ทำไม หญิงยุคสมัยก่อน ถึงไม่ใส่เสื้อ
การเปลือยอกของผู้หญิงในช่วงร้อยปีเศษๆ นั้นสามารถหาดูได้จากภาพถ่ายเก่าสมัยรัชกาลที่ 4-5 ภาพเขียนลายเส้นประกอบหนังสือของนักผจญภัยชาวยุโรป รวมทั้งจิตรกรรมฝาผนังตามวัดต่างๆ ที่หลงเหลืออยู่มากมาย
ทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่เป็นเครื่องยืนยันว่าผู้หญิงสยามในอดีตนั้นไม่ว่าอยู่ในภูมิภาคไหน ภาษาชนเผ่าชาติพันธุ์ใด ไพร่ชาวบ้านหรือพวกผู้ดีแปดสาแหรก ไปจนถึงสนมในรั้วในวัง แทบไม่มีใครได้สวมเสื้อแน่นอน
นอกจากอากาศจะร้อนร้ายแล้ว การเปลือยนมเดินโทงเทงยังถือว่าเป็นเรื่องธรรมชาติ เต้านมเป็นแค่เพียงอวัยวะส่วนหนึ่งของร่างกาย จะใหญ่จะเล็กจะยานเท้งเต้ง หัวนมดำหัวนมแดง ไม่ใช่เรื่องปมด้อยหรือปมเขื่องที่ต้องไปเสริมอึ๋มจนซิลิโคนเล่นงานกลายเป็นมะเร็งตามที่เป็นข่าวฮ็อต
ในทางตรงข้าม การเปิดนมกลับเอื้อประโยชน์ ใช้เป็นสัญลักษณ์สื่อให้ผู้ชายรู้ว่า หากเต้าไหนยังเป็นบัวตูม แสดงว่าฉันยังเอ๊าะอยู่นะจ๊ะ หรือเต้าไหนใหญ่เบ้อเร่อเบ้อร่า หากยังโสดก็อาจเนื้อหอมหน่อย เพราะแสดงว่าน่าจะเป็นแม่พันธุ์ที่ดีมีน้ำนมอุดมสมบูรณ์เลี้ยงลูกเต้าได้เป็นโหล เต้าไหนหย่อนคล้อยก็แสดงว่ามีลูกมีผัวแล้ว ก็แค่นั้น
ในเมื่อทุกคนต่างเปิดนมกันทั่วบ้านทั่วเมืองให้เห็นกันจะๆ แบบนี้ จนกลายเป็นเรื่องปกติ แสดงว่าคนยุคโบราณย่อมไม่ได้มองหน้าอกหน้าใจว่าเป็นเครื่องเย้ายวนกามารมณ์ และใช่เพียงแค่ผู้หญิงชาวอุษาคเนย์เท่านั้น หากมันยังเป็นวิถีชีวิตของชาวพื้นเมืองทั่วเอเชีย แอฟริกา อเมริกาใต้ อีกด้วย
กระทั่งถึงยุคพระนางเจ้าวิกตอเรียราชินีแห่งอังกฤษนี่แหละ ความคิดที่รู้สึกขยะแขยงอวัยวะส่วนที่เรียกว่าหัวนมนั้นพวยพุ่งขึ้นจนแทบจะปรี๊ดแตก ภายใต้คำว่า “สุภาพสตรีชั้นสูง” ต้องรู้จักรักนวลสงวนนม การปกปิดทรวงอกเริ่มแพร่หลาย ถึงขั้นออกกฎหมายให้พสกนิกรบ่าวไพร่สวมเสื้อกันถ้วนหน้า
หากใครไม่ปฏิบัติตาม ก็ถือว่าป่าเถื่อน ลามกอนาจาร!
ความคิดนี้ข้ามน้ำข้ามทะเลเข้ามาสู่ราชสำนักสยามในสมัยรัชกาลที่ 4 ยุคที่อังกฤษกำลังล่าอาณานิคมแถบเอเชีย เลดี้ทั้งหลายที่เป็นหม่อมห้ามนางในสมัยก่อนอาจห่มผ้าสไบผืนน้อยปกปิดเนินถันกัน แม้ไม่มิดชิดนัก คือพอเห็นเต้าวับๆ แวมๆ อยู่บ้าง ก็ต้องพลอยพยักเพยิดสวมเสื้อยุโรปแขนหมูแฮมระบงระบายลูกไม้ตั้งแต่คอปกเสื้อยันข้อมือกันอย่างประดักประเดิด ดูอย่างไรก็ไม่เข้ากันเลยสักนิดกับทรงผมดอกกระทุ่มที่ตัดสั้นจู๋ระต้นคอ คล้ายกับเอาเด็กนักเรียนที่ไว้ผมบ็อบติดกิ๊บปิ๊กแป๊กที่เราเรียกว่าทรงเด็กหญิงสมศรีไปใส่ชุดดรัมเมเยอร์ไม่มีผิด
บันทึกของ คาร์ล บ็อก นักธรรมชาติวิทยาชาวนอร์เวย์ที่เดินทางมาสำรวจแผ่นดินสยาม ในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้กล่าวถึงเหตุการณ์สะเทือนขวัญ ว่ามีผู้หญิงล้านนาคนหนึ่งถูกข่มขืนทารุณโดยขุนนางชาวสยาม เหตุเพราะไม่สวมเสื้อ คาร์ล บ็อก ใช้มุมมองแบบคนตะวันตกยุควิกตอเรียสรุปว่า จากนั้นมาสตรีล้านนาจำต้องป้องกันตัวเองให้พ้นจากบุรุษภัยด้วยการสวมเสื้อ
ค่านิยมเรื่องการปิดท่อนบนของสตรีสยามค่อยๆ ลุกลามจากกรุงเทพฯ สู่ชนบท จากราชสำนักสู่ชาวบ้าน ไม่นานเลยแค่เปลี่ยนยุคสมัยจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์สู่ยุคราชาธิปไตยชาตินิยม เผลอแผล็บเดียวความคิดนี้ได้กลายเป็นจารีตที่รับใช้อำนาจเผด็จการ เอะอะอะไรก็สั่งให้ปิดลูกเดียว ทั้งปิดหู ปิดตา ปิดปาก ห้ามแสดงออก ไปจนถึงปิดหัวนม
ค่านิยมว่าหัวนมคือเรื่องต้องห้ามและน่าอับอายทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเข้าสู่ยุคการสร้างภาพลักษณ์ของความเป็นกุลสตรีไทยผู้เรียบร้อยและแสนดี ในยุคที่พลตรีหลวงวิจิตรวาทการกำลับดูแลกระทรวงวัฒนธรรม ขึ้นชื่อว่าเกิดมาเป็นสตรีศรีสยามแล้วต้องรักนวลสงวนตัว ไม่นุ่งกางเกงขาสั้น เปิดเอวเปิดไหล่ชะเวิบชะวาบ หรือใส่เสื้อคอลึกเห็นร่องอก อย่าไปเอาอย่างพวกฝรั่งมังค่าเขา
อ้าว! ไหนกลายเป็นซะงั้น ก็เพิ่งบอกอยู่หยกๆ มิใช่หรือว่าเราเอาวัฒนธรรมการสวมเสื้อมาจากตะวันตก ช่างกระไรนี่! พอสิ่งใดที่คิดว่าไม่ดีกลับโทษฝรั่งอีก ทีจุดเริ่มต้นของความหวงแหนหัวนมนั้นฝรั่งเขาเป็นต้นคิดแท้ๆ แต่เรากลับไม่ให้เครดิต แกล้งมาทำเนียนว่าเป็นธรรมเนียมไทยแท้แต่โบราณ
ครั้นพอฝรั่งสายมะริกันนึกเบื่อจารีตอันคร่ำครึของผู้ดีอังกฤษ จึงลุกขึ้นมาขบถ แก้ผ้าแก้ผ่อนย้อนยุคกลับไปเหมือนกับสาวอุษาคเนย์ในอดีตบ้าง แทนที่จะมองว่านี่คือสัจธรรมแห่งการตีย้อนกลับของกระแสวัฒนธรรม ที่เมื่อเดินทางมาถึงจุดอิ่มตัวเดินต่อไปไม่ไหวแล้วก็มักสวิงกิ้งกลับไปสู่ขั้วตรงข้ามเสมอ
ก็ใครจะไปทนไหวเล่า กับกฎเกณฑ์ของผู้ดีตะวันตกที่ขีดเส้นให้สุภาพสตรีสูงศักดิ์ ต้องสวมชุดรัดเอวกิ่วคอดผูกเชือกแน่นกับกระโปรงสุ่มไก่ทั้งหนักทั้งบานขนาดนั้น หวังว่ายังจำนางเอกหนังเรื่องไททานิกกันได้นะ
คือคนไทยแยกไม่ออกระหว่างวัฒนธรรมต้นแบบของการสวมเสื้อกับวัฒนธรรมเปลื้องผ้า ว่าอันไหนเป็นของเราอันไหนเป็นของฝรั่ง เวลาจะบริภาษจึงด่าแบบผิดฝาผิดตัว เรามักคิดว่าเราขี้อายเป็นผู้ดีแต่ฝรั่งหน้าด้าน
แท้จริงแล้วกลับตาลปัตรกัน เรานั่นแหละที่เป็นสุดยอดแห่งความโป๊เปลือยตัวแม่ ในขณะที่ฝรั่งเพิ่งจะกล้าเดินตามรอยเราเมื่อไม่นาน
ที่มาบทความดี.คอม