จากวันนั้นถึงวันนี้...อนาคตรถไฟไทยยุค 4.0
ทุกประเทศในเวลานี้ต่างปรับยุทธศาสตร์ในการขับเคลื่อนการขนส่งให้มีความประหยัด และมีประสิทธิภาพมาก ขึ้นโดยได้มุ่งเน้นไปยังรูปแบบของ การขนส่งระบบราง เนื่องจากสามารถขนส่งได้ปริมาณมาก และมีต้นทุนที่ประหยัด หลายๆคนอาจจะสงสัยกันว่า ทำไมช่วงนี้มีกระแสข่าวการก่อสร้างระบบรางของบ้านเรากันอย่างคึกคัก ทั้งการก่อสร้างรถไฟฟ้าในกรุงเทพ รถไฟทางค่ รถไฟความเร็วสูง หรือแม้แต่ระบบรางตามหัวเมืองใหญ่ๆ ที่มีข่าวว่ากำลังเริ่มสร้างกันบ้างแล้ว เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนในท้องถิ่น
เหตุการณ์ในช่วงเวลานี้ คงถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ชาติไทย ที่เราได้มีการยกเครื่องระบบรางกันอย่างพร้อมเพรียงขนาดนี้ ที่น่าสนใจคือ ประเทศไทยกำลังจะมี รถไฟความเร็วสูง ใช้บริการเป็นครั้งแรก เพราะทุกวันนี้ประเทศในอาเซียนด้วยกันก็ได้พัฒนารถไฟความเร็วสูง กันไปไกลแล้ว หากไทยไม่เร่งรัดการพัฒนาระบบรถไฟฟ้า ไทยอาจจะ "ตกขบวน" และสูญเสียโอกาสหลายๆอย่างโดยเฉพาะการเติบโตทางเศรษฐกิจก็เป็นได้
ก่อนจะมองไปถึงอนาคต เรามาย้อนดูอดีตกันว่า แต่เดิมนั้น รถไฟไทยนั้นเป็นอย่างไร?
ย้อนไปสมัยที่กิจการรถไฟของไทยมีสถานะเป็น กรมรถไฟหลวง นั้น กิจการรถไฟของไทยจัดอยู่ในอันดับต้นๆของเอเชีย สมัยนั้นกรมรถไฟหลวงจัดซื้อทั้งรถจักรไอน้ำ รถจักรดีเซลและรถพ่วงรุ่นต่างๆเข้าประจำการอยู่เป็นระยะ มีการก่อสร้างทางรถไฟและอาคารสถานีเพิ่มอยู่เรื่อยๆ ขนาดทางคู่รอบๆกรุงเทพบางส่วนก็เริ่มลงมือก่อสร้างมาตั้งแต่สมัยนั้นแล้ว
แต่พอเปลี่ยนสถานะจากกรมรถไฟหลวงมาเป็นการรถไฟแห่งประเทศไทยเมื่อปี 2494 กิจการรถไฟของไทยก็เริ่มเดินช้าลง โดยในช่วงแรกก็มีการจัดซื้อรถจักรดีเซลเข้าประจำการอยู่เรื่อยๆ และเมื่อราวๆปี 2512 โดยโรงงานมักกะสันก็ได้ทำการลงมือต่อรถโดยสารและรถสินค้าใช้งานเอง แต่ผลิตอยู่ได้ไม่กี่ปีก็หยุดผลิตไป (ท่านที่โดยสารรถไฟบ่อยๆบางท่านอาจจะเคยเห็นหรือเคยนั่งรถโดยสารยี่ห้อมักกะสันก็ได้ถ้าอายุถึง)
แม้ว่าในช่วงแรกกิจการรถไฟของไทยจะมีรถจักรและรถพ่วงรุ่นใหม่เข้าประจำการอยู่บ้างแต่พักหลังๆมาการรถไฟแทบจะไม่มีการจัดซื้อรถจักรและรถพ่วงรุ่นใหม่เลยแถมรถจักรและรถพ่วงที่ใช้อยู่ก็เริ่มชำรุดบ้างตามการเวลา พอนานๆเข้าเมื่อมีรถจักรและรถพ่วงชำรุดเพิ่มมากขึ้นแถมรถใหม่ก็ไม่มีเข้ามาเลยการรถไฟก็ต้องเอารถที่พอจะใช้งานได้มาทำขบวน ชุดรถส่วนใหญ่เมื่อมาถึงหัวลำโพงก็จะมีเจ้าหน้าที่ขึ้นไปทำความสะอาดและเติมน้ำเมื่อเสร็จก็ต้องรีบนำออกไปทำขบวนให้บริการต่อทันทีโดยแทบจะไม่มีเวลาหยุดพักเลย (ยกตัวอย่างเช่นชุดขบวนรถด่วนพิเศษที่ 2 เชียงใหม่ - กรุงเทพ เมื่อมาถึงกรุงเทพในช่วงเช้าแล้วในช่วงบ่ายก็จะถูกนำไปให้บริการเป็นขบวนรถด่วนพิเศษที่ 35 กรุงเทพ - บัตเตอร์เวอร์ธ)
และที่สำคัญตั้งแต่การรถไฟถือกำเนิดขึ้นมา ทางรถไฟของไทยแทบจะไม่มีการก่อสร้างเพิ่มเลย แถมทางรถไฟที่มีอยู่ก็เริ่มชำรุดขึ้นทุกวันและทางรถไฟในบางเส้นก็โดนยกเลิก อันที่จริงแล้วไม่ใช่ว่ารัฐบาลไม่คิดจะปรับปรุงและพัฒนาพวกระบบโครงการพื้นฐานเหล่านี้ หลายโครงการเป็นโครงการที่คิดกันมาตั้งแต่ 30-40 ปีที่แล้ว แต่ด้วยปัจจัยหลายๆอย่างทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ ทำให้ประเทศเราไม่พร้อมที่จะอนุมัติโครงการต่างๆ ซึ่งสิ่งก่อสร้างระดับโครงการใหญ่ ล่าสุดก็เห็นจะเป็น สนามบินสุวรรณภูมิ ที่ถูกสร้างมาร่วมสิบปี
ผู้คนมายืนรอรถไฟไปทำงาน ไม่ต่างอะไรกับการยืนรอรถไฟฟ้าบีทีเอสในสมัยปัจจุบัน
แต่เมื่อรัฐบาลปัจจุบันเข้ามาบริหารงาน ก็ได้มีการสานต่อในหลายๆโครงการให้ได้รับการอนุมัติ มีผลทำให้เศรษฐกิจเราเริ่มฟื้นตัว ต่างชาติเริ่มกลับมาเชื่อมั่น ไทยจึงกลับมาแข่งขันได้อีกครั้ง เราจึงเห็นข่าวการอนุมัติโครงการใหญ่ๆโดยเฉพาะระบบราง กันครั้งยิ่งใหญ่ บวกกับที่รัฐบาลพยายามผลักดันโครงการ EEC ที่มีการพัฒนาโครงข่ายรถไฟรองรับเขตเศรษฐกิจพิเศษนี้อีกด้วย ว่ายกเครื่องกันเลยทีเดียว ซึ่งเงินที่นำมาใช้ลงทุนในโครงการรถไฟต่างๆ ก็มีทั้งรัฐบาลไปกู้เงินเพื่อมาลงทุนทำเอง และบางส่วนเอกชนก็เป็นผู้ลงทุนทำเอง เรียกได้ว่าทุกอย่างกำลังเดินหน้าเร็วมาก แบบไม่น่าเชื่อ
แต่ไม่ว่าใครจะเป็นคนทำ ก็เอาเหอะ อะไรที่ประเทศได้ประโยชน์ มันก็ตกมาถึงคนไทยด้วยกันทั้งนั้นแหละ ทั้งประโยชน์ทางตรง หรือทางอ้อม แม้ว่าจะมีพวก "ชังชาติ" บางกลุ่มที่ชอบออกมาบอกว่า รัฐจะประเคนเอาสมบัติชาติไปให้นายทุนก็ตาม แต่ก็อย่าลืมความจริงที่ว่า สมบัติเหล่านี้ มันเป็นสมบัติชิ้นใหญ่ ไม่ใช่ว่าจะหิ้วหนีไปไหนได้ซะเมื่อไหร่ อีก 10 ปี 100 ปีรางรถไฟ ตู้รถไฟ เหล็กทุกชิ้น มันก็ต้องคงอยู่แบบนั้นเป็นสมบัติชาติ
ตอนนี้ก็ได้แต่คาดหวังว่าอีกไม่เกิน 10 ปี ประเทศไทยเราคงจะมีระบบรางเชื่อมต่อกับเพื่อนบ้านทั้งอาเซียนได้ครบ เพราะถ้าหากไม่เริ่มสร้างในวันนี้ ก็บอกได้คำเดียวว่า "โดนตัดหาง จากเพื่อนบ้าน" แน่นอน.