ชีวิตที่ไม่มีจอคอม ไม่มีโทรศัพท์ มีแต่ครอบครัว...มันดีจริงๆนะครับ
สองเดือนที่ผ่านมา ผมใช้ชีวิตอยู่กับหน้าจอคผมพิวเตอร์ อยู่กับหน้าจอโทรศัพท์นานมาก นานจนไม่ได้คุยกับภรรยา ไม่ได้เล่นกับลูกเลยในบางวัน นานจนบางทีเท้าบวมเพราะนั่งอยู่กับที่ตลอดเวลา มันเป็นเพราะเรื่องงานที่ต้องดูแลเรื่อง Digital Marketing งานฟรีแลนซ์ที่ต้องทำเพื่อเพิ่มรายได้ให้กับครอบครัวในยามที่เศรษฐกิจซบเซา ซึ่งธุรกิจเล็กๆของครอบครัวเราก็ได้รับผลกระทบด้วยเหมือนกัน
จนเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมามีโอกาสไปที่ "ท่ามหาราช" กับครอบครัวครับ คิดว่าน่าจะดีที่จะได้พักผ่อน และพาลูกสาวไปดูแม่น้ำเจ้าพระยาด้วยครับ แต่พอมาถึงก็มีหงุดหงิดเล็กน้อยในเรื่องที่จอดรถ เพราะที่จอดรถด้านในเต็ม ต้องวนออกมาหาที่จอดด้านนอกแบบทุลักทุเล เพราะตรงนั้นเป็นถนนวิ่งสวนกันเลนเดียว และรถก็เยอะจริงจังมาก อาจจะเป็นเพราะเป็นวันอาทิตย์ด้วย คนก็เลยมาเที่ยวกันเยอะเป็นพิเศษ ได้ที่จอดรถไกลพอสมควร แต่ดูปลอดภัยดี เสียค่าจอดสามสิบบาท แล้วก็เดินย้อนกลับมาที่ท่ามหาราชอีกที แต่ด้วยความที่รีบร้อนเกินไปผมก็เลยลืมโทรศัพท์มือถือไว้ที่รถอีก ครั้นจะเดินกลับไปก็ไกลพอสมควรและก็คิดว่าน่าจะอยู่ไม่นานก็เลยไม่ได้กลับไป เอา
ที่นี่เป็นครั้งแรกของผมและภรรยาเหมือนกันครับ จริงๆแล้วเป็นครั้งแรกของทุกคนในบ้านเลยก็ว่าได้ครับ มาถึงสิ่งที่เห็นได้ชัดเลยก็คือเป็นตลาดของนักปั่นจักรยานก็ว่าได้นะครับ เพราะถึงแม้ว่ามันไม่มีร้านขายจักรยานเลย แต่ด้านล่างในส่วนที่เป็นลานขายของนั้นก็มีแต่ของสำหรับนักปั่นจักรยานทั้ง นั้น โดยเฉพาะเสื้อผ้าทั้งแบบจริงจังและไม่จริงจัง หมวกแก็บเท่ห์ๆ กระเป๋า และแอคเซสเซอรี่ต่างๆของเหล่านักปั่นมีให้เห็นตลอดสองทางเดิน เดินเข้าไปลึกอีกหน่อยก็จะมีร้านอาหาร ร้านขายน้ำ ร้านขายขนม ของหวาน ทั้งแบรนด์เล็กแบรนด์ใหญ่ก็มีหมดที่นี่ น่าสนใจดีครับ
ขึ้นไปชั้นสองก็จะมีป้าย "ท่ามหาราช" ตัวใหญ่เอาไว้ให้พวกเราไปถ่ายรูปกันแหล่ะครับ ด้านหลังก็เป็นวิวแม่น้ำเจ้าพระยา ก็เลยไม่พลาดที่จะชี้ให้ลูกสาวดูตามที่ตั้งใจอยากพาเค้ามาดู เลยจากป้ายท่ามหาราชขึ้นไปเป็นลานกว้างๆ เอาท์ดอร์ชั้นบน ซึ่งวันที่เราไปนั้นเค้ามีงานจักรยานพอดี แต่ว่าเป็นงานจักรยานของเด็กน้อย น่ารักมาก เค้าเรียกว่าจักรยานทรงตัว คนจัดงานเค้าทำเป็นลู่จักรยานเหมือนสนามแข่งขันให้เด็กได้มาเล่นกัน มีครอบครัวต่างๆพากันจูกเด็กพร้อมกับจักรยานทยอยเข้ามากันในงาน เด็กแต่ละคนดูสนุนสนานกับการถัดๆจักรยานของตัวเองมาก ผมเองก็เรียกศัพท์ไม่ถูกว่าเค้าใช้คำว่าอะไรกัน เอาเป็นว่าเข้าใจศัพท์ ถัดๆ ไถๆ ของผมละกันนะครับ ^^
ผมบอกภรรยาว่าอยากให้ลูกลองเล่นบ้าง ซึ่งดูจากแววตา อากับกริยาของเจ้าลูกสาวของผมแล้วนั้น ถ้าพาเดินออกมาจากตรงนั้น น่าจะมีงอแงแน่นอน เราเลยตัดสินใจลองเข้าไปถามที่โต๊ะลงทะเบียนในงานดูครับ ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็น่ารักมากครับ เหมือนรู้อยู่แล้วว่าต้องมีเคสนี้ เค้าเลยจัดมาให้ลูกสาวผมหนึ่งคันเป็นไซส์ mini เลยอ่ะครับ ผมเคยเห็นบ้างตามงานแฟร์ตอนที่แฟนลากผมไปซื้อของให้ลูก ผมจำได้ ^^ ซึ่งมันจะมีอยู่สองรุ่นคือลุ่นเล็กสุดแบบนี้กับอีกแบบที่จะสูงหน่อยให้พี่โต หน่อย เห็นเค้าเรียกว่ารุ่น BMX แต่วิธีการเคลื่อนที่ก็เหมือนกันครับ คือ ถัดๆ ไถๆ ออกแรงหน่อยก็ไปได้ไกลหน่อย
ประมาณนี้แหล่ะครับ ขนาดกำลังดีกับความสูงลูกสาวผมเลย แรกๆเธอก็ยังไม่ค่อยกล้าจะนั่งเท่าไหร่ ผมเองก็แอบกลัวนิดๆว่าลูกจะตกเหมือนกัน แต่ก็ปล่อยลองดูครับ ปรากฏว่าชอบครับ อุ้มออกมาก็จับแฮนด์ยกรถลอยขึ้นมาด้วย (คิดในใจว่าลูกจะแข็งแรงเกินไปแล้วนะ) หลังจากให้ลองถัดๆ ไถๆ เองคนเดียวแล้วดูท่าแล้วจะไม่เวิร์ค แถมถนัดถอยหลังมากกว่าเดินหน้าด้วย เลยคิดว่าปล่อยไปแบบนี้พรุ่งนี้ก็ไม่ครบรอบแน่นอน ผมเลยเข้าไปช่วยเข็นพาเค้าไปเรื่อยๆ ช้าๆ โดยมีหม่าม้า คุณย่า และคุณน้า ยืนเป็นกำลังใจและกองเชียร์อยู่ข้างๆ
เหมือนลูกจะรู้ว่ากำลังจะมี Bike for Dad เลยอยากจะลองฝึกฝนดูให้ทันช่วงงาน ทำเอา Dad ปวดหลังยังไงก็ไม่รู้ เงยหน้าขึ้นมาอีกทีเหมือนโลกมันหมุนๆ ฮ่าๆ ล้อเล่นนะครับ ก็สนุกดีครับ เพราะนอกจากช่วยเข็นแล้วยังต้องคอยช่วยบังคับแฮนด์ด้วย เพราะอยู่ดีๆจะซ้ายก็ซ้าย จะขวาก็ขวา จะโดนรถพี่ๆข้างหลังชนเอาไม่รู้ตัว เดี๋ยวต้องเรียกประกันมาเคลียร์กันอีกยาว ยิ่งพูดยังจะไม่ค่อยรู้เรื่องอยู่ด้วย ได้แต่ เหมียวๆ หม่ำๆ ปะป๊า หม่าม้า ^^
สุดท้าย โดนไปสองรอบ เดินออกมาหลังค่อมกันเลยทีเดียวผม ต้องขอบคุณรูปจากทีมงานของเจ้าของแบรนด์และผู้จัดด้วยนะครับ ได้รูปสวยๆของลูกสาวผมมาเยอะเลย แหะๆ แอบไปเอามาจากเพจเค้ามา ขออนุญาตตรงนี้เลยละกันนะครับ เพิ่งเห็นว่าหน้าเค้ายิ้มมีความสุขขนาดไหน ผมเองก็ลืมเรื่องงาน ลืมเรื่องปัญหาอะไรต่างๆนานไปเลย ลืมเรื่องโทรศัพท์ไปด้วยเลยครับ (โชคดีที่งานราบรื่น ไม่มีใครโทรเข้ามา ^^)
คนเหนื่อยก็ต้องพักครับ ทั้งร่างกาย ทั้งจิตใจ ยิ่งได้มาพักกับคนที่สำคัญและมีค่ากับเราแล้ว มันเหมือนมาชาร์จพลัง ให้มีแรงกลับไปสู้ต่อ
ถึงตรงนี้ ผมสังเกตุเห็นเลยว่าชีวิตจริงนอกโลกออนไลน์ มันยังสวยงามอยู่ มันยังงดงามอยู่ โดยเฉพาะกับครอบครัวของเรา ที่เค้ายังคงต้องการความรัก ต้องการอ้อมกอด และความเอาใจใส่ดูแลจากเราอยู่ ที่ไม่ว่าเงินสักกี่บาท หรือยอดไลค์สักกี่พันกี่หมื่นไลค์ ก็ทดแทนกันไม่ได้ครับ ช่วงนี้ผมคงต้องหาเวลาให้ครอบครัวเพิ่มขึ้นกว่านี้ดีกว่าครับ
หนึ่ง เดียว คนนี้
ปล. สุดท้ายก็ได้จักรยานกลับมาที่บ้านหนึ่งคันครับ
ขอบคุณกระทู้จากคุณ ชายหนึ่งกับหญิงเดียว สมาชิกเว็บพันทิป