เอเวอเรสต์ อนุสรณ์ร่างไร้วิญญาณของนักปีนเขา กว่า 200 ศพ.
เอเวอเรสต์ อนุสรณ์ร่างไร้วิญญาณของนักปีนเขา กว่า 200 ศพ.
เมื่อพูดถึงยอดเขาที่สูงที่สุดในโลก ทุกคนต้องนึกถึงยอดเขาเอเวอเรสต์ ในเทือกเขาหิมาลัย พรมแดนประเทศเนปาลและทิเบต ซึ่งมีความสูงกว่า 8,844.43 เมตร (29,017 ฟุต) สถานที่ที่นักปีนเขาหลายต่อหลายคนใฝ่ฝันที่จะต้องพิชิตยอดเขาให้ได้
"ยอดเขาเอเวอเรสต์" ชื่อยอดเขาตั้งตามชื่อของนายพลนักสำรวจชาวอังกฤษชื่อ "จอร์จ เอเวอเรสต์" (George Everest) ซึ่งมาปฏิบัติงานในอินเดียราวช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ส่วนผู้ที่พิชิตยอดเขานี้ได้สำเร็จเป็นคณะแรกคือ "เซอร์เอ็ดมันด์ ฮิลลารี " (Sir Edmund Hillary) ชาวนิวซีแลนด์ และ "เตนซิง นอร์เก" (Tenzing Norgay)
ชาวเชอร์ปา เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 1953 นับจากนั้นก็ได้มีผู้พิชิตยอดเขานี้ได้สำเร็จอีกเป็นจำนวนมากสำหรับประเทศไทยนั้น คนไทยคนแรกที่สามารถพิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์ได้ก็คือ นายวิทิตนันท์ โรจนพานิช ครีเอทีฟรายการโทรทัศน์ และผู้กำกับภาพยนตร์ นายวิทิตนันท์สามารถปีนยอดเขาเอเวอร์เรสต์สำเร็จพร้อมกับนักปีนเขาชาวเวียดนาม 3 คนแรก เมื่อ ปี พ.ศ. 2551
เรื่องราวของผู้พิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์ของนักปีนเขาแต่ละท่านย่อมเป็นที่น่าตื่นตาตื่นใจ เพราะกว่าจะปีนขึ้นไปได้นั้นต้องผ่านอุปสรรคมากมาย ความท้าทาย และเรื่องเสี่ยงตายสุดๆ ไม่ว่าจะเป็นพายุหิมะ หรือ ความหนาวเย็น เรื่องราวของผู้พิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์ยังมีให้เห็นอยู่เรื่อยๆ แต่วันนี้จะมาเล่าให้ฟังถึงเรื่องราวอีกด้านของบุคคลกลุ่มหนึ่งที่ไม่สามารถไปถึงจุดสูงสุดของยอดเขาได้มีคนมากกว่า200คนที่ต้องสังเวยชีวิตในความพยายามที่จะพิชิตยอดเขาแห่งนี้
สาเหตุการตาย นั้นมีมากมาย ทั้งอากาศบนยอดเขา การตกเขา รอยแยกของน้ำแข็งแบบเฉียบพลันช็อคจากการที่มีอ๊อกซิเจนน้อยเกินไป หินถล่ม หรือแม้แต่สภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงได้ในทุกนาทีโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ลมที่สามารถพัดแรงขึ้นจนถึงระดับเฮอริเคนซึ่งสามารถพัดนักปีนเขาให้ร่วงไปสู่เหวข้างล่าง อ๊อกซิเจนที่ต่ำลงทำให้นักใต่เขาเริ่ม หายใจลำบาก
ส่งผลให้มีอากาศไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลานอนหลับ ปฏิกริยาของร่างกายจะค่อยๆช้าลงๆ จนไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย นอกจากเหตุร้ายทั้งหมดนี้ หากไปถามบรรดานักปีนเขาที่เคยเผชิญกับความสูงระดับ 29000ฟุต เขาถึงจะสามารถบอกคุณได้ว่ามีอุปสรรคมากมายเพียงใด โดยเฉพาะร่างไร้วิญญาณสภาพสมบูรณ์เพราะถูกปกป้องด้วย
สภาพอากาศอันหนาวเหน็บ ตลอดทางขึ้นสู่ยอดเขาเป็นเครื่องเตือนความจำได้ดี
ศพส่วนมากนั้นจะอยู่ในสภาพอากาศที่หนาวเย็นจึงมีสภาพที่ค่อนข้างสมบูรณ์ ในบางครั้งสาเหตุการตายของผู้คนเหล่านั้นไม่อาจระบุได้เพราะบางคนตายแม้แต่ตอนที่กำลังหายใจ ในสภาวะที่ทุกย่างก้าวคือการต่อสู้ การช่วยชีวิตคนที่ตายหรือกำลังจะตายนั้นจะมีการทำในทุกทางแต่ถ้าหากคุณตายแล้วนั้นการกู้ศพถือเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
ร่างคนตายจะกลายเป็นหนึ่งในภูมิประเทศ หรือเหมือนอย่างที่หลายๆร่างกำลังเป็นคือ จุดสนใจแก่คนรุ่นหลังที่ผ่านไป อย่างที่กล่าวไว้ในตอนแรกคือมีกว่า200ร่างในระหว่างทางที่คุณจะพิชิตยอดเขาที่สูงที่สุดในโลกแห่งนี้
รูปแรก George Mallory เสียชีวิตในปี1924 และเป็นคนแรกที่พยายามขึ้นสู่ยอดเขาที่สูงที่สุดในโลก ร่างของเขายังอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ เมื่อมีการค้นพบในปี 1999
รูปสองเป็นสภาพศพของนาย David Sharp ที่ยังอยู่ในสภาพเดิมภายในถ้ำที่รู้จักกันในชื่อ "กรีน บู้ท" (Green boots cave)บนยอดเชาเอเวอเรสต์ เดวิดได้เดินทางมาเพื่อพิชิตยอดเขาเอเวอร์เรสต์เมื่อปี 2548 เขาหยุดนั่งเพื่อพักผ่อน(ที่นี่ตลอดกาล)ร่างกายของเขานั้นเริ่มแข็งตัวทำให้ไม่สามารถเคลือนไหวได้ นักปีนเขากว่า 30 คนที่ผ่านถ้ำนี้ไปคิดว่าเดวิดนั้นเสียชีวิตไปแล้ว
จนกระทั่งมีบางคนได้ยินเสียงโหยหวนด้วยความเจ็บปวดถึงได้รู้ว่าเดวิดนั้นยังมีชีวิตอยู่ พวกเขาจึงหยุดเพื่อสอบถามอาการของเดวิด ซึ่งขณะนั้นเขาก็ยังสามารถสื่อสารและบอกชื่อตัวเองได้ หากแต่ไม่สามารถเคลื่อนไหวไปมาใกล้
นักปีนเขาผู้กล้าหาญได้พยายามที่จะพาร่างของนายเดวิดออกไปให้สัมผัสกับแสงแดด แต่ไม่สามารถทำได้เลย จึงจำเป็นต้องปล่อยให้เดวิดรอความตายอยู่ในท่านั้น ปัจจุบันนี้ร่างของเดวิดยังคงอยู่ในถ้ำและเป็นเสมือนกับจุดนำทางให้กับนักปีนเขาคนอื่นๆ เพื่อชี้ให้เห็นว่าพวกเขาใกล้พิชิตยอดเขาแล้ว
รูปสาม"Green Boots : ชายบู้ทเขียว" (นักปีนเขาชาวอินเดีย เสียชีวิตเมื่อปี พศ 2539) ใกล้ๆ กับถ้ำที่นักปีนเขาทุกคนต้องผ่านเพื่อไปถึงยอดเขาเอเวอเรสต์ กรีนบู้ท และก็เป็นจุดสำคัญอีกหนึ่งจุดเพื่อให้นักปีนเขาทราบว่าพวกเขาอยู่ใกล้กับยอดเขาแค่ไหน เมื่อปี 2539
ชายบู้ทเขียวท่านนี้แยกกับเพื่อนๆ นักปีนคนอื่นๆ และได้หาที่หลบพัก เขาได้นั่งอยู่ที่ถ้ำนั้น ร่างกายหนาวสั่นจนเสียชีวิต และลมก็ได้พัดร่างของเขาจนมาอยู่ในบริเวณใกล้ๆ กับถ้ำนั้นรูปสี่ หญิงสาวชาวอเมริกันท่านนี้เสียชีวิตขณะปีนเขากับเพื่อนๆ (สามีของเธอก็เสียชีวิตด้วยเช่นกัน) ขณะที่กำลังปีนเขาอยู่นั้นสามีของเธอสังเกตุเห็นว่าภรรยาตัวเองไม่ได้อยู่ในกลุ่ม และเขาก็รู้ว่าตัวเองมีออกซิเจนเหลือในถังไม่เพียงพอที่จะกลับไปยังฐานที่พัก
แต่เขาก็เลือกจะไปตามหาภรรยาของเขา ซึ่งไม่นานเขาก็เสียชีวิตระหว่างที่ปีนลงมา เพื่อนๆ นักปีนเขาอีก 2 คนนั้นสามารถตามหาฟรานซิสได้สำเร็ต แต่การที่จะพาร่างของเธอไปด้วยนั้นเป็นเรื่องที่ไม่สามารถทำได้ พวกเขาจึงอยู่กับเธอจนวินาทีสุดท้ายของชีวิตเธอ
หลังจากนั้น 8 ปี พวกเขาได้กลับมาที่ยอดเขาเอเวอเรสต์อีกครั้งเพื่อตามหาศพของเธอ และก็ได้นำธงชาติสหรัฐคลุมร่างไร้วิญญาณของเธอ
นอกจากนี้ยังร่างของนักปีนเขาที่เสียชีวิตอีกมากมายที่มีให้เห็นตลอดระยะทางพิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์ ซึ่งแต่ละศพก็จะอยู่ในสภาพเดิมโดยไม่มีการเคลื่อนย้ายแต่อย่างใด
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=1722856791303006&set=pcb.1705779209695948&type=3&theater