"หยงโก๊ะ" เพื่อนรัก
เมื่อไม่กี่วันมานี้ ผมได้มีโอกาสกลับไปเยี่ยมแม่ผู้เป็นหญิงชราวัยแปดสิบกว่าปีย่านรามอินทรา บ้านของเราสร้างบนผืนดินที่เป็นท้องนาในสมัยก่อนมามากกว่า 40 ปีแล้ว
ในสมัยนั้นยังไม่มีน้ำ ไม่มีไฟ หรือแม้แต่ถนนลาดยางมะตอยที่จะตัดผ่านสักเส้นยังหาไม่ได้ ถ้าจะพูดไปก็คงจะมีแต่ท้องไร่ท้องนา คูน้ำที่ใสสะอาดและเหล่าปลาที่แหวกว่ายอยู่ในนั้น
ผมมีพี่น้องอยู่ด้วยกัน 7 คน ถ้ารวมพ่อกับแม่แล้วก็จะเป็น 9 คน พวกเราทั้งหมดไม่สามารถที่จะอยู่ที่แฟลตดินแดงอีกต่อไปได้เนื่องจากขนาดพื้นที่ของแฟลตที่เราอยู่ค่อยๆมีขนาดเล็กลงไปเรื่อยๆ และด้วยจำนวนประชากรของครอบครัวของเรามีจำนวนไม่สอดคล้องกับสภาพความเป็นอยู่ อีกทั้งขนาดของห้องที่ไม่อำนวยต่อครอบครัวของพวกเรา จึงเป็นเหตุทำให้เราต้องย้ายถิ่นที่อยู่อาศัยเดิมออกมาไกลถึงเขตท่าแร้ง
ลูกทั้งหมด 7 คนเรียนอยู่โรงเรียนแม่พระฟาติมาในสมัยนั้น กับอาชีพค้าขายของแม่ที่เหมือนจะสอดคล้องกันเสียจริง แม่สอนพวกเราและ พยายามกัดฟันอดทนต่อสู้ เพื่อที่จะส่งพวกเราเรียนโรงเรียนคาทอลิคให้จบ เพียงเพราะหวังว่าวันหนึ่งพวกเราจะมีโอกาสที่ดีในสังคม แน่นอนพวกเราทั้งหมด 7 คนต่างเป็นนักเรียนที่ดี เป็นที่รักของคุณครูและทำงานทุกอย่างตามที่โรงเรียนเรียกใช้ อันสืบเนื่องมาจากครอบครัวของเราได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษให้ผ่อนค่าเทอมได้ และต้องทำงานเพื่อชดเชยในส่วนที่ยังจ่ายไม่ครบ
พอย้อนกลับไปตอนนั้น พี่ๆ และผมจะต้องหอบทองม้วนขึ้นรถเมล์มาขายที่โรงเรียน วันไหนออกจากบ้านเร็ว คนน้อยทองม้วนก็สวยและน่ารับประทาน แต่วันไหนคนเยอะ ออกจากบ้านสาย ท้องม้วนของพวกเราก็จะกลายเป็นคอนเฟล็กไทยเล็กๆ ที่แทบจะไม่มีใครอยากซื้อ นี่แหละทำให้ผมเข้าใจกลยุทธ ซื้อหนึ่งแถมหนึ่ง
ประตูไม้สักที่บ้านของเราถูกงัดออกแผ่นแล้วแผ่นเล่า เพื่อเอาไปขายเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนในครอบครัว หนักเข้าก็หาข้าวหาของไปจำนำที่โรงรับจำนำแถวตลาดลาดปเค้า
ชีวิตพวกเราไม่ได้เหมือนคนอื่นๆสักเท่าไหร่ แต่เพราะความรักที่แม่มอบให้ นั่นถือเป็นของขวัญอันล้ำค่าที่เกินกว่าจะหามาตอบแทนได้เลย ก็เพราะพวกเราต้องช่วยพ่อกับแม่ทำงาน มันจึงทำให้ผมไม่ได้มีเพื่อนเหมือนคนอื่นๆเขา เว้นเสียแต่เจ้า “หยงโก๊ะ” ไก่ชนแสนรักที่มีอยู่เพียงตัวเดียวในบ้านเท่านั้น ที่พอจะเป็นเพื่อนยามเหงาให้กับผม
มันเป็นเพื่อนที่ดี เพื่อนที่พอจะทำให้ผมคลายเหงา เพื่อนที่รับฟังความคิดเห็นเวลาที่ผมเศร้า และเพื่อนที่คอยปลุกผมยามเช้าก่อนไปเรียน
ทุกๆครั้งส่วนใหญ่แม่จะจับปลา และเด็ดสายบัว หรือหาผักและยอดไม้จากบริเวณบ้านที่เราอยู่อาศัยมาทำเป็นอาหาร ต้นแคเอย ขี้เหล็กเอย หัวปลี แตง บวบ หรือแม้กระทั่งเครื่องสมุนไพรทั้งหลาย มาจากพืชที่แม่ปลูกทั้งนั้น
แต่แล้วอยู่มาวันหนึ่ง เป็นวันที่พวกเรากลับมาถึงบ้านช้ากว่าปกติ เพราะฝนที่ตกหนักและน้ำที่ท่วมขังแถวมหาวิทยาลัยเกษตร แม่เตรียมอาหารไว้ให้กับพวกเราพร้อมกับข้าวสวยร้อนๆที่มีอยู่เต็มจาน
ผมไม่ได้ทานต้มยำไก่มานานมากแล้ว บวกกับความหิวทำให้มื้อนั้นเป็นมื้อที่แสนพิเศษ น้ำพริกปลาทู กับแตงกวา และผักสดๆ ทำให้คืนนั้นพวกเราต่างพากันนอนหลับสนิทราวกับถูกวางยาสลบ
แม่ตะโกนเรียกพวกเราให้รีบตื่นขึ้นตอนเช้า พร้อมกับอุทานว่า “สายแล้วๆ รีบๆเลย ตื่นๆ” พวกเราไม่เคยตื่นสายขนาดนี้มาก่อน อีกไม่กี่สิบนาทีโรงเรียนของพวกเราก็จะเข้าแล้ว ผมแค่รู้สึกประหลาดใจทำไมวันนี้พวกเราตื่นสาย ... ผมจึงเอ่ยปากถามแม่ไปว่า ... “หยงโก๊ะมันไม่ตื่นมาทำงานหรอแม่”
แม่จึงหันมาและตอบผมว่า "มันทำหน้าที่ของมันดีที่สุดแล้วหล่ะ ตั้งแต่เมื่อวานที่มันยอมให้แม่ทำต้มยำไก่ให้เรากิน" หัวใจของผมแทบแตกสลาย ราวคล้ายกับโลกใบนี้ทั้งใบกำลังแตกออกเป็นเสี่ยงๆ หยงโก๊ะจากไปแล้วจริงๆหรือนี่
ผมได้แต่ร้องไห้อยู่ในใจ และผมก็รู้ดีว่า หากแม่ไม่ทำเช่นนั้น พวกเราก็คงจะไม่มีอาหารที่จะประทังชีวิตทั้งหมด 9 ชีวิตต่อไปในอีกห้าวันข้างหน้า
รักแกน่ะ “หยงโก๊ะ”