นักวิจัย พิสูจน์ “กะโหลกมนุษย์ต่างดาว” ผ่านวิจัยกว่า 100 หน้า และเชื่อว่ามัน "คือของจริง"
นักวิจัย พิสูจน์ “กะโหลกมนุษย์ต่างดาว” ผ่านวิจัยกว่า 100 หน้า และเชื่อว่ามัน "คือของจริง"
เว็บไซต์ต่างประเทศ "mirror" รายงานว่า " Li Jianmin" นักวิจัยชื่อดัง ณ เมืองปักกิ่ง
ผู้ซึ่งรอบรู้ด้านวิทยาศาสตร์ ดาราศาสตร์ และสิ่งอื่นนอกโลก นั่นคืองานของเขา และวันนี้เขาได้ตีแผ่ความจริงบางอย่าง ที่แทบจะยืนยันร้อยเปอร์เซ็นต์แล้วว่ามันเป็นเรื่องจริง เหลือเพียงขั้นตอนสุดท้ายที่สำคัญเท่านั้น ตลอดที่ผ่านมา เราอาจเคยได้ยินเรื่อง "มนุษย์ต่างดาว" มามากมาย ทั้งข่าวสาร ภาพยนตร์ คำบอกต่อ
และสิ่งที่เป็นเรื่องน่าสงสัยต่อคนทั้งโลกก็คือ จักรวาลอันแสนกว้างนี้ จะมีสิ่งอืนที่มีชวิตนอกจากเราไหม และวันนี้ " Li Jianmin" ได้ทำการพิสูจน์ และถ้าผลเป็น 100 % แล้วล่ะก็ ทุกๆความเชื่อเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวว่ามันไม่มีจริง จะเปลี่ยนไปทันที โดยเหตุการณ์นี้ " Li Jianmin" ได้เจอเจ้ากระโหลกแปลกๆ วางขายอยู่ข้างถนนในประเทศมองโกเลีย ไม่มีใครทราบว่ามันคืออะไร พวกเขาพบเจอเห็นว่าเเปลกจึงนำมาขาย เขาจึงลองซื้อกลับมาเพื่อพิสูจน์ว่ามันคืออะไร
เมื่อสำรวจไป จึงพบว่า มันคือ "กระโหลก" แต่ไม่ใช่ของมนุษย์อย่างแน่นอน เพราะ มันมีความ แบนและเป็นสีน้ำตาล เส้นผ่าศูนย์กลางยาว 16 เซนติเมตร คล้ายกระโหลกมนุษย์แต่มันก็ไม่ได้เหมือนซะทีเดียว
เขาจึงส่งต่อไปยังห้องวิจัย เรื่องนี้โดยเฉพาะ และตัวเขาได้เข้าไปศึกษาเรื่องนี้ด้วย
แน่นอนว่า การจะพิสูจน์ว่ามันของจริงไหม มีเพียงการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์เท่านั้น จึงจะบอกได้ 100 % ทางผู้วิจัย ใช้หลายๆวิธีเพื่อพิสูจน์เจ้าสิ่งนี้ ทั้งวิธี
"Raman Spectroscopy" เป็นเทคนิคที่นิยมใช้ในการตรวจยืนยันเอกลักษณ์ของสาร โดยอาศัยหลักการทางแสง ในปัจจุบันได้มีการนำเอาเทคนิครามานสเปกโทรสโคปี ไปตรวจยืนยันสาร เช่น สารเสพติด สารระเบิด สารตั้งต้น ฯลฯ เนื่องจากมีความรวดเร็วในการออกผล และถูกต้อง แม่นยำทั้งนี้ ยังนำไปส่อง “กล้องจุลทรรศน์แรงอะตอม” และแน่นอนว่า ทั้งหมดถูกตีพิมพ์ไปยังวิจัยวิทยาศาสตร์การค้นพบของ " Li Jianmin" ซึ่งมีรายละเอียดเป็นร้อยหน้า เขากล่าวเสมอว่าหากใครคิดว่าเรื่องนี้ไม่จริง โปรดหาหลักฐานมาแย้ง เพราะเขาทำทุกอย่างด้วยหลักฐานจริงที่มี
และขั้นตอนสุดท้ายที่พวกเขายังไม่ได้ทำ เพราะต้องใช้เงินเยอะมาก เเละนั่นจะบอกผลทุกอย่าง 100 % ว่าสิ่งนี้คือกระโหลกมนุษย์ต่างดาวจริงหรือไม่ นั่นคือการตรวจ DNA ซึ่งถ้าผลออกมาแล้วว่าจริง นี่คือการพลิกหน้าประวัติศาสตร์ของโลกเลยทีเดียว
แหล่งที่มา: mirror