เก่งได้แต่อย่าอวดเก่ง
เก่งได้อย่าอวดเก่ง
.
ภูมิใจได้แต่อย่าให้มากถึงขนาดหลงตัวเอง
เพราะความหลงตัวเองนั้น ฆ่าคนเก่งมานักต่อนัก
ยิ่งคิดว่าตัวเองปราดเปรื่องเท่าไหร่
ก็ยิ่งมีโอกาสสูงที่เราจะมองไม่เห็นหัวคนอื่น นี่คือเรื่องจริง ธรรมชาติของกิเลสมักมาเป็นคู่เสมอ
เมื่อเปิดประตูรับเข้ามาหนึ่งตัว มันจะลากตัวที่สอง สาม สี่
และยกพวกตามมาเป็นขบวน ถ้าเรามองโลกแบบตรงไปตรงมา
ก็จะเห็นว่า แทบจะเป็นไปไม่ได้
ที่คนหลงตัวเองจะไม่คิดดูถูกคนอื่น แล้วนิสัยดูถูกคนอื่น
ก็จะนำมาซึ่งนิสัยที่ชอบเปรียบเทียบ
เมื่อนิสัยชอบเปรียบเทียบมาถึง คราวนี้มันก็จะพานิสัยที่ชอบตัดสินคนอื่นติดมาด้วย คนนั้นก็ไม่ดี คนนี้ก็ไม่ฉลาด
ทำแบบนั้นไม่ดี ทำแบบนี้ก็ไม่เข้าท่า
คนหลงตัวเองจะเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นเทวดาน้อยๆ
ผู้ไม่เคยทำอะไรผิด เริ่มติดกับความเก่งและความสำเร็จที่มีอยู่ เริ่มทำตัวเป็นคนธรรมดาที่ไม่สำคัญไม่เป็น
ทั้งหมดนี้คือภัยคุกคามมิตรภาพและความสุขในชีวิตของตน
และคนรอบข้าง
.
อันที่จริงแล้ว ยิ่งเป็นคนเก่งเท่าไหร่
ยิ่งต้องมีความอ่อนน้อมถ่อมตนเท่านั้น
ความอ่อนน้อมนี่เองจะสามารถถ่วงน้ำหนักเท้าของเราให้ติดดินไม่ลอยขึ้นฟ้าเพราะความลำพองใจ ยิ่งเป็นคนเก่งเท่าไหร่
ยิ่งต้องระวังความเลวที่มันคอยจะแว้งกัด
กิเลสไม่ใช่อะไรที่โง่เขลาเลย มันไม่ใช่บางสิ่งที่เราจะอวดดี
และประมาทได้ ตรงกันข้าม
มันมีความเฉียวฉลาดกว่าเราหลายเท่า ไม่เช่นนั้นแล้ว
มีหรือที่เราจะเป็นขี้ข้าของมันมาเนิ่นนานเพียงนี้
.
รวมความแล้วว่า การเห็นคุณค่าของตัวเองนั้นไม่ผิด
และเป็นเรื่องชอบธรรมที่ควรทำ
แต่อย่าให้มันลุกลามถึงขนาดทำให้เรากลายเป็นคนหลงตัวเอง
เพราะคนหลงตัวเองก็คือคนแพ้ตัวเอง
คนที่แพ้ตัวเองก็คือคนที่แพ้ทุกสิ่งทุกอย่าง
ชนะคนเป็นแสนล้าน
ถ้าแพ้ตัวเองเสียแล้วก็เป็นอันจบเห่