เด็กหนุ่มสู้ชีวิต ที่ทําให้คุณต้องทึ่ง
เด็กหนุ่มคนหนึ่ง เกิดมาในครอบครัวที่ยากแค้นแสนสาหัส พ่อติดเหล้า แม่ขี้เมา แยกทางกันตั้งแต่เขาเพิ่งจบประถมปลาย เขาไม่เพียงเรียนรู้ที่จะยืนอยู่บนลำแข้งของตน ทำงานเลี้ยงตัวเองตั้งแต่สิบขวบเศษเท่านั้น แต่ยังเรียนรู้ว่า หากจะมีชีวิตที่ดีกว่า จะต้องพาชีวิตตัวเองไปอย่างไร
นั่นทำให้เขาเลือกที่จะใช้ชีวิตตามลำพังในเพิงมุงสังกะสีกลางสวนยางพารา ที่ไม่เพียงแต่ไม่มีไฟฟ้าเท่านั้น แต่แม้แต่ฝาผนัง มุ้ง หรือโอ่ง ไห สักใบก็ยังไม่มี ทว่าสิ่งที่เขามีอย่างเต็มที่ก็คืออิสระภาพที่จะพาตัวเองไปตามที่จิตสำนึกฝ่ายดีใฝ่ฝัน
เขาใช้เวลาแปดเดือนในแต่ละปี รับจ้างกรีดยางพารา แบ่งรายได้ที่เล็กน้อยส่วนหนึ่งส่งตัวเองเรียนกศน.ในวันเสาร์ อาทิตย์ ทั้งหลักสูตรสามัญและวิชาชีพตัดผม อีกส่วนหนึ่งเข้าร้านเน็ต ค้นคว้าความรู้ด้านอิเลคโทรนิคส์ด้วยตัวเอง ที่กระท่อมของเขา ขณะที่เขาหุงข้าวด้วยไม้ฟืนจากหลุมบนดิน กินกับเห็ดกับผักหญ้า ปูปลาที่หาจากในป่าในทุ่ง ปลดทุกข์ในป่า อาบน้ำท่าในบึง เด็กหนุ่มอาชีพกรีดยางคนนี้ ไม่เพียงสามารถเขียนวงจรอิเล็คโทรนิคส์เองได้ เขายังทำแผงโซลาร์เซลล์ผลิตกระแสไฟฟ้าเก็บลงแบตเตอรี่ไว้ชาร์จโทรศัพท์เล่นเฟสบุค ยามฝนตกเขายังสามารถผลิตไฟฟ้าพลังไอน้ำที่ต้มจากหลุมบนดิน ทดลองทำแก๊สที่ผลิตจากการหมักข้าวในขวดน้ำอัดลม แล้วส่งไปเก็บไว้ในยางรถยนต์ เป็นพลังงานสำรอง บัดกรีวงจรอิเลคโทรนิคส์ด้วยการเผาลวดทองเหลืองด้วยไม้ฟืนแทนการใช้หัวแร้ง ฯลฯ
ในวันที่มีผู้สะท้อนความจริงว่า ระบบการศึกษาที่ล้มเหลว ผลิต
คนรุ่นใหม่ที่ทำข้อสอบพอได้ แต่
สอบตกอีคิว ทำงานไม่เป็น ไม่มีความอดทน และขาดความรับผิดชอบ(นอกจากต่อตัณหาของตัวเอง) น่าคิดว่า อะไรที่ทำให้เด็กหนุ่มผู้มีแต่ความขาดและอัตคัตขัดสน จึงเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยอิทธิบาท4 เชี่ยวชาญทั้งวิชาการใช้ชีวิต วิชาชีพ วิชาช่าง รวมทั้งนวัตกรรมล้ำยุค และที่สำคัญคือคิดเป็น
นอกจากเขาจะเจียดเงินอีกส่วนหนึ่งเก็บไว้เดินทางท่องเที่ยว เปิดโลกหลังปิดหน้ายางในแต่ละปี โดยติดป้ายให้บริการตัดผมฟรีไปตลอดเส้นทางแล้ว เขายังตอบคำถามที่ถามว่า
ทนดักดานอยู่กับสภาพแบบนี้ทำไมว่า เขาไม่ได้ทุกข์ยากอะไร เพราะใจเขาสุขสบายดี ไม่มีใครบังคับ แต่ในวันที่เขาทุกข์ใจ ซมซานมา เจ้าของสวนยางแห่งนี้โอบอุ้มและอุปการะเขา เขารู้ดีว่าตอนนี้เขาควรจะทำอะไร