ครั้งหนึ่งในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ทหารญี่ปุ่นเกือบ 500 นายถูกฆ่าตายอย่างทรมานโดย"จระเข้น้ำเค็ม"
เกาะ Ramree เป็นเกาะที่ตั้งอยู่นอกชายฝั่งของพม่า และในปี 1942 ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เกาะแห่งนี้ก็ถูกยึดครองโดยกองทัพจักรวรรดิของญี่ปุ่น มันเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในการทำสงครามเลยทีเดียว
หลังจากที่อังกฤษรู้ข่าวก็นำทหารเข้าโจมตีเพื่อยึดเกาะกลับมา โดยกองทัพของอังกฤษขับรถอยู่บริเวณป่าชายเลนห่างไปจากเกาะประมาณ 10 ไมล์ เพื่อทำการขับไล่ทหารญี่ปุ่นออกจากเกาะ
แต่ทหารญี่ปุ่นไม่จอมจำนนจึงพากันวิ่งหนีเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในป่าพรุ มีทหารจำนวนมากป่วยเป็นโรคเพราะถูกยุงในป่าพรุกัด ทั้งยังมีสัตว์มีพิษอีกจำนวนมากทั้งงูพิษ แมงป่อง และแมงมุม ที่สำคัญทหารญี่ปุ่นยังขาดน้ำและอาหารอีกด้วย แต่นี่ยังไม่ใช่ที่สุดเพราะภัยคุกคามที่น่ากลัวรอพวกเขาอยู่ในหนองน้ำที่ป่าชายเลน
ต่อมาหลังจากที่ขับไล่ทหารญี่ปุ่นไปได้ ทหารอังกฤษก็ได้ยินเสียงกรีดร้องและเสียงยิงปืนของทหารญี่ปุ่นในช่วงเวลากลางคืน
ซึ่งทหารญี่ปุ่นที่เข้าไปซ่อนตัวบริเวณหนองน้ำของเกาะนั้น ไม่เคยทราบมาก่อนเลยว่าบริเวณนั้นมี "จระเข้น้ำเค็ม" อาศัยอยู่ชุกชุมจนถูกขนานนามว่า "เกาะจระเข้กินคน"
โดยเจระเข้น้ำเค็มนั้นเป็นสัตว์นักล่าเลื้อยคลานที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกเลยทีเดียว มันมีขนาดตัวยาวถึง 20 ฟุตและมีน้ำหนักประมาณ 2,200 ปอนด์ ทั้งมันยังสามารถฆ่ามนุษย์ได้อย่างง่ายดายอีกด้วย
ปรากฎว่าครั้งนั้นทหารญี่ปุ่นเสียชีวิตไปหลายร้อยนายเพราะถูกจระเข้น้ำเค็มโจมตี จาก 1,000 คนเหลือรอดชีวิตเพียง 520 เท่านั้น นับว่าเป็นการโจมตีที่ร้ายแรงมากเพราะทหารญี่ปุ่นต้องเสียกำลังไปกว่าครึ่งเลยทีเดียว