที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของเมียนมาร์ เป็นเมืองเก่าแก่ตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 11 ที่ยังคงความศักดิ์สิทธิ์ของพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะความยิ่งใหญ่ของทุ่งทะเลเจดีย์ จนได้รับสมญานามว่าเป็นเมืองแห่งเจดีย์สี่พันองค์
ในสมัยรุ่งเรืองเคยมีเจดีย์มากมายถึง 4,446 องค์ ปัจจุบันเหลือแค่เพียง 2,217 องค์ เจดีย์แห่งแรกของพุกามคือ เจดีย์ชเวสิกอง สร้างโดยพระเจ้าอโนรธามังช่อ ปฐมกษัตริย์แห่งอาณาจักรพุกาม ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ที่บ่งบอกถึงความรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนาในประเทศเมียนมาร์
================
56. Bali
ประเทศอินโดนีเซีย
เกาะบาหลี เป็นเกาะในประเทศอินโดนีเซีย มีเอกลักษณ์ของตนเองเป็นอย่างมาก มีความงดงามตามธรรมชาติ รวมถึงรักษาวิถีชีวิตและความเชื่อในแบบดั่งเดิมไว้ไม่เสื่อมคลาย จึงไม่แปลกใจที่จะกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม
อ่านรีวิวเพิ่มเติมได้ที่ บาหลี กับ 8 สถานที่เที่ยว ที่ห้ามพลาด อินโดนีเซีย
================
57. Hampi
ประเทศอินเดีย
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเมื่อพูดถึงอินเดีย ใครๆ จะต้องนึกถึง ทัชมาฮาล ที่มีชื่อเสียงที่สุดมรดกโลก แต่นักท่องเที่ยวไม่กี่คนเท่านั้นที่จะรู้จัก ฮัมปิ เมืองที่เคยเป็นอาณาเขตของอาณาจักรวิจายานะกา หรือ วิชัยนคร และยังเป็นเมืองหลวงสุดท้ายของอาณาจักรฮินดู แน่นอนว่าที่นี่เต็มไปด้วยวัด และพระราชวังวังที่สร้างด้วยศิลปะแบบดราวิเดียน
=================
58. Pig Beach
ประเทศบาฮามาส
หาดหมู (Pig Beach) หรือที่รู้จักกันในชื่อว่า เกาะหมู (Pig Island) หรือ เมเจอร์ เคย์ (Major Cay) แห่งนี้ เป็นเกาะเล็กๆ ที่เกิดขึ้นบนพื้นผิวของแนวปะการังในเขตเอ็กซูมาของประเทศบาฮามาส เป็นเกาะที่ไร้ผู้อยู่อาศัย ไม่มีบ้านเรือน รีสอร์ทใดๆ มีแต่เจ้าหมูอ้วนๆ นั่งๆ นอนๆ อาบแดดบ้าง เล่นน้ำทะเลบ้าง อย่างเพลิดเพลิน
อ่านรีวิวเพิ่มเติมได้ที่ มา Bahams ที่ เกาะหมู ว่ายน้ำกับ หมูทะเล ที่นี่หมูครองโลก
=================
59. Faroe Islands
ประเทศเดนมาร์ก
Faroe Islands เป็นประเทศในกลุ่มเกาะจำนวน 18 เกาะ ในมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวติดอันดับในเรื่องของความงดงาม ในแต่ละเกาะมีทั้งหุบเขา หน้าผาสูงชันทั้งที่ดิ่งลงทะเล และลาดเอียงเป็นแนวเนินที่สวยงามอย่างยิ่ง
===============
60. Church Of The Savior On Blood
ประเทศรัสเซีย
โบสถ์แห่งหยดเลือด ที่รัสเซีย สถานที่ท่องเที่ยวที่โดดเด่นที่สุดในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจาก ที่นี่ การประดับประดาตกแต่ง มีเพดาน กำแพงหลากหลายสีสัน และโดมทรงหัวหอม จึงไม่น่าแปลกใจที่นักท่องเที่ยวจะเลือกที่นี่เป็นจุดหมายในการเดินทาง
=================
61. หลวงพระบาง
ประเทศลาว
หลวงพระบาง อีกหนึ่งเมืองมรดกโลก ที่น่าเที่ยวมากๆ ของประเทศลาว แม้จะเป็นเมืองเล็กๆ แต่ก็เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ บรรยากาศที่เงียบสงบเหมาะกับการมาเดินเที่ยวชิลชมเมือง ชมศิลปวัฒนธรรม และธรรมชาติที่งดงาม วัดวาอาราม แม่น้ำโขง และกลิ่นอายของประวัติศาสตร์
อ่านรีวิวเพิ่มเติมได้ที่ 10 ที่เที่ยว หลวงพระบาง เมืองมรดกโลก
=================
62. Tiger’s Nest Monastery
ประเทศภูฏาน
วัดทักซัง หรือ วัดถ้ำเสือ เป็นวัดที่โด่งดังที่สุดในภูฏาน ตั้งอยู่บนขอบของหน้าผาที่สูง 3,000 ฟุตจากระดับน้ำทะเลเหนือหุบเขาพาโร ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นด้วยพลังศรัทธาอย่างแรงกล้าในพระพุทธศาสนา และการเดินทางไปที่แห่งนี้นอกจากความเพียรแล้วต้องมีศรัทธาอันแรงกล้า และความแข็งแกร่งของแรงขาทั้งสองข้างในการเดินขึ้นเขาที่สูงชันท่ามกลางอากาศที่บางเบา
อ่านรีวิวเพิ่มเติมได้ที่ ทักซัง เมืองพาโร พลังแห่งศรัทธาบนยอดภูผากว่า 3,000 เมตร
=================
63. Socotra Island
ประเทศเยเมน
Socotra หนึ่งในสถานที่ที่ห่างไกลที่สุดในโลก อยู่ในทะเลอาระเบียประมาณ 150 ไมล์ของแอฟริกา เกาะเป็นที่รู้จักของชาวอียิปต์โบราณ และมาร์โคโปโลก็เป็นผู้เขียนเรื่องราวเกี่ยวกับที่นี่ อย่างไรก็ตามที่นี่ยังคงสภาพเดิมอยู่ และมีประชากรเพียง 80,000 คน อีกทั้งยังไม่มีถนนลาดยางจนกระทั่งถึงปี 2007
นอกจากถ้ำ เกาะที่แปลกประหลาด และน้ำทะเลที่สวยงามแล้ว ความแห้งแล้งบนเกาะยังทำให้เกิดพืชพันธุ์ที่มีรูปทรงคล้ายมาจากต่างดาว มีงานวิจัยแสดงให้เห็นว่าประมาณ 33% ของพืชเหล่านี้ไม่สามารถพบได้ที่ใดในโลก และหนึ่งในสิ่งที่แปลกประหลาดที่สุด นับว่าเป็นสัญลักษณ์ของเกาะ Socrota ก็คือต้น Dragon Blood ที่มีรูปทรงเป็นร่มนั่นเอง
อ่านรีวิวเพิ่มเติมได้ที่ โซโคตร้า ต้นไม้ยักษ์ล้านปีเหมือนต่างดาว
=================
64. Hobbiton
ประเทศนิวซีแลนด์
เมื่อพูดถึง Lord of the Rings คุณจะไม่พูดถึงฮ็อบบิทเป็นไปไม่ได้เลย Matamata เมืองเล็กๆ ในนิวซีแลนด์เป็นโลเคชั่นสำหรับ Lord of the Rings ทั้ง 3 ภาค และทางรัฐบาลนิวซีแลนด์ได้ตัดสินใจให้หมู่บ้านฮ็อบบิทแห่งนี้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวอย่างเป็นทางการ
=================
65. Ladakh
ประเทศอินเดีย
ลาดัคห์ (Ladakh) เมืองพระพุทธศาสนาเก่าแก่เพียงแห่งเดียวที่เหลืออยู่ในอินเดีย ตั้งอยู่ในแคว้น Jamu & Kashmir หรือ แคชเมียร์ตะวันออก ถึงแม้ Ladakh จะอยู่ในประเทศอินเดียแต่อุปนิสัยของผู้คนที่นั่นช่างแตกต่างกับคนอินเดียอย่างสิ้นเชิง ลาดัคห์มีความเหมือนกับ ฑิเบต จนได้ฉายาว่า ฑิเบตน้อย ทั้งรูปแบบการสร้างบ้านเรือน เจดีย์ วัดวาอารามเหมือนกับย่อฑิเบตมาไว้ที่นี่ เมืองในหุบเขาที่ล้อมรอบด้วยเทือกเขาสูงที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ
อ่านรีวิวเพิ่มเติมได้ที่ เลห์ ลาดักห์ สวรรค์บนดิน เส้นทางเที่ยวสวยบาดใจ บนเทือกเขาหิมาลัย
=================
66. Cano Crystales
ประเทศโคลัมเบีย
ลึกเข้าไปในป่าของโคลัมเบียจะมีแม่น้ำสายเก่าแห่งหนึ่งที่ดูเหมือนแม่น้ำธรรมดาๆ หากแต่ในความเป็นจริงคุณสามารถข้ามแม่น้ำสายนี้ได้หลายร้อยครั้งต่อปี อย่างไรก็ตามถ้าเป็นช่วงฤดูฝนและฤดูแล้งจะเกิดปรากฎการณ์ประหลาดที่ทำให้คุณอาจจะตะลึงจนขากรรไกรค้างได้เลยว่า นี่ไม่ใช่ฝันไปใช่มั้ย นี่มันไม่ใช่ภาพหลอนใช่มั้ย
ปรากฏการณ์แปลกประหลาดนี้เกิดขึ้นโดยสาหร่ายหลากสีสันที่อยู่ด้านล่างของแม่น้ำพากันพลิ้วไสวอย่างสวยงาม ซึ่งเป็นปรากฎการณ์ทางชีวภาพที่ไม่ซ้ำกัน ทำให้ Cano Crystales ถูกขนานนามว่า “แม่น้ำห้าสี”, “แม่น้ำแห่งสรวงสวรรค์” และ “แม่น้ำที่สวยที่สุดในโลก”
=================
67. Jiuzhai Valley National Park
ประเทศจีน
อุทยานแห่งชาติแห่งนี้ต้องทำให้คุณหลงใหลในมนต์เสน่ห์ของทะเลสาบสีเขียวคราม และน้ำตกที่สวยราวภาพวาด หุบเขาจิ่วจ้ายโกว นี้ตั้งอยู่ทางตอนใต้สุดของเทือกเขาหมินซานทางตอนเหนือของมณฑลเสฉวน นอกจากทะเลสาบและน้ำตกที่สวยงามตระการตาแล้ว ที่นี่ยังเป็นบ้านของกล้วยไม้นานาพันธุ์ และสัตว์อนุรักษ์ อย่างหมีแพนด้า อีกด้วย
=================
68. Chichilianne, Rhone Alpes
ประเทศฝรั่งเศส
ภูเขามหึมา Mont Aiguille ที่สูงเกือบ 7,000 ฟุต เป็นหนึ่งในเทือกเขา The French Prealps (Préalpes) ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันตกของเทือกเขาแอลป์ในฝรั่งเศส ตั้งสงบนิ่งเป็นแบ็กกราวด์ให้กับเมืองที่อยู่เบื้องล่าง เป็นวิวที่สุดแสนอลังการ ใครได้อยู่ที่นี่ขอบอกคำเดียวว่า อิจฉาตาร้อนสุดๆ คงจะรู้สึกเหมือนอยู่ในเมืองลับแลอะไรบางอย่างแน่ๆ
=================
69. Tuscany
ประเทศอิตาลี
ทัสคานี เป็นแคว้นหนึ่งของประเทศอิตาลี มีเมืองฟลอเรนซ์เป็นเมืองหลวง ตั้งอยู่ในภาคกลางของอิตาลีและทอดยาวจาก Apennines ไปทะเล Tyrrhenian เมืองนี้มีความสำคัญในทางประวัติศาสตร์ ศิลปกรรม เนื่องจากเป็นที่กำเนิดของยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาหรือยุคเรอเนซองซ์ ทำให้สถาปัตยกรรมของเมืองนั้นสวยงามมากๆ และที่นี่ยังเป็นที่เป็นที่ตั้งของหอเอนเมืองปิซาอันโด่งดัง รวมถึงมีไวน์รสชาติดีอีกด้วย
=================
70. Colosseum
ประเทศอิตาลี
โคลอสเซียม เป็นรูปวงกลมก่อด้วยอิฐ และหินทราย วัดโดยรอบได้ประมาณ 527 เมตร สูง 57 เมตร สามารถจุผู้ชมได้ประมาณ 55,000 คน นอกจากนี้ยังมีการออกแบบอย่างชาญฉลาด โดยสร้างให้สนามกีฬามีลักษณะเป็นรูปวงรี เพื่อให้ผู้ชมรู้สึกเข้าใกล้นักกีฬา และมีการออกแบบทางระบายน้ำเพื่อไม่ให้น้ำท่วมขังในสนามขณะเกิดฝนตกอีกด้วย โคลอสเซียมจึงกลายเป็นต้นแบบของสนามกีฬาต่างๆ ในปัจจุบัน
=================
71. Moai
เกาะอีสเตอร์
รูปปั้นยักษ์แกะสลักเป็นหน้าคน โมอาย (Moai) ที่เรียกได้ว่าเป็นพระเอกตัวจริงของที่นี่ เชื่อกันว่าเป็นผลงานของชาว โพลีนีเซียน (Polynesian) ที่เข้ามาปกครองเกาะนี้ในช่วงปี 1250 จำนวนของรูปปั้นนั้นกระจายอยู่ทั่วทั้งเกาะประมาณ 887 ตัว รวมทั้งตัวที่ยังแกะสลักไม่เสร็จ และเสียหายระหว่างการขนย้ายด้วย บางตัวมีแค่ส่วนหัว บ้างก็มีส่วนลำตัวที่ส่วนใหญ่ถูกฝังอยู่ใต้ดิน ขนาดของตัวโมอายที่ใหญ่ที่สุดนั้นสูงถึง 30 ฟุต (ประมาณ 10 เมตร) น้ำหนัก 82 ตัน
อ่านรีวิวเพิ่มเติมได้ที่ ปริศนา รูปปั้นโมอาย เกาะอีสเตอร์ ความลึกลับที่ซ่อนอยู่ใต้ผืนดิน
=================
72. Xian
ประเทศจีน
ซีอาน เป็นเมืองที่มีอายุเก่าแก่ เกือบสามพันปี เดิมมีชื่อว่า เสียนหยาง (Xianyang) ที่นี่เคยเป็นเมืองหลวงของจีนถึง 13 ราชวงศ์เลยทีเดียวทำให้มีคำกล่าวที่ว่า “ถ้าอยากเห็นปัจจุบันของจีนต้องไปปักกิ่ง ดูอนาคตของจีนต้องไปเซี่ยงไฮ้ และถ้าอยากเห็นอดีตของจีนต้องไปซีอาน” และสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงสุดๆ คงจะหนีไม่พ้น “สุสานจิ๋นซีฮ่องเต้” ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นยิ่งกว่าแลนด์มาร์ค นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวซีอานถ้าไม่ได้แวะมาเที่ยวที่นี่ตราหน้าเลยว่ายังไม่ได้มาถึงซีอาน
อ่านรีวิวเพิ่มเติมได้ที่ สุสานทหารจิ๋นซี ฮ่องเต้ ซีอาน เต็มอิ่ม 1 วัน (มีคลิป)
=================
73. Rajasthan
ประเทศอินเดีย
ไม่น่าแปลกใจเลยทีเดียวที่นครภารตะอย่างอินเดียจะเป็นที่แรกๆ ที่เหล่าช่างภาพจะอยากไปชักภาพเป็นคอลเลคชั่นของตัวเอง โดยเฉพาะ รัฐราชสถาน หรือ Rajasthan ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของอินเดีย และติดกับประเทศปากีสถาน เป็นอีกจุดหมายปลายทางหนึ่งของนักท่องเที่ยวหลายล้านคนเพราะที่นี่เป็นที่ตั้งของนครสีสวยอย่าง ไจย์ปูร์ (เมืองสีชมพู) อีกทั้งยังเปี่ยมไปด้วยสีสันแห่งวิถีชีวิตของผู้คน พระราชวัง ประเพณี เทศกาล และภูมิทัศน์ที่สวยจับใจ
=================
74. Rotorua
ประเทศนิวซีแลนด์
โรโตรัว เมืองท่องเที่ยวยอดนิยมของนิวซีแลนด์ ขึ้นชื่อเรื่องทะเลสาบ และบ่อน้ำร้อน แต่ก็มีที่เที่ยวหลากหลายให้เลือก ทั้งสวนสัตว์ สวนสนุก ฟาร์มสเตย์ และหมู่บ้านชาวเมารี ซึ่งเมืองนี้ยังเป็นแหล่งเข้าถึงชาวเมารี ซึ่งเป็นชนพื้นเมืองเจ้าของแผ่นดินเดิมได้อย่างใกล้ชิดที่สุดในนิวซีแลนด์
=================
75. Kelimutu Volcano
ประเทศอินโดนีเซีย
มหัศจรรย์ธรรมชาติ ทะเลสาบ 3 สี ที่อินโดนีเซีย เป็นทะเลสาบที่อยู่บนปล่องภูเขาไฟเคลิมูตู (Kelimutu Volcano) บนเกาะฟลอเรส (Flores Island) เป็นส่วนหนึ่งของหมู่เกาะซุนดาน้อย (Lesser Sunda Islands) ประเทศอินโดนีเซีย สวยงามขนาดนี้ ที่นี่จึงเป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง และได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวจำนวนมาก
=================
76. Muine
ประเทศเวียดนาม
ทะเลทรายมุยเน่ ประเทศเวียดนาม ทะเลทรายขาว หรือ White Sand Dunes เป็นเนินทรายที่ใหญ่ที่สุดของมุยเน่ มีทะเลสาปขนาบข้าง เป็นอีกแห่งที่อลังการมากๆ
อ่านรีวิวเพิ่มเติมได้ที่ ทะเลทรายมุยเน่ ซาฮาร่าแห่งเวียดนามใต้ ที่เที่ยวถ่ายรูปสวย
=================
77. Islands of the Andaman Sea
ประเทศไทย
ความสนุกอยู่ที่การได้เห็นว่าเกาะจะมีความเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร จากความเปลี่ยนแปลงของเมฆ, แสงแดด บ้างก็เห็นแสงสะท้อนสีเงินระยิบระยับจากชายหาด มีหมู่บ้านเล็กๆที่แสดงถึงวัฒนธรรมและวิถีชีวิตท้องถิ่น เรียกได้ว่า เกาะบนทะเลอันดามันในประเทศไทยนั้น คือ สวรรค์บนดิน จริงๆ
=================
78. Aurora Borealis
ประเทศนอร์เวย์
ปรากฏการณ์ออโรรา ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ที่มีแสงเรืองๆ เป็นแถบสีต่างๆ บนท้องฟ้าในเวลากลางคืน ปรากฏการออโรรานี้มักจะขึ้นในบริเวณแถบขั้วโลก โดยจะเรียกว่า แสงเหนือ ซึ่งจะสามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่าส่วนใหญ่ในประเทศนอร์เวย์ ตั้งแต่เวลา 22.00 น ถึง เที่ยงคืน
อ่านรีวิวเพิ่มเติมได้ที่ ล่าแสงเหนือ ออโรรา ช่วงเวลา และ เมืองที่เกิด
=================
79. Hoi An
ประเทศเวียดนาม
Romas_Photo / Shutterstock.com
ฮอยอัน…ฉันรักเธอ !! เมืองมรดกโลกเล็กๆ ริมฝั่งทะเลจีนใต้ ทางตอนกลางของประเทศเวียดนาม ตั้งอยู่ในเขตจังหวัดกว๋างนาม ซึ่งในอดีตเคยเป็นเมืองท่าที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทีเดียว ทุกวันนี้ ฮอยอันยังคงเป็นเมืองขนาดเล็กเช่นเดิม แต่ก็มีนักท่องเที่ยวเข้ามาเยือนเป็นจำนวนมากค่ะ สิ่งที่น่าสนใจของฮอยอันก็คือผลงานทางศิลปะ และหัตถกรรม คนชอบสะสมของเก่าสามารถหาชมของโบราณได้อย่างหลากหลาย
อ่านรีวิวเพิ่มเติมได้ที่ 1 วันเต็มที่ ฮอยอัน ฉันยิ่งกว่ารักเธอ เมืองมรดกโลก เวียดนาม
=================
80. Crystal Ice Cave
ประเทศไอซ์แลนด์
หากพูดถึงถ้ำน้ำแข็งที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งในโลก ดูเหมือนว่าถ้ำน้ำแข็งที่ไอซ์แลนด์ก็เป็นหนึ่งในนั้น นั่นก็คือถ้ำน้ำแข็งที่เมืองสตัฟทาเฟล (Skaftafell) รับรองว่าถ้าใครได้เห็นต้องตื่นตาตื่นใจแน่นอน จะเป็นถ้ำน้ำแข็งสีฟ้าคราม ผนังของถ้ำใสเหมือนคริสตัล จึงเป็นที่มาทำไมถึงเรียกว่า Crystal Ice Cave การเข้าไปภายในถ้ำต้องอาศัยความปลอดภัยเป็นอย่างมาก ในช่วงฤดูหนาวคือช่วงที่เหมาะแก่การมาชมความงามของถ้ำน้ำแข็งแห่งนี้มากที่สุด
=================
81. Cenote
ประเทศเม็กซิโก
หลุมเหล่านี้เป็นหลุมลึกที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เกิดจากการถล่ม และสลายของหินปูนกลายเป็นหลุมที่มีบ่อน้ำใสขนาดใหญ่ในเม็กซิโก คาดว่าบ่อนี้ก่อตัวขึ้นในช่วงยุคน้ำแข็ง และถูกจัดให้เป็นสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ของชนเผ่ามายันโบราณอีกด้วย
=================
82. Son Doong
ประเทศเวียดนาม
Son Doong (ซันดอง) ถ้ำโบราณที่ซุกซ่อนอยู่ภายในหุบเขา มีความกว้าง 200 เมตร สูง 150 เมตร และมีความยาวถึง 9 กิโลเมตร ใครอยากลองเป็นนักสำรวจถ้ำนี้ตอบโจทย์มากๆ ตามไปดูความยิ่งใหญ่เพิ่มเติมได้ที่ ถ้ำใหญ่ที่สุดในโลก Son Doong Cave ประเทศเวียดนาม จุตึกเอ็มไพร์สเตทได้ทั้งตึก นอกจากนี้ที่นี่ยังเป็นสุดยอดทริป ที่คนรักการท่องเที่ยวต้องไปสักครั้งหนึ่งในชีวิต !
อ่านรีวิวเพิ่มเติมได้ที่ Son Doong Cave เวียดนาม ถ้ำใหญ่ที่สุดในโลก จุตึกเอ็มไพร์สเตทได้ทั้งตึก (มีคลิป)
=================
83. Wuhan
ประเทศจีน
เมืองตำนานยุทธจักรนักสู้ เที่ยวให้มันส์ยันบรรพบุรุษ ตามรอยพงศาวดารจีนสามก๊กที่ “หอกระเรียนเหลือง” หอสังเกตการณ์ข้าศึก ซึ่งเป็น 1 ใน 3 หอที่สวยที่สุดของจีน ก่อนขึ้นเขา “บู๊ตี๊ง” มรดกโลกจุดกำเนิดสุดยอดวิชากังฟู ที่นี่แหละคือ จุดที่ต้องมาให้ได้ในเมืองจีน
=================
84. Kirkjufell
ประเทศไอซ์แลนด์
Kirkjufell เป็นภูเขาทางฝั่งตะวันตกของไอซ์แลนด์เรียกได้ว่าเป็นสัญลักษณ์อีกหนึ่งสิ่งของประเทศไอซ์แลนด์เลยก็ว่าได้ เป็นสถานที่ดึงดูดช่างภาพมืออาชีพจากทั่วโลกที่มาเยือนไอซ์แลนด์ต่างก็ต้องมาแชะภาพของที่นี่กลับไปเป็นที่ระลึก
ภูเขา Kirkjufell ล้อมรอบไปด้วยวิวทิวทัศน์ทั้งหาดทรายชายทะเล และน้ำตก ไม่ว่าจะมาเที่ยวที่นี่ในช่วงไหนก็มีความงดงามตลอดทั้งปี โดยเฉพาะในหน้าหนาวที่จะมองเห็นภูเขา Kirkjufell ปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาว ถ้าโชคดีก็จะได้เห็นท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยแสงเหนือเต้นดุ๊กดิ๊กๆ อยู่ข้างหลัง
=================
85. St.George's Chapel
ประเทศอังกฤษ
Piotr Wawrzyniuk / Shutterstock.com
โบสถ์เซนต์จอร์จ (St. George's Chapel) ตั้งอยู่ภายในพระราชวังวินเซอร์นั่นเองสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้เรียกได้ว่าเป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมสำคัญๆ แห่งราชวงศ์อังกฤษมาแล้วมากมาย เป็นโบสถ์สไตล์โกธิค และทิวดอร์ สร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 15 ยุคของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 4 (ค.ศ. 1461–ค.ศ. 1483) เดิมเป็นศาสนสถานเฉพาะสำหรับพระราชวงศ์ และเป็นสุสานบรรจุพระบรมศพของกษัตริย์ถึง 10 พระองค์
อ่านรีวิวเพิ่มเติมได้ที่ ชมโบสถ์เซนต์จอร์จ แห่งพระราชวังวินด์เซอร์
=================
86. Sagano Bamboo Forest
ประเทศญี่ปุ่น
ป่าไผ่ซากาโนะ นี้ป่าไผ่ที่ใหญ่ที่สุดในเมืองเกียวโต ทั้งทัศนียภาพที่สวย และแปลกตาของป่าไผ่ซากาโนะ ทำให้มีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมเยียนที่นี่อย่างไม่ขาดสาย เราสามารถเดินชมป่าไผ่ตามทางเดินที่ได้จัดไว้ให้เป็นระยะทาง 500 เมตร ตลอดสองข้างทางเดินประกอบไปด้วยต้นไผ่สูงชะลูด และในระหว่างทางนักท่องเที่ยวจะได้เพลิดเพลินไปกับเสียงลำไผ่สีกันยามลมพัด นับเป็นเสียงธรรมชาติที่แสนไพเราะสุดจะบรรยายไปเลยทีเดียว นับว่าที่นี่เป็นอีกแห่งหนึ่งที่ทำให้ชาวต่างชาติหลายคนต้องมนต์เสน่ห์ของโลกฝั่งตะวันออก
อ่านรีวิวเพิ่มเติมได้ที่ เที่ยวญี่ปุ่น ป่าไผ่ซากาโนะ Sagano bamboo forest เกียวโต เสน่ห์โลกตะวันออก
=================
87. Huacachina, Peruvian Desert
ประเทศเปรู
Huacachina เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเปรู ที่นี่มีคนอาศัยอยู่เพียงแค่ร้อยกว่าคนเท่านั้นในโอเอซิสเขียวชอุ่มท่ามกลางทะเลทรายอันร้อนระอุ ใครมาที่นี่แล้วมักจะติดอกติดใจกับกิจกรรมท้าทายก็คือ sandboarding ซึ่งแน่นอนว่า เราจะสามารถเช่า sandboarding จากชาวบ้านมาลองกันสักครั้งในชีวิตได้อีกด้วย
=================
88. Melissani Cave, Kefalonia
ประเทศกรีซ
Melissani Cave เป็นถ้ำที่ตั้งอยู่บนเกาะ Kefalonia ประเทศกรีซ ถ้ำแห่งนี้ได้สำรวจพบในปี 1951 มีการขุดพบวัตถุโบราณหลายชิ้นด้วยกัน ภายในถ้ำมีทะเลสาบน้ำกร่อยอยู่เข้าไปลึกกว่า 500 เมตรจากทะเล เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมอีกที่หนึ่ง นักท่องเที่ยวจะล่องเรือไปตามเส้นทางเพื่อชมธรรมชาติที่สวยงามของน้ำที่ใสราวกับกระจก ตามตำนานเทพเจ้ากรีกโบราณ เหล่านางไม้ที่อาศัยอยู่ในถ้ำที่งดงามนี้จะล่อลวงคนด้วยความงามของพวกเขา และถ้ำนี้ก็ได้ล่อลวงนักดำน้ำหลายคนในหลงเข้าไปในโลกที่เต็มไปด้วยความงามของธรรมชาติ
=================
89. Mount Ai-Petry, Crimea
ประเทศยูเครน
ความเสียวระดับสูงนี้ตั้งอยู่บนภูเขา Kastron Mountain คุณจะต้องปีนขึ้นไปโดยไม่หันกลับมามองแม้หัวใจจะกองอยู่แทบเท้าแล้วก็ตาม และบนจุดสูงสุดเราจะได้พบกับวิวที่สวยอลังการของอ่าว Balaklava ที่แสนคุ้มค่ากับการขึ้นมา ณ ที่นี้
=================
90. Lofoten Islands
ประเทศนอร์เวย์
Lofoten เป็นกลุ่มของหมู่เกาะที่ตั้งอยู่ในภาคเหนือของนอร์เวย์ภายในอาร์กติกเซอร์เคิล เป็นที่ตั้งของหมู่บ้านชาวประมงที่แสนจะล่อตาล่อใจนักจับปลาทั้งหลาย คนที่ชื่นชอบการตกปลามักมาที่นี่กันในวันหยุดเพื่ออวดปลาตัวใหญ่ให้โลกเห็น นอกจากนี้ยังมีแนวปะการังที่ลึกที่สุดของโลกอยู่ที่นี่อีกด้วย แน่นอนว่าความสวยงามแห่งซีกโลกเหนืออยู่ที่นี่แหละ
=================
91. St. Petersburg
ประเทศรัสเซีย
เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก (St. Petersburg) เป็นเมืองท่าทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของรัสเซีย ตั้งอยู่ปากแม่น้ำเนวา ริมอ่าวฟินแลนด์ในทะเลบอลติก สร้างโดยพระเจ้าซาร์ปีเตอร์มหาราช เรียกได้ว่าเป็นจุดศูนย์กลางแห่งความเจริญที่เก่าแก่ที่สุดรวมไปถึงด้าน นโยบายการเมืองและเศรษฐกิจที่มีบทบาทและความสำคัญในหน้าที่ประวัติศาสตร์ สมัยที่เคยเรืองอำนาจในยุโรปจนถูกขนานนามว่า “หน้าต่างของยุโรป”
=================
92. Zermatt
ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
Zermatt (เซอร์แมตส์) เมืองเล็กน่ารักที่อุดมไปด้วยมิตรไมตรี บนความสูง 1,620 เมตร บริเวณเชิงเขา Matterhorn (แมทเทอร์ฮอร์น) หนึ่งในยอดเขาที่สวยงามที่สุดของประเทศสวิตเซอร์แลนด์
อ่านรีวิวเพิ่มเติมได้ที่ นั่งรถไฟเลียบหุบเขา สวิตเซอร์แลนด์ เยือนเมืองจักรยาน Zermatt พิชิตเขาสูง Matterhorn
=================
93. Angkor Wat
ประเทศกัมพูชา
ที่นี่คือโบราณสถานที่เกี่ยวกับศาสนาที่ใหญ่ที่สุดของโลก และยังได้เป็นอันดับ 1 ใน Travelers’ Choice ในปี 2015 นี้อีกด้วย นครวัด สร้างขึ้นราวศตวรรษที่ 12 เป็นสิ่งก่อนสร้างที่มีมนต์เสน่ห์อย่างน่าประหลาด ชวนให้หลายคนหลงใหลและอยากจะเดินทางมาเยือนที่นี่สักครั้ง นอกจากนี้ที่นี่ยังได้ชื่อว่าเป็นสัญลักษณ์ของกัมพูชา และยังเป็นหนึ่งในมรดกโลกที่ UNESCO ยกย่อง
=================
94. Trolltunga in Hordaland
ประเทศนอร์เวย์
Trolltunga มีความหมายว่าลิ้นของโทรลล์ ด้วยความที่เป็นชะง่อนผาที่มีลักษณะคล้ายกับการแลบลิ้นออกมาจากภูเขาประมาณ 2,000 ฟุตลอยอยู่กลางอากาศแบบนี้นั่นเอง หากยอมปืนเขาที่สูงกว่า 700 เมตรนี้ได้ จะเห็นวิวที่คุ้มค่ากับที่ปืนขึ้นมาแน่นอน เพราะวิวของแม่น้ำ Ringedalsvatnet สวยอย่างกับภาพวาด
=================
95. Tunnel of Love
ประเทศยูเครน
อุโมงค์แห่งความรัก (Tunnel of Love) คืออีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงมากแห่งหนึ่งของประเทศยูเครน เป็นอุโมงค์รถไฟที่สร้างขึ้นจากต้นไม้อย่างสวยงามตั้งอยู่ในเขตเมืองเคลเว่น (Klevan) เมืองเล็กๆ ในจังหวัดริฟเน (Rivne region) จังหวัดที่ตั้งอยู่ในภาคตะวันตกของประเทศยูเครนนั่นเอง เห็นแบบนี้โรแมนติกอย่าบอกใคร แนะนำให้เก็บเงินแล้วเตรียมไปถ่ายพรีเวดดิ้งที่นี่เลย
=================
96. Salar De Uyuni
ประเทศโบลิเวีย
Salar de Uyuni เป็นทะเลเกลือที่ใหญ่ได้ชื่อว่าเป็น กระจกเงาที่ใหญ่ที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง เป็นพื้นที่ราบที่ประกอบด้วยเกลือจำนวนมหาศาลบนเนื้อที่ 10,582 ตารางกิโลเมตร เป็นทะเลเกลือใหญ่ที่สุดของโลก อยู่ติดเขตระหว่างสองจังหวัดคือ Potosi และ Oruro ทางตอนใต้ของประเทศโบลิเวีย ลองมาตอนหน้าฝน จะเหมือนได้ยืนอยู่ท่ามกลางทะเลที่สะท้อนกับท้องฟ้าราวกับกระจก
อ่านรีวิวเพิ่มเติมได้ที่ ผืนฟ้าจรดผืนโลก ที่ Salar de Uyuni โบลิเวีย ทะเลเกลือที่ใหญ่ และสวยที่สุดในโลก
=================
97. Zhangye Danxia, Gansu
ประเทศจีน
ภูเขาสีรุ้ง หรือ ภูเขาหลากสีในเขตมณฑลกันซู่ ประเทศจีน เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เรียกได้ว่าเป็นงานศิลปะที่สรรสร้างด้วยฝีมือธรรมชาติโดยแท้ ภาพภูเขหลากหลายสีสันตรงนี้ เกิดจากการตกตะกอนของหินทราย และแร่ธาตุในบริเวณนี้ทับถมกันมานานกว่า 24 ล้านปีนั่นเอง
=================
98. Himeji Castle
ประเทศญี่ปุ่น
ปราสาทฮิเมจิ มีประวัติศาสตร์ก่อตั้งกว่า 400 ปี เป็นปราสาทที่คงสภาพเดิมที่สุดในญี่ปุ่น ถือว่าเป็น 1 ใน 3 ปราสาทที่งดงามที่สุดในญี่ปุ่น โดยอีก 2 แห่งคือ ปราสาทมะสึโมะโตะ และปราสาทคุมะโมะโต รวมทั้งได้รับการจดทะเบียนเป็นมรดกโลกจากยูเนสโกเป็นครั้งแรกของประเทศญี่ปุ่นในปี 1993 ความสง่างามของที่นี่ได้รับการเปรียบเปรยให้ถูกเรียกว่า “ปราสาทนกกระสาขาว”
อ่านรีวิวเพิ่มเติมได้ที่ เที่ยวญี่ปุ่น เช็คอิน ปราสาทฮิเมจิ กับ 7 กิจกรรมโดนๆ ที่ต้องลองสักครั้ง !
=================
99. Cappadocia
ประเทศตุรกี
คัปปาโดเกีย (Cappadocia) เมืองมหัศจรรย์ที่ตั้งอยู่ในประเทศตุรกี เป็นเมืองที่ได้รับการประกาศจากองค์การยูเนสโกให้เป็นเมืองมรดกโลก เมื่อปี ค.ศ.1985 เป็นพื้นที่พิเศษเกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟเออซิเยส และภูเขาไฟ ฮาซาน เมื่อประมาณ 3 ล้านปีมาแล้ว (ปัจจุบันภูเขาไฟทั้ง 2 ดับแล้ว) ทำให้ลาวาที่พ่นออกมา เถ้าถ่านจำนวนมหาศาลกระจายไปทั่วบริเวณทับถมเป็นแผ่นดินชั้นใหม่ขึ้นมา เกิดเป็นภูมิประเทศประหลาดแปลกตาน่าพิศวงสารพัดรูปร่าง
=================
100. Valley of Flowers
ประเทศอินเดีย
Valley of Flowers National Park ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเทือกเขาหิมาลัย ในรัฐ Uttarakhand ของประเทศอินเดียบนความสูง 3,650 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล กินอาณาบริเวณกว่า 87 ตารางกิโลเมตร บนนี้จะพบดอกไม้นานาพันธุ์ที่ทั้งสวยงาม และหายากในแถบภูมิภาคอื่นกว่า 520 ชนิด รวมถึงมีสรรพคุณทางยาด้วย โดยปกติดอกไม้จะบานสะพรั่งละลานตาในช่วงเดือนมิถุนายน ไปจนถึงต้นกันยายน
อ่านรีวิวเพิ่มเติมได้ที่ Valley of Flowers แดนแห่งขุนเขา ดอกไม้ และสายธาร ที่ประเทศอินเดีย
อ้างอิงจาก: https://travel.trueid.net/detail/gbwl988epwY