The World Line เส้นโลกแบ่งเขต ตอนที่3
อ่านตอนที่แล้ว:https://board.postjung.com/1126871
ผมเดินไปที่ชั้นวางหนังสือและสะดุดกับหนังสือเล่มหนึ่งเข้า หนังสือเล่มนี้ชื่อ ‘รวมข้อมูลมอนสเตอร์เบื้องต้น’ ซึ่งผมคงต้องอ่านไว้ล่ะนะ
เพราะว่าผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับโลกใบนี้เลย
และผมก็เจอหนังสือเล่มหนึ่งที่น่าสนใจสุดๆสำหรับพี
‘คู่มือภาษาสำหรับผู้อัญเชิญ’ นี่มันหนังสือที่ทำมาเพื่อพีชัดๆ! แถมมันยังมือป้ายติดว่า ‘เชิญหยิบฟรี’อีกต่างหาก คงเพราะไม่มีใครอ่านล่ะมั้ง ผมหยิบหนังสือคู่มือภาษาไปให้พี
“นี่มันหนังสืออะไรฟะ” พีถาม
“มันคือคู่มือภาษาสำหรับคนโง่แบบแกไงพี” ผมตอบกลับไป
“เฮ้ย แกลืมอะไรรึปล่าว” พีถาม
“ลืมอะไรล่ะ” ผมถามด้วยสีหน้าสงสัย
“ชั้นอ่านไม่ออก” พีตอบกลับ
...ลืมเรื่องนี้ไปซะสนิท ไม่นึกว่ามันจะโง่ขนาดนี้นี่หว่า
“เฮ้อ เอาเป็นว่าเดี๋ยวชั้นจดคำแปลหนังสือเล่มนี้กับที่ชั้นอ่านที่เหลือมาคร่าวๆแล้วกัน”
“เออ ขอบใจ” พีตอบกลับมา
ผมเดินทั่วหอสมุดและได้หนังสือที่น่าสนใจมา5เล่ม
นั่นคือ 1.พลังเว ทสำหรับผู้อัญเชิญจากโลกไร้พลังเวท ซึ่งดูเหมือนจะสำคัญมากสำหรับผม
2.ภูมิศาสตร์ทวีปไฮเดนเกีย ซึ่งน่าจะเป็นทวีปนี้น่ะนะ
3.อาวุธและเครื่องมือ ซึ่งผมคิดว่าค้นคว้าเรื่องพวกนี้ก็ดีเหมือนกัน เผื่อโดนพ่อค้าหลอก
4.วิธีทำอาหารจากวัตถุดิบรอบตัว ซึ่งสำคัญต่อการออกผจญภัยเบื้องต้น
และเล่มสุดท้ายก็คือรวมข้อมูลมอนสเตอร์เบื้องต้น
ผมคิดว่า5เล่มนี้น่าจะมีประโยชน์กับผมมากเลยหละ
แต่ปัญหาก็คือ การพกพา ผมคงต้องตัดเรื่องการยืมคืนหนังสือน่ะนะ เพราะผมคงไม่มีโอกาสมาคืนหนังสือหรอก ผมคงต้องหาร้านขายหนังสือที่ขายของพวกนี้แล้ว แต่ก่อนอื่น ผมคงต้องอ่านหนังสือพวกนี้ก่อน ผมนั่งอ่านหนังสือไปสักพัก แต่ทันใดนั้นก็พบเวทมนต์ที่น่าสนใจมากเลยที่เดียว นั่นก็คือ
‘ช่องว่างของมิติ’นั่นเอง ซึ่งในหนังสือได้บอกเอาไว้ว่า
ช่องว่างของมิติคือเวทพื้นฐานของพื้นฐาน ซึ่งไม่ว่าจะมาจากโลกไหนก็สามารถใช้เวทมนต์นี้ได้
วิธีการก็ง่ายเพียงแค่พูดว่า ‘เปิดช่องว่างของมิติ’
พอจะปิดก็ ‘ปิดช่องว่างของมิติ’ แค่นั้น
“เปิดช่องว่างของมิติ”ผมพูดออกมาเบาๆ ทันใดนั้น มีวงกลมเล็กๆออกมา ที่ข้างในดูเหมือนจะไม่มีที่สิ้นสุด ผมลองใส่หนังสือเข้าไปข้างในจากนั้นก็ปิดมัน ส่วนหนังสือก็ยังคงอยู่ข้างใน
“เฮ้ย เอาละเว้ย ได้วิธีแล้ว!”
วิธีง่ายๆ ก็คือใส่หนังสือทั้ง5เล่มนี้ลงในช่องว่างของมิติแล้วเดินออกมาชิวๆ ผมรีบลุกแล้วเดินไปในมุมที่ไม่มีคน
“เปิดช่องว่างของมิติ” ผมเปิดช่องว่างของมิติแล้วรีบใส่หนังสือทั้งหมดไปข้างในแล้วเดินไปหาพี
“พี กลับได้แล้ว เดี๋ยวเราไปซื้อของกัน” ผมบอกพี ใช่แล้ว ผมจะไปซื้อของที่จำเป็นในการออกเดินทางครั้งนี้ ซึ่งในตลาดน่าจะมีพวกอาวุธหรืออาหาร เครื่องใช้ต่างๆอยู่แล้ว
“อืม ไปกันเถอะ” พีตอบกลับมา
ผมกับพีลุกจากเก้าอี้แล้วเดินออกจากหอสมุดไปโดยที่ไม่มีใครสังเกตเลย ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครรู้สินะ… เอาล่ะจุดหมายต่อไปก็คือตลาดเพราะฉะนั้นรีบไปตลาดดีกว่า เราคงต้องออกเดินทางก่อนเย็นนี้ ไม่งั้นจะลำบากเอา
ผมและพีเดินไปที่ตลาดที่เราเจอกัน
ตอนแรก ตลาดในช่วงกลางวันมีคนค่อนข้างเยอะ
ผมได้ลิสต์สิ่งที่ต้องการเอาไว้แล้ว โดยในลิสต์ก็มีไม่กี่อย่าง นั่นก็คือ
1.หินเวทมนต์ผู้ถูกอัญเชิญ ซึ่งสิ่งนี้จะช่วยให้พลังเวทย์มีพลังโจมตีรุนแรงขึ้น และยังสามารถใช้เวทต่างๆได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย
2.อาวุธ ซึ่งผมคิดว่าดาบน่าจะเหมาะกับผมที่สุดมั้ง
ส่วนพีดูเหมือนว่าอยากจะใช้ขวานมากเลย
3.เสบียง ผมตั้งใจว่าจะซื้อเสบียงสำหรับ2คนให้อยู่ได้สัก4-5มันซึ่งมันน่าจะไม่เกิน3000เวรีหรอก
ส่วนที่เหลือก็จะเป็นพวกของใช้ธรรมดาๆ ต่างๆ
เอาไว้ใช้ในสถานการณ์ใดสถานการณ์หนึ่ง
“นี่มันตัวอะไรอะ”พีถามผม
“จะรู้ไหมฟะ”ผมตอบกลับไป
สิ่งที่อยู่ตรงหน้าผมและพีตอนนี้คือตัวประหลาดเหลี่ยมๆ ซึ่งตัวเล็กและน่ารักมาก น่ารักเสียจนผมอดใจไม่ไหมที่เปิดหาดูในหนังสือว่านี่คืออะไร
ผมเปิดไปจนเจอข้อมูลของเจ้าตัวน้อยนี่ ซึ่งชื่อของมันคือ
“คิวเบ็ก???” ชื่อของมันคือคิวเบ็กหรอ
“หนังสือนี่นา แกหามันมาได้ไงเนี่ย?”พีถาม
“ขโมยมาน่ะสิ”ผมตอบกลับเบาๆ
“ฮะ! ข..ขโมย?”พีตอบกลับด้วยความประหลาดใจ
“ชู่ว!” ผมรีบเอามือปิดปากพี เพราะถ้าใครรู้เรื่องนี้เข้ามาล่ะก็ แย่แน่!
“แกขโมยมาจริงดิ…”พีถาม
“ถ้าไม่ ขโมย มันจะมาอยู่ตรงนี้ได้ไงล่ะฮะ!” ผมตอบกลับไป
“แล้วเจ้าตัวน้อยนั่นมันหายไปไหนแล้วล่ะ” พีถามผม ผมรีบหันหลังกลับไปมอง แต่ก็พบว่า
เจ้าคิงเบ็กหายไปเสียแล้ว ผมจึงบอกพีให้ซื้อของต่อ
ผมเดินซื้อของกับพีอยู่ประมาณสองชั่วโมง ซึ่งตอนนี้ก็น่าจะประมาณบ่ายสามแล้วมั้ง ผมกับพีเดินชมเมืองอยู่สักพัก ก่อนจะออกเดินทางกันตอนประมาณบ่ายสามครึ่ง จนในที่สุด ผมกับพีก็เดินมาถึงหน้าประตูเมือง
“การผจญภัยของจริงกำลังจะเริ่มแล้วสินะพี” ผมบอกกับพี
“เออ! ถ้าแกยังไม่พร้อมแกก็นอนข้างถนนต่อไปได้นะ” พีตอบกลับมา
“แกนี่มัน…”
“ไอคนที่ใช้เงินซื้อของจนเงินเหลือหกพันเวรีอย่างแกน่ะเงียบไปเลย!”
“ไอพี พอซักทีสิฟะ!” ผมกับพีหยอกล้อกันตามประสาเพื่อน ก่อนจะเดินออกนอกประตูเมืองไป
ป่าที่นี่เหมือนกับโลกที่ผมเคยอยู่ ต่างกันแค่ อาจมีพืชแปลกๆ อยู่ให้เห็นบ่อยๆ ผมเดินไปเรื่อยๆ จนไม่ทันรู้ตัวว่า นี่ก็ใกล้ค่ำแล้ว แถมมีหมอกบางๆ ทำให้ทัศนวิสัยแย่ลงด้วย
“รีบหาที่พักเหอะว่ะพี ไม่รู้ว่าที่นี่มีอะไรบ้าง” ผมบอกกับพี
“เออได้” พีตอบกลับมาสั้นๆ
แต่ทันใดนั้น ลูกธนูก็พุ่งเฉียดหัวไป ภายใต้หมอกนั้น
มีสิ่งมีชีวิตประหลาดอยู่ในม่านหมอดประมาณสองตัว
“นั่นมัน…” ผมพูดออกมาด้วยความตกใจ