เหตุผลที่คุณไม่ควรเป็นหนี้
เมื่อพูดถึงคำว่า หนี้ แน่อนว่าคงไม่มีใครอยากเป็นหนี้ แต่ในปัจจุบัน ความจำเป็นในการดำรงชีวิตที่เพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นราคาสินค้า ค่าอาหาร ค่าเดินทาง ฯลฯ รวมไปถึงสิ่งรอบ ๆ ตัวที่ล่อตาล่อกิเลส ก็อาจทำให้รายได้ไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายจนเกิดเป็นหนี้ขึ้นได้
แม้ว่าหนี้จะกลายเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับผู้คนในยุคปัจจุบันก็จริง แต่ก่อนที่เราจะเป็นหนี้อะไรสักอย่าง อยากให้เราหยุดคิดสักนิดว่า ที่เราต้องเป็นหนี้นั้น เป็นความจำเป็น หรือเป็นเพราะนิสัยการใช้เงินที่เกินตัวของเรากันแน่
- หา 100 ใช้ 50 ที่เหลืออีก 50 นำไปแบ่งส่วนหนึ่งเก็บออม อีกส่วนนำไปลงทุน นิสัยแบบนี้จะทำให้เรากลายเป็นเศรษฐีเงินล้านได้แบบสบาย ๆ
- หา 100 ใช้ 80 ที่เหลืออีก 20 นำไปเก็บออม นิสัยแบบนี้ก็ทำให้เรามีความมั่นคงเรื่องการเงินและมีโอกาสรวยได้เช่นกัน
- หา 100 ใช้ 90 ที่เหลืออีก 10 เป็นเงินออม การออมเพียงแค่ 10% ของรายได้เช่นนี้ จะทำให้เราทำได้ดีที่สุดก็เป็นเพียงคนชั้นกลางเท่านั้น
- หา 100 ใช้ 100 หมดเกลี้ยงไม่มีเหลือเก็บ นิสัยแบบนี้ถึงแม้ไม่มีหนี้แต่ก็หาได้มั่นคงไม่ เพราะไม่มีเงินสำรองไว้สำหรับกรณีฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ และตอนนั้นเองที่เราอาจจำเป็นต้องก่อหนี้
- หา 100 ใช้ 120 อันนี้เป็นนิสัยที่เริ่มสร้างปัญหาให้แก่ชีวิตเสียแล้ว เพราะเราจะต้องเป็นหนี้ไปตลอดหากเรายังไม่ปรับเปลี่ยนวินัยในการใช้จ่าย
- หา 100 ใช้ 120 ยังไม่พอ ยังหยิบยืมเงินจากคนอื่นอีก อันนี้เรียกว่าเป็นหนี้แล้วยังไม่รู้ตัว ยังไม่รู้จักพอ หากไม่เปลี่ยนนิสัย ถึงวันหนึ่งคุณต้องกลายเป็นคนล้มละลายอย่างแน่นอน
ลองพิจารณาแบบไม่เข้าข้างตัวเองว่า คุณเป็นคนใช้เงินอย่างไร เมื่อเรายอมรับว่านิสัยการใช้เงินของเราเป็นแบบไหน เราจึงจะพอเห็นภาพอนาคตว่าทางเดินชีวิตของเราจะจบเช่นไร
หนี้จะกลายเป็นปัญหาใหญ่ในชีวิตหากเราไม่หมั่นสังเกตสัญญาณเตือนสถานะการเงินของตัวเอง ทำให้กว่าจะรู้ตัวปัญหาหนี้ก็กลายเป็นปัญหาใหญ่ทับถมจนเอาตัวไม่รอด
พฤติกรรมของการเกิดหนี้ มี 3 ขั้นตอน ดังนี้
- ขั้นที่ 1 เริ่มขัดสน สัญญาณเตือนเริ่มแรก คือ รายได้ไม่พอค่าใช้จ่าย หนี้บัตรเครดิตหรือหนี้อื่น ๆ เริ่มมีการจ่ายแค่เพียงขั้นต่ำเท่านั้น แต่ยังไม่เป็นปัญหาใหญ่เพราะยังพอจะหมุนเงินได้ทัน
- ขั้นที่ 2 ทนจ่าย เมื่อเริ่มขัดสนเรื่องเงินแต่เรายังไม่สังเกตและเปลี่ยนแปลงตัวเอง ยังคงใช้จ่ายโดยไม่มีการวางแผนการเงิน ชีวิตก็จะดำเนินมาถึงขั้นที่ 2 คือ เริ่มจ่ายหนี้ขั้นต่ำต่อเนื่องหลายเดือน บางเดือนอาจมีจ่ายช้าหรือขาดส่ง ทำให้นอกจากจะมีดอกเบี้ยแล้ว ยังมีค่าปรับต่าง ๆ และที่เพิ่มเติมเข้ามาในชีวิตคือสายโทรศัพท์จากเจ้าหนี้นั่นเอง
- ขั้นที่ 3 กระหายเงินกู้ สุดท้ายเมื่อปัญหาเรื่องเงินกลายเป็นปัญหาใหญ่ เงินหมุนไม่ทันก็จะต้องเริ่มกู้เงินเพื่อเอาเงินมาจ่ายหนี้ให้พ้นเป็นเดือน ๆ ไป ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันก็เริ่มจะไม่มีเพราะหนี้พอกพูน ต้องกู้เงินจากหลายแหล่งเพื่อโปะหนี้ไปมาจนบางครั้งต้องหันไปพึ่งหนี้นอกระบบ
อ่านถึงบรรทัดนี้แล้ว ทุกคนอาจคิดเหมือนกันว่า ชีวิตที่ไม่มีหนี้น่าจะเป็นชีวิตที่ดีกว่า สิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เราไม่เป็นหนี้ได้ คือ การวางแผนการใช้จ่ายเงินด้วยการจดบันทึกรายรับรายจ่าย ไม่ว่าจะใช้ปากกากับกระดาษ หรือจะใช้วิธีไฮเทคอย่างการใช้แอปพลิเคชันช่วยบันทึก การจดบันทึกรายรับรายจ่ายเป็นวิธีเดียวเท่านั้นที่จะทำให้เรารู้ว่าในเดือนหนึ่ง ๆ นั้นเราจ่ายอะไรออกไปบ้าง และเป็นสิ่งจำเป็นหรือไม่จำเป็นอย่างไร
หลังจากที่จดบันทึกรายจ่ายในแต่ละเดือนไว้แล้ว ก็ให้นำมาแยกประเภทเป็น 3 ประเภทย่อย คือ ค่าใช้จ่ายเพื่อการออมและลงทุน ค่าใช้จ่ายคงที่ เช่น ค่าเช่าบ้าน ค่าผ่อนรถ ค่าเบี้ยประกัน ฯลฯ และค่าใช้จ่ายผันแปร เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ค่าอาหาร ค่าเสื้อผ้า ค่าเดินทาง ฯลฯ ค่าใช้จ่ายส่วนที่เราสามารถประหยัดได้มากที่สุดเพื่อไม่ให้เป็นหนี้ คือ ค่าใช้จ่ายผันแปร เช่น ค่าอาหารแพง ๆ เสื้อผ้าฟุ่มเฟือย เงินที่ใช้เที่ยวเตร่ เป็นต้น
แต่หากเราพยายามประหยัดค่าใช้จ่ายมากที่สุดแล้ว แต่เงินก็ดูเหมือนจะไม่พอใช้ มีอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยได้ คือ การหารายได้เสริมนั่นเอง ลองพิจารณาเปลี่ยนงานที่ทำให้มีรายได้เพิ่มมากกว่าเดิม หรือหางานพิเศษอย่างอื่นทำบ้าง ถ้ารู้จักวางแผนการเงินด้วยการจดบันทึกรายรับรายจ่าย รู้จักประหยัด หลีกเลี่ยงค่าใช้จ่ายไม่จำเป็น และหาช่องทางสร้างรายได้เพิ่ม ก็สามารถมั่นใจได้ว่า ชีวิตของเราจะปลอดหนี้อย่างแน่นอน
ที่มา : Shopsmart Finance