ตำนานรัก ผาแดง - นางไอ่ : โรแมนติกตำนาน "รบเพื่อรัก"
หนองหาน หนองน้ำกว้างใหญ่ในอำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี และมีพื้นที่กว้างไกลสุดสายตากว่า 22,500 ไร่ ได้ชื่อว่าเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำสำคัญที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองไทย และถ้ามาเที่ยวในช่วงเดือนตุลาคม- มีนาคม จะได้เห็นบัวแดงน้อยใหญ่ออกดอกบานสะพรั่งละลานตาสวยงามไปทั่วเวิ้งน้ำ แต่ความงดงามของทะเลบัวแดงแห่งนี้ ใต้ผืนน้ำยังมีตำนานพื้นบ้านที่เล่าขานถึงเรื่องราวความรักระหว่างหนึ่งหญิงสองชาย เป็นฉากหนึ่งในตำนานเรื่องนี้
- ตามตำนานเล่าขานสืบต่อกันมา มูลเหตุที่ทำให้เกิด "หนองหาน" มีเรื่องราวเกี่ยวพันกับวรรณคดีพื้นบ้านอิสานเรื่องผาแดง - นางไอ่ ตำนานรักอันลึกซึ้งของหนึ่งหญิงสองชาย เมื่อฝ่ายหนึ่งพลาดรักและถูกทำร้ายจนถึงแก่ความตาย ก็กลายเป็นสงครามทำให้บ้าน
เมืองถล่มทลาย กลายเป็นหนองน้ำใหญ่ และวรรณคดีอิสานเรื่องนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของบุญบั้งไฟ วัฒนธรรมประเภณีที่ยิ่งใหญ่ขึ้นชื่อลือชาของชาวอิสานมาแต่บรรพกาล
- "พญาขอม" ผู้ครองเมืองเอกชะทีตา มีธิดานางหนึ่งชื่อ "นางไอ่" หรือนางไอ่คำ เป็นหญิงที่มีรูปร่างหน้าตางดงาม ซึ่งจะหาสาวงามนางใดในสามภพมาเทียบมิได้ ความงดงามของเธอเป็นที่เลื่องลือไปทั่วแดนไกล เจ้าชายหลายหัวเมืองต่างหมายปองอยากได้มาป็นคู่ครอง
- "ท้าวผาแดง" เจ้าชายเมืองผาโพง ทราบข่าวลือถึงศิริโฉมอันงดงามของนางไอ่ ก็เกิดความหลงใหลไฝ่ฝันในตัวนาง จึงวางแผนทอดสัมพันธไมตรีด้วยการส่งแก้วแหวนเงินทองและผ้าแพรพรรณเนื้อดไปฝากนางไอ่ เมื่อมหาดเล็กนำสิ่งของไปมอบให้ แถมยังได้บอกนางไอ่ถึงความสง่างาม องอาจ ผึ่งผายของท้าวผาแดงให้ฟัง เท่านั้นเอง นางไอ่ก็เกิดความสนใจและมอบเครื่องบรรณาการกลับมาฝากท้าวผาแดงเป็นการตอบแทนด้วย
- ก่อนที่มหาดเล็กจะเดินทางกลับนางไอ่ได้ฝากคำเชื้อเชิญท้าวผาแดงซึ่งตั้งทัพรออยู่นอกเมืองให้เข้าพบนางที่วังพญาขอม และคงเป็นด้วยบุพเพสันนิวาส ทำให้รักแรกพบของคนคู่นี้เป็นรักที่จริงใจและจริงจัง
- ฝ่าย "ท้าวพังคี" ลูกชายพญาศรีสุทโธ พญานาคผู้ครองเมืองบาดาล ก็เป็นอีกตนหนึ่งที่มีความไฝ่ฝันอยากยลศิริโฉมของนางไอ่ ทั้งนี้ก็เพราะเป็นเวรกรรมในอดีตชาตินั้นบันดาลให้เป็นไป
- ฝ่ายพญาขอมเห็นว่านางไอ่ก็โตเต็มสาวแล้ว จึงมีสาส์นแจ้งไปยังหัวเมืองน้อยใหญ่ให้ทำบั้งไฟมาจุดแข่งขันกันที่เมืองเอกชะทีตา เพื่อจุดถวายพระยาแถนผู้เป็นใหญ่ในชั้นฟ้าบันดาลให้ฝนตกต้องตามฤดูกาลประการหนึ่ง ส่วนอีกประการหนึ่ง หากบั้งไฟเมืองไหนขึ้นสูงกว่าก็จะได้นางไอ่ธิดาสาวผู้เลอโฉมไปเป็นคู่ครอง
- พญาขอมได้กำหนดวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 เป็นวันงาน ทำให้เจ้าชายเมืองต่างๆทำบั้งไฟหมื่นบั้งไฟแสนมาจุดแข่งขันกันอย่างมากมาย บุญบั้งไฟครั้งนั้นนับเป็นงานบุญที่ยิ่งใหญ่มโหฬาร พอถึงวันงานผู้คนก็หลั่งใหลมาทั่วทุกสารทิศ ทั้งยังมีการแข่งขันตีกลอง ซึ่งคนอิสาน เรียกว่า "เส็งกอง" กันอย่างครึกครื้น หนุ่มสาวต่าง "จ่ายผญา" เกี้ยวพาราสีกันอย่างสนุกสนาน
- บุญบั้งไฟในครั้งนี้ แม้ท้าวผาแดงจะไม่ได้รับสาส์นเชิญให้นำบั้งไฟไปร่วมงานด้วยก็ตาม แต่พญาขอมว่าที่พ่อตา ก็ให้การต้อนรับท้าวผาแดงเป็นอย่างดี
- ฝ่ายท้าวพังคี เจ้าชายเมืองบาดาล ก็อยากมาร่วมงานกับมนุษย์ เพราะต้องการยลโฉมนางไอ่เป็นกำลัง และคิดวางแผนในใจว่า บุญบั้งไฟครั้งนี้ต้องไปให้ได้ แม้บิดาจะทัดทานอย่างไรก็ตาม
จากนั้นก็พาไพร่พลส่วนหนึ่งออกเดินทางขึ้นมาเมืองมนุษย์
- ก่อนโผล่ขึ้นเมืองเอกชะทีตาของพญาขอมผู้เป็นใหญ่ ท้าวพังคีก็พาบริวารแปลงร่างเป็นมนุษย์บ้างสัตว์บ้าง ส่วนท้าวพังคีก็ได้แปลงร่างเป็นกระรอกเผือก ซึ่งชาวอิสานเรียกว่า "กระรอกด่อน" ได้ออกติดตามลอบชมโฉมนางไอ่ในขบวนแห่ของพญาขอม เจ้าเมือง ไปอย่างหลงใหลในความงามของนางไอ่
- การจุดบั้งไฟแข่งขันเป็นไปอย่างสนุกสนาน ทุกคนใจจดใจจ่ออยากรู้ว่าบั้งไฟเจ้าชายเมืองใหนจะชนะและได้นางไอ่ไปครอง ซึ่งการจุดบั้งไฟครั้งนั้น ท้าวผาแดงและพญาขอมมีเดิมพันกันว่า ถ้าบั้งไฟท้าวผาแดงชนะบั้งไฟพญาขอมแล้ว ก็จะยกนางไอ่ธิดาสาวให้ไปเป็นคู่ครอง
- ผลปรากฏว่า บั้งไฟของพญาขอมไม่ยอมขึ้นจากห้าง ส่วนของท้าวผาแดงแตก(ระเบิด)คาห้าง คงมีแต่บั้งไฟของพญาฟ้าแดด เมืองฟ้าแดดสูงยาง และของพญาเซียงเหียนเท่านั้นที่ขึ้นสู่ท้องฟ้านานถึง 3 วัน 3 คืน จึงตกลงมา แต่พญาทั้งสองนั้นมีศักดิ์เป็นอาของนางไอ่ เธอจึงไม่ตกเป็นคู่ครองของใคร
- เมื่อบุญบั้งไฟเสร็จสิ้นลงท้าวผาแดงและท้าวพังคี ต่างฝ่ายต่างกลับบ้านเมืองของตน ในที่สุดท้าวพังคีก็ทนอยู่บ้านเมืองแห่งตนไม่ได้ เพราะหลงใหลในศิริโฉมอันงดงามของนางไอ่จึงพาบริวารย้อนขึ้นมายังเมืองเอกชะทีตาอีก โดยแปรงร่างเป็นกระรอกเผือกอย่างเดิมส่วนที่คอแขวนกระดิ่งทอง ไปเกาะอยู่บนกิ่งไม้ใกล้หน้าต่างห้องนอนของนาง
- เมื่อเสียงกระดิ่งทองดังกังวาลขึ้น นางไอ่ได้ยินก็เกิดความสงสัย จึงเปิดกหน้าต่างออกไปดูเห็กระรอดเผือกน่ารักน่าเอ็นดู นางก็เกิดความพอใจอยากได้ จึงสั่งให้นายพรานฝีมือดีออกติดตามจับกระรอกเผือกให้ได้ แต่จนแล้วจนรอดนายพรานก็จับไม่ได้ นางไอ่เกิดความไม่พอใจขึ้นมาแทนที่ และสั่งให้นายพรานจับมาให้ได้ไม่ว่าจะจับเป็นหรือจับตาย
- นายพรานออกติดตามกระรอกเผือก เริ่มตั้งแต่บ้านพันดอน บ้านน้ำฆ้อง ก็ไม่มีโอกาสจับกระรอกเผือกเสียที จึงไล่ติดตามมาจนถึงบ้านนาแบก บ้านเหล่าหมากบ้า บ้านเหล่าแชแลหนองแวง บ้านเหล่าใหญ่ บ้านเมืองพริก บ้านคอนสาย บ้านม่วง ก็ยังจับไม่ได้
- ในที่สุด ผลกรรมแต่ชาติปางก่อนตามมาทัน เมื่อกระรอกเผือกตัวน้อยหนีนายพรานมาถึงต้นมะเดื่อที่มีผลสุกเต็มต้น เจ้ากระรอกน้อยก็ก้มหน้าก้มตากัดกินลูกมะเดื่อด้วยความหิวโหย นายพรานไล่ตามมาทันก็เกิดความโมโหที่จับเป็นไม่ได้ จึงตัดสินใจจับตาย ด้วยการใช้หน้าไม้อาบยาพิษ ยิงถูกร่างเจ้ากระรอกเผือกเต็มรัก กระรอกเผือกหรือท้าวพังคี รู้ดีว่าต้องตายเป็นแน่ จึงสั่งให้บริวารกลับเมืองบาดาลเพื่อนำเอาความไปเล่าให้บิดาทราบ และก่อนสิ้นใจท้าวพังคีก็แสดงอิทธิฤทธิ์ โดยร่ายมนต์อธิษฐานว่า "ขอให้เนื้อของตนมีมากมาย 8000 เล่มเกวียน มากพอเลี้ยงผู้คนได้ทั้งเมืองอย่างทั่วถึง"
- เมื่อกระรอกเผือกสิ้นใจตาย นายพรานกับพวกนักล่าฝีมือฉกาจ ก็นำเอาร่างของกระรอกเผือกไปชำแหละอาเนื้อที่บ้านเชียงแหว เมื่อนายพรานปาดเอาเนื้อให้ผู้คนทั้งบ้านใกล้บ้านไกลได้กินกัน ก็ปรากฎว่าเนื้อของกระรอกน้อยก็เพิ่มขึ้นมาอย่างทวีคูณ ผู้คนในเมืองต่างพากันกินกระรอกอย่างอิ่มหมีพีมัน ยกเว้นผู้คนที่บ้านดอนแม่หม้ายไม่มีผัว หรือ "บ้านดอนแก้ว" ซึ่งอยู่กลางทุ่งหนองหานเท่านั้น ที่พวกพรานไม่ได้แบ่งปันให้กิน
- ฝ่ายบริวารท้าวพังคีเมื่อกลับถึงเมืองบาดาล ก็เล่าเหตุการณ์ที่ท้าวพังคีถูกนายพรานฆ่าตายให้พญานาคราชผู้เป็นบิดาฟัง บิดาท้าวพังคีทราบแล้วก็เกิดความกริ้วโกรธา สั่งจัดบริวารเป็นริ้วขบวนนาคา ขึ้นไปอาละวาดเมืองพญาขอมให้ถล่มทลายหายแค้น พร้อมประกาศก้องว่า "ใครกินเนื้อลูกภังคีของข้า พวก...อย่าไว้ชีวิต"
- พญานาคพาบริวารออกอาละวาดไปทั่วแดนเมืองเอกชะทีตา เสียงดังครืนๆ ฆ่าผู้คนตายไปอย่างมากมายสุดคณานับ แผ่นดินเมืองพญาขอมก็ล่มทลายลงเป็นหนองหาน ส่วนบ้านดอนแก้วหรือดอนแม่หม้ายแห่งเดียวที่ผู้คนไม่ได้กินเนื้อท้าวพังคี จึงไม่ได้ล่มทลายลงดังที่เห็นในปัจจุบัน
- ขณะที่บ้านเมืองกำลังล่มทลายเพราะอิทธิฤทธิ์ของพญานาคศรีสุทโธอยู่นั้น ท้าวผาแดงก็ขี่ม้าบักสามมุ่งหน้าไปหานางไอ่ ท้าวผาแดงเห็นนาคเต็มไปหมด และได้เล่าเรื่องที่พบเห็นให้นางฟัง แต่นางกลับไม่สนใจ แต่ได้ทำอาหารที่มีกลิ่นหอมหวนเป็นพิเศษมาให้ท้าวผาแดงรับประทาน
- ท้าวผาแดงจึงถามว่า เนื้ออะไร เหตุใดจึงหอมนัก ก็ได้รับคำตอบจากนางว่า "เนื้อกระรอกเผือกนายพรานยิงตายนำมาให้"
- เท่านั้นเอง ท้าวผาแดงก็ทราบในทันทีว่าเป็นเนื้อของท้าวภังคี ลูกชายเจ้าพ่อศรีสุทโธนาค เจ้าเมืองบาดาล จึงไม่ยอมกินอาหาร "ต้องห้าม" ที่นางยกมาให้ พอตกตอนกลางคืนผู้คนกำลังหลับสนิท เหตุการณ์ร้ายก็เกิดขึ้น เสียงครืนๆแผ่นดินถล่มมาแต่ไกล ท้าวผาแดงก็รู้ทันทีว่าเป็นการกระทำของพญานาค จึงคว้าร่างนางไอ่ขึ้นหลังม้าบักสามควบหนีออกจากเมืองอย่างสุดฝีเท้าเพื่อให้พ้นภัย
- แต่นางไอ่ได้กินเนื้อกระรอกกับชาวเมืองด้วย แม้ว่าท้าวผาแดงจะควบม้าคู่ชีพไปทางไหน นาคก็ดำดินติดตามไป แผ่นดินก็ถล่มทลายตามไปด้วย ท้าวผาแดงควบม้าไปทางภูพานน้อยต้นลำห้วยสามพาด เพื่อหนีไปยังเมืองผาโพง พญานาคก็ติดตามอย่างไม่ลดละ และแปลงร่างเป็นขอนไม้ยางขนาดยักษ์ขวางเส้นทางไว้ ม้าบักสามก็กระโดดข้ามอย่างสุดฤทธิ์ สองขาหน้าข้ามขอนไม้ไปได้แต่สองขาหลังคู้ขึ้นมาไม่ข้าม จึงทำให้ม้าเสียหลักล้มพังพาบลง อวัยวะเพศของม้าไปกระแทกกับภูพานน้อยเป็นร่องลึกลงไป และกลายเป็นต้นลำห้วยสามพาดมาตั้งแต่บัดนั้น
- ในที่สุดนางไอ่ก็ถูกพญานาคใช้หางฟาดตกลงจากหลังม้า และพญานาคก็คว้าตัวนางไปต่อหน้าท้าวผาแดง สุดแรงที่จะตามเมียรักกลับคืนมา
- เมื่อท้าวผาแดงกลับไปถึงเมืองผาโพง ก็คิดถึงนางไอ่เมียรัก จนตรอมใจ ข้าวปลาไม่กิน ร่างกายผ่ายผอมสุดท้ายท้าวผาแดงจึงทำพิธีฆ่าตัวตาย และอธิษฐานเพื่อต้องการไปเป็นหัวหน้าผี นำทัพไปรบกับพญานาคช่วงชิงนางไอ่กลับคืนมาให้จงได้
- เมื่อท้าวผาแดงตายเป็นผี ก็ได้ไปเป็นหัวหน้าผีสมดังประสงค์ พอได้โอกาสเหมาะ ผีท้าวผาแดงก็เตรียมไพร่พลเดินทัพผีไปรบกับพญานาค บริวารท้าวผาแดงมีเป็นแสนๆ เดินเท้าเสียงดังอึกทึกปานแผ่นดินจะถล่ม เข้ารายล้อมเมืองพญานาคเอาไว้ทุกด้าน ต่างฝ่ายต่างใช้อิทธิฤทธิ์รบกันนานถึง 7 วัน 7 คืน ไม่มีใครแพ้ชนะ
- ฝ่ายเจ้าพ่อศรีสุทโธ เจ้าเมืองบาดาลซึ่งแก่ชราภาพมากแล้ว ก็ไม่อยากก่อกรรมก่อเวรต่อไป เพราะต้องการไปเกิดในแผ่นดินพระศรีอาริยเมตไตรย์อีก จึงไปหาท้าวเวสสุวัณ ผู้เป็นใหญ่ ให้มาตัดสินความ ท้าวเวสสุวัณจึงเรียกทั้งสองฝ่ายมา โดยให้ทั้งสองฝ่ายเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ทราบ
- ฟังเรื่องทั้งหมดจบแล้ว ท้าวเวสสุวัณจึงบอกว่า เรื่องที่เกิดขึ้นนั้นมันเป็นผลของ "บุพกรรม" หรือกรรมเก่าแต่ชาติปางก่อนที่ตามมาในชาตินี้ และทั้งสองฝ่ายก็มีเหตุผลก้ำกึ่งกัน จึงให้ทั้งสองเลิกรา ไม่ต้องเข่นฆ่ากันอีก ขอให้มีเมตตาต่อกัน และให้ทั้งสองฝ่ายรักษาศีลห้า ปฏิบัติธรรมและมีขันติธรรมต่อไป ส่วนนางไอ่ ระหว่างนี้ก็ให้อยู่เมืองพญานาคไปก่อน รอให้พระศรีอาริยเมตตรัยจุติมาตัดสินว่าจะตกเป็นของใคร
- ท้าวผาแดงและพญานาคได้ฟังคำสั่งสอนของท้าวเวสสุวัณก็กลับมีสติ เข้าใจในเหตุและผลต่างฝ่ายต่างอนุโมทนาสาธุการ เหตุร้ายจึงยุติลงด้วยความเข้าใจ มีการให้อภัยกันในที่สุด นิยายรักเศร้าสุดประทับใจเรื่องผาแดง - นางไอ่ จึงจบลงแต่เพียงเท่านี้