เรื่องเล่าการเมืองในฮาเล็ม ราชวงค์โมกุล
ฮาเร็ม หมายถึง "สถานที่ต้องห้าม" และเกี่ยวข้องกับรากศัพท์ภาษาอาหรับว่า حريمฮาริม แปลว่าสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่เคารพ, ที่อยู่อาศัยของสมาชิกหญิงของครอบครัว" และحرام Haram ฮาราม "ต้องห้าม; ศักดิ์สิทธิ์" หมาย ถึงสถานที่ที่เก็บรักษาบรรดาหญิงชั้นสูงไม่ให้ผู้ชายที่มิใช่เครอญาติสาย เลือดเข้ามา เป็นสถานที่ที่ประกอบด้วยภรรยา ญาติหญิง นางสนมและเด็กทารกชาย
ฮาเร็มของจักรวรรดิโมกุล ประกอบ ไว้ด้วย3ชั้น. ชั้นในโดยทหารนักรบหญิงชาวตาต้าร์ รัสเซีย และอุซเบก ที่ได้รับการฝึกฝน ด้วยหอกและคันธนู ถัดไปคือชั้นขันทีที่มาทำหน้าที่คือรักษาระเบียบวินัยในฮาเร็ม; ขันทีบางส่วนได้รับคัดเลือกเป็นเด็กในประเทศหรือที่ได้รับเป็นของขวัญจาก กษัตริย์แอฟริกาเหนือ เช่น โมร็อกโค อียิป ตูนีเซีย ลิเบีย, หรืออาณาจักรออตโตมัน ตุรกี......เรื่องราวในฮาเล็มมักเต็มไปด้วยสีสันของนิยายน้ำเน่า การแก่งแย้งชิงดีที่คละปนไปด้วยเรื่องราวของการเมือง ขันทีที่ประสบความสำเร็จคือตัวการอันทรงคุณค่าให้กับเจ้านาย และเป็นผู้เชี่ยวชาญในการรวบรวมข่าวสาร์น หูตาว่องไวในการสังเกตสังกาผู้คนในราชสำนัก และเป็นกุนซือที่ดีให้แก่บรรดานางในทีขันทีสนับสนุนก็มักมีโอกาสได้เข้าใกล้ จักรพรรดิมากยิ่งขึ้นเหนือสิ่งอื่นใดเขาจะต้องมีไหวพริบด้วยคำแนะนำทางการ เมืองของเขา ถ้าเขามีคุณสมบัติทั้งหมดเหล่านี้เขาอาจคิดอำนาจทางการเมืองที่ดีในรัฐบาล
ดังนั้นในช่วงเวลาที่ดีที่ขันทีจะสร้างมิตรภาพขึ้นระหว่างผู้ปกครอง และขันทีของ Moghal มัก จะเป็นเป็นเพียงคนเดียวที่กษัตริย์สามารถไว้วางใจได้อย่างแท้จริง ในอังกรามีสุสานสูงส่งไม่กี่ที่สร้างขึ้นสำหรับขันทีเหล่านี้ "น้อยคนนักทีจะได้รับความโปรดปรานจากพระราช"
ปราการด่านสุดท้ายด้านนอกสุดที่กันผู้บุกรุกเข้าฮาเล็มการ ป้องกันประจำการนอกกำแพงเป็นทหารชายที่แข็งแรงทนทานพร้อมกับปืนไฟและสั่งให้ มีการยิงผู้บุกรุกที่น่าสงสัย ได้ในทันทีและตามบันทึกนั้นเคยมีเรื่องราวที่ชวนสยดสยองโหดร้ายว่า การ์ดได้จับผู้บุกรุกโยนออกจากกำแพงสูงบ้าง หรือเดือดพวกเขาในน้ำมันและสิ่งที่น่ากลัวเหล่านี้ป้องกันความศักดิ์สิทธิ์ ของฮาเร็มจึงทำให้ไม่ค่อยมีคนละเมิด
ภายในฮาเร็ม, นั้นเต็มไปด้วยชีวิตฟุ้งเฟ้อหรูหราอย่างไร้เหตุผล ทุก เช้าเสื้อผ้าใหม่พระราชทาน มาถึงสำหรับพวกผู้หญิง พวกนางสวมใส่ครั้งเดียวและครั้งเดียวเท่านั้นและจากนั้นก็ยกให้แก่นางทาส ทุกนางสวมห่วงที่ปีกจมูก พวกนางสร้างความบรรเทิงให้แก่ตนเองด้วยกาลละเล่นต่างๆหรือไม่ถ้าเป็นพวกนาง ในรุ่นแม่ๆย่าๆที่มีอายุก็จะไปนั่งเล่นรับลมอยู่เงียบเงียบในศาลาที่เปิด โล่งดูปลาคาร์พในสระน้ำ หรือ ลานกลางฮาเล็มเพื่อปล่อยหรือให้อาหารนกพิราพ กระต่าย นกยูงที่สนามหญ้า บางคนก็ว่ายน้ำในน้ำพุหินอ่อน ดูดอกไม้ไฟ ดูต่อสู้ละมั่ง ดูแสดงเหยี่ยวบิน นกพิราบบิน, มวยปล้ำ, กายกรรม, เกมไพ่ นักดนตรี, หมีเต้น การแสดงงู, ชมการยิงธนู, มีนักเล่านิทานมาเล่าในตอนหัวค่ำ, การนั่งดูการเต้นระบำรำฟ้อน ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของแต่ละวัน
อย่างไรก็ตามสันดานของผู้หญิงที่ถูกคุมขังในเรือนจำทองก็มัก จะดื้อรั้น ความริษยาและความเกลียดชังฝังรากรึกในจิตใจและการแข่งขันเรียกร้องความสนใจ จากจักรพรรดิมักจะนำไปสู่การก่ออาชญากรรมที่ที่มีโทษหนัก
นักท่องเที่ยวยุโรปทิ้งเรากับคำบอกเล่านี้: ภรรยา แต่ละคนมีตำหนักของตัวเองและทาสของเธอตั้งแต่ 10-100 ตามแต่ตำแหน่งที่ได้มาด้วยโชคชะตาของเธอ แต่ละคนมีค่าใช้จ่ายประจำเดือนด้วยอัญมณีและเสื้อผ้าสามีให้ไปตามขอบเขตของ ความรักของเขา อาหารของพวกนางมาจากห้องครัว แต่ภรรยาแต่ละคนเอามันไปตำหนักของเธอเพราะพวกนาง เกลียดกันแม้ว่าพวกนางจะแอบเพื่อที่จะรักษาความโปรดปรานของสามีที่พวกนาง กลัว ในแต่ละคืนเขาไปเยี่ยมมเหสีหรือมาฮาล แต่ละองค์โดยเฉพาะ และได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากภรรยาและทาสที่สวมใส่ชุดสวยงามเป็นพิเศษ ในวันที่กษัตริย์เสด็จราวกับมีงานเลี้ยงที่ตำหนักนั้น ดูเหมือนจะเป็นการทำงานตามหน้าที่มากกว่าความรัก
ในสภาพอากาศร้อนนางในมากมายของตำหนักของมเหสีที่กษัตริย์ เสด็จไปเยือนจะทำการนวดและอาบน้ำให้องค์กษัตริย์และลูบร่างกายของเขาด้วยไม้ จันทน์ทุบและน้ำกุหลาบหรือน้ำมันหอมหรือระบายความร้อนอื่น ๆ ทาสร้องเพลงเล่นเพลงหรือเต้น ภรรยานั่งอยู่บริเวณใกล้เคียงตลอด ในช่วงเย็นที่พวกเขาดื่มไวน์กันไป กษัตริย์นั่งเช่นนี้จนถึงเที่ยงคืนจนเผลอหลับไปหรือหากความรักเรียกหา นางทาสจะถูกส่งขึ้นไปรับใช้ที่เตียงของพระองค์แล้วถ้าหนึ่งในทาสสาวสวยจับใจ ของท่านได้ พระองค์ก็จะเรียกหาเธอให้ขึ้นไปรับใช้บ่อยๆ โดยที่ภรรยาไม่มีสิทธิมีปากเสียงหรือแสดงสัญญาณใดๆ แต่แน่นอนว่านางจะมาเอาคืนกับเด็กสาวนางทาสที่น่าสงสารนั้นภายหลัง
นางในฮาเล็มโมกุลมักจะเป็นสาวพื้นเมืองจากภูมิภาคเอเชียใต้ ซึ่งเป็นบรรดาบุตรสาวของผู้ปกครองท้องถิ่นจำนวนมากของรัฐที่ข้าราชบริพารส่ง ลูกสาวของพวกเขามาที่ฮาเล็มของราชวงค์โมกุลเพื่อประสานความสัมพันธ์ทางการ เมืองกับจักรวรรดิโมกุล .....แต่หญิงสาวที่เป็นที่ต้องการสูงสุดของฮาเล็มกลับเป็นหญิงสาวต่างแดน เช่น ลูกสาวของขุนนางและเจ้าเมืองที่มาจาก เปอร์เซีย, อัฟกานีสถาน, อุซเบกีสถาน, เอเชียกลาง, ตะวันออกกลาง, เติร์กมานีสถาน, ตุรกี และแม้แต่ จากฝั่งใกล้ยุโรป เช่นประเทศ จอร์เจีย และ อาร์เมเนีย ที่เป็นส่วนหนึ่งของราชวงศ์ซาฟาวิดเปอร์เซีย หญิงเหล่านี้จะถือว่ามีเชื้อสายสูงและมักจะได้รับคัดเลือกให้เป็นภรรยาเอก และหัวหน้านางสนม.......
พระมารดาของพระเจ้าอักบาร์มหาราช หรือ จาร์ลลาลลูดดีน ก็เป็นอีกตัวอย่างคลาสสิกทรงเป็นลูกสาวของชีคชาวเปอร์เชียแท้ แม้นางจะเป็นภรรยาอนุของจักรพรรดิฮูมายูนก็จริง อีกทั้งไม่ได้รักพิศวาสในตัวพระองค์แต่อย่างใดด้วยซ้ำเพราะนางได้แอบหลงรัก ชายหนุ่มคนหนึ่งอยู่ แต่ก็กลับโดนเรียกมาเป็นนางในวังและกษัตริย์ก็ทรงเลือกพระนางเหนือมเหสีเอก เพราะความที่เป็นสาวเปอรเซียแท้....
จากภาพวาดเหมือนของนางทำให้เห็นว่านางมีรูปร่างแนวผอม สูง และขาว ตาสวยออกหวานไม่คมเข้มเท่าสาวฮินดูที่ดูสวยแบบรูปปั้นเทวีฮินดูนี้อาจจะเป็น อีกเหตุผลว่าทำไม รุ่นหลานชายของพระนาง..... เจ้าชายชาห์ จาฮาน จึงเป็นเจ้าชายของโมกุลที่มีดวงตาสีฟ้า และพระนางกันดาฮารี พระมเหสีเอกของ จักรพรรดิ ชาห์ จาฮาน ผู้สร้างตำนานทัช มาฮาล อันโด่งดังกับพระนางมุมตัส มาฮาล พระนาง กันดาฮารี คือเจ้าหญิงจากราชวงค์ ซาฟาวิดประเทศอิหร่าน ทรงเป็นมเหสีองค์แรกและมาอย่างถูกต้องตามระบบ, แต่ ชาห์ จาฮาน นั้นกลับไปให้ความสนใจตัวพระนางมุมตัส มาฮาล มากกว่า..... มุมตัส มาฮาล ซึ่งมีความหมายแปลว่า (คนโปรดของวัง) ซึ่งบิดาของพระนางมุมตัสเองก็เป็นชีค ชาวเปอร์เซียแท้เช่นกันและเพิ่งจะย้ายเข้ามาในอินเดีย
รำทางศาสนาแบบซูฟี่อิสลามได้รับความสนใจโดยเจ้าหญิงเซ็พอุนนิซ่า ธิดาคนโปรดของจักรพรรดออรางเซ็พ
อีกตัวอย่างคลาสสิกก็คือเรื่องของพระนาง มีห์รูนนิซ่า Mihrunnisa หรือพระนางนูร์ จาฮาน มเหสีเอกของจักรพรรดิ ชาฮันเกียร์ ลูกชายของพระนาง
มาเรียม อุซ ซามานี่ Mariam-uz-Zamani หรือ ชื่อจริง ราชกุมารี โชธา ไพ Jodha Bai เจ้าหญิงอินเดียฮินดูสถาน...กับพระเจ้า อักบาร์ Akbar หรือ จาลาร์ลลูดดีน Jalalluddin พระนางโชธานั้นเป็นธิดาจากแคว้นราชปุตณะซึ่งเป็นฮินดูแท้ไม่ได้มีสายเลือด ต่างชาติใดๆทั้งสิ้น เมื่อเข้าสู่วัยรุ่น พระบิดาของนางก็ส่งลูกสาวของพวกท่านเข้าไปเรียนรู้มารยาทในฮาเล็มของพวกโม กุลเพื่อสร้างพันธไมตรีกับจักรพรรดิโมกุล.......
พระนางโชธาเป็นเจ้าของเรือขนส่งสินค้า Rahimi ที่บรรทุกผู้แสวงบุญไปและกลับจากเมืองศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาอิสลามเมกกะ ในปี1613 เรือของเธอ Rahimi ถูกยึดโดยโจรสลัดโปรตุเกสพร้อมกับ ผู้โดยสารและขนส่งสินค้า 600-700 เป็นเรือใบเรือที่ใหญ่ที่สุดของอินเดียในทะเลแดงและเป็นที่รู้จักในยุโรปว่า "เรือแสวงบุญที่ยิ่งใหญ่" เมื่อโปรตุเกสปฏิเสธอย่างเป็นทางการที่จะ คืนเรือและผู้โดยสารให้ จักรพรรดิชาร์ฮานเกียร์ลูกชายของนาง จึงได้ออกคำสั่งให้ยึดเมืองดามันของโปรตุเกสซึ่งบทเรียนการกระสนในความ มั่งคั่งของพวกโมกุลในครั้งนี้เองซึ่งนำมาซึ่งการตกเป็นเมืองขึ้นในยุคหลัง
ทั้งที่ เดิมทีพระเจ้าอักบาร์ทรงมีอัครมเหสีเอกอยู่แล้วคือเจ้าหญิงรูไกย์ญ่า Ruqaiya Begum ซึง เป็นชาวอัฟกานีสถานและประสูติที่อัฟกานีสถาน ซึ่งมีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องของพระเจ้าอัคบาร์ มเหสีเอกของพระองค์อีกคนเป็นโปรตุเกส และอีกคนเป็นชาวอาร์เมเนีย......
เมื่อเจ้าหญิงรูไกย์ญ่านางยังเป็นเด็กรุ่นพระบิดาทรงถูก สังหารในสงคราม จึงเป็นกำพร้าลุงของพระนางจึงตกลงกับพระเจ้าฮูมายูนบิดาของอักบาร์ให้นำอัก บาร์ขึ้นมาอภิเษกกับนางที่อัฟกนีสถาน แต่ก็ดูเหมือนว่าความฉลาดของพระนางโชธาในเกมส์การเมืองในฮาเล็มจะสามารถดึง พระเจ้าอักบาร์ออกมาจากเจ้าหญิงรูไกย์ญ่าและมเหสีอื่นที่เป็นชาวต่างชาติ ได้.....
สามีที่ตายไปของนางเคยมาทำงานเป็นทหารของพระจ้าอัคบาร์เขามี ความสามารถในการล่าเสือโคร่งและไดฝากให้มีห์รุนนิซ่ามาทำงานเป็นนางสนองพระ โอษฐ์ของ มเหสี รูไกย์ญ่า เบกัม แม่เลี้ยงของชาร์ฮันเกียร์ที่ตำหนัก เมื่อแรกเห็นชาฮันเกียร์บุตรชายของพระนางโชธาก็หลงรักในความงามของนางทันที ว่ากันว่านางเป็นคนที่สวยมากขนาดที่ว่าเจ้าชายทรงเพิกเฉยต่อปัจจัยที่ไม่ เหมาะไม่ควรต่างๆทางสถาณะภาพของนาง พระองค์ให้พระนามใหม่แก่นางว่า นูร์ มาฮาล ซึ่งแปลว่าแสงสว่างแห่งราชสำนักและต่อมาคือ นูร์ จาฮาล แสงสว่างของโลก .......
และแม้ว่ามเหสีแรกชาวฮินดูของพระองค์ซึ่งเป็นหลานของพระมาร ดาโชธา ไพ จะทรงเล็งเห็นถึงฐานอำนาจที่ถูกย้ายไปสู่พระนางนูร์ สตรีเปอร์เซียซึ่งสวยกว่า จึงเป็นแม่ซื่อแม่ชักจัดแจงให้พระสวามีอภิเษกกับราชกุมารี มัณมาตี ไพ น้องสาวของพระนางที่อายุน้อยกว่า พระนาง นูร์ มาฮาล หรือ เมห์รูนนิซ่า หลายเท่าแต่ก็ไม่เป็นผล...... พระนางเมห์รูนนิซ่าก็ยังคงครองความเป็นที่โปรดปรานของกษัตริย์ ในช่วงกลางคน ชาร์ฮันเกียร์พระองค์เป็นชายขี้เมาและติดฝิ่นกัญชายาสูบเป็นอย่างยิ่ง ในที่สุดภรรยาที่ท่านโปรดปรานที่สุด พระนาง นูร์ จาฮานก็ได้เข้ามามีบทบาทางการปกครองและราชการแทนพระองค์ เสน่ห์สาวเปอร์เซียนในตัวนางยังไม่หยุดอยู่เพียงแค่นี้แต่ยังถ่ายทอดต่อไป ถึงหลานของนางซึ่งเป็นลูกสาวแท้ๆของพี่ชายนาง คือ ท่านหญิงอาร์จูมัน Arjumand
ซึ่งภายหลังได้รับฉายาว่า มุมตัส มาฮาล Mumtaz Mahal เพราะพระเจ้า ชาห์ จาฮาน Shar Jahan หลานของพระนางโชธาก็ทรงหลงรักสาวเปอร์เซียอีกเช่นกัน มุมตัส มาฮาล หญิงผู้เป็นต้นกำเนิดตำนาน รักอำมตะ ทัช มาฮาล ......เจ้าชายคูรัม Khurrum หรือ ชาห์ จาฮาน เมื่อวัยเด็กนั้นทรงได้รับการเลี้ยงดูโดยพระนางรูไกย์ญ่า มเหสีที่หนึ่งของพระเจ้าอัคบาร์ซึ่งไม่มีบุตรธิดา อัคบาร์กลัวนางจะเหงาจึงได้ไปขอยืมตัวเจ้าชายน้อย ชาห์ จาฮาน หลานของพระองค์ที่เกิดกับสายภรรยาชาวฮินดูคือโชธา ไพ มาให้รูไกย์ญ่าเลี้ยงแก้เหงา ครั้นเมื่ออายุครบ 13 เจ้าชายจึงกลับไปอยู่ในความดูแลของพระมารดาชาวฮินดูซึ่งก็กระตือรือล้นจะให้ ท่านได้เมียฮินดู แต่พระองค์ก็กลับไปหลงรักสาวเปอร์เชีย อาร์จูมัน หลานป้าของพระนางนูร์ จาฮาน ศัตรูคู่แข่งขันของแม่และป้าของพระองค์มากกว่าสาวฮินดู
ในขณะที่มเหสีแต่งอันดับหนึ่งของชาห์จาฮานเองก็เป็นเจ้าหญิงจากเปอร์เซียแท้ๆของราชวงค์ ซาฟาวิด คือพระนางกันดาฮารีแต่บุคคลที่พระองค์รักที่สุดคือพระนางมุมตัส..... บรรดามเหสีเอกของท่านนั้นเป็นสาวเปอร์เซียทั้งหมด
นักเดินทางชาวยุโรปได้บันทึกเรื่องความงามและแฟชั่นของพวกโม กุลในแต่ละยุค และเล่าว่า สตรีราชวงค์โมกุลนั้นแต่งตัวมากและการแต่งกายก็ถือได้ว่าเป็นประเพณีอย่าง หนึ่งทีเดียว หนึ่งนักเดินทางเล่าว่าพวกนางประดับร่างกายทุกส่วนตั้งแต่หัวจรดเท้าไม่มี ว่างเว้นทีจะไม่ประดับ พวกนางสวมกระโปรงฟูๆพองใต้ lehenga เป็นชุดที่ประสมระหว่างแบบแขกขาวหรือแบบตะวันตกเข้ากับอินเดีย ภาพวาดเจ้าหญิงเซ็พอุนนิซ่าZebunniza ราชธิดาองค์โปรดของพระเจ้าออรังเซ็พ Aurungzeb ผู้เครงอิสลามเป็นตัวอย่างที่ดีของชุดกระโปรงแบบอนากาลีที่ได้รับอิทธิพลแบบ สาวเปอร์เชียหรือแขกขาว คือเป็นชุดกระโปรงยาวแคบช่วงเอวและบานๆที่ปลายกะโปรง
พวกโมกุลทุกคนล้วนเป็นมุสลิมที่มีหัวก้าวหน้าทันสมัยในการ ศึกษาหาวามรู้ไม่ว่าจะ ฮูมายูน อักบาร์ ชาร์ฮันเกียร์ ชาห์ จาฮาน และ ออรังเซ็พ ล้วนสนับสนุนให้นางในวังมีการศึกษาโดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาลูกสาวของตัวเอง ผู้หญิงในราชวงค์ล้วนมีความสามารถเช่น เจ้าหญิงรูไกย์ญ่าทรงพูดได้หลายภาษา ไม่ว่าจะ เติร์ก ฟาร์ซี่ อาหรับ อุรุดู ชางกาไต หนึ่งในบรรดาผู้หญิงของโมกุลที่ได้รับการศึกษาเป็นอย่างดีจนบางครั้งแลดู นิ่งสงบประดุจชายก็คือเจ้าหญิงเซ็พอุนนิซซ่า ลูกสาวที่ พระเจ้าออรังซ็พทรงภูมิใจสูงสุด เธอเก่งและชอบเรื่องการแต่งกลอน ลัทธิซูฟี่ ดาราศาสตร์ คณิตศาสตร์ และอีกมากมาย แต่หลายครั้งเธอก็กวนประสาทพระองค์แบบดื้อเงียบ เป็นทีรู้ดีว่า พระเจ้าออรางเซ็พท่านเป็นมุสลิมสายหัวรุนแรง และ
เคยสั่งต้มชีคชาวซิกข์ทั้ง เป็นแต่ลูกสาวของพระองค์กลับแต่งกลอนและหนังสือสะท้อนมุมมองทางศาสนาที่ไม่ ถูกต้องตามพ่อของเธอและเรื่องการเมืองกับความรัก ที่เป็นที่ซุบซิบนินทาว่าจริงๆแล้าเจ้าหญิงนั้นทรงเป็นทอม นางเป็นสตรีเพียงคนเดียวในราชวงค์ที่เป็นโสด ว่ากันว่าเจ้าหญิงหลงรักนางทาสที่ชื่อว่า เมียน ไพ Mian Bai ทรงทำพินัยกรรมยกสวนดอกไม้ให้แก่นางทาส และสวนนั้นก็ถูกตั้งเป็นชื่อของนางทาส....
การ์พกลอนของเจ้าหญิงนั้นมีแต่แนวความรัก ที่เขียนถึงสตรี นอกจากนี้เธอยังพยามแย้งชิงบัลลังคมาจากพี่ชายของเธออีกด้วย และผลลัพท์คือเธอโดนจับขังคุกและตายในคุก
มีตำนานอันโด่งดังเล่าถึงคำสาปแช่งที่ทำให้พระเจ้าอัคบาร์ต้องทรงย้ายออกจาพระราชวังฟาเตห์ปุระ สีครี Fatehpur Sigri ภาย ในเวลาอันสั้น เรื่องราวมีอยู่ว่าหลังจากการย้ายเมืองมาอยู่ที่สีครี จักรพรรดิอักบาร์ได้มีส่วนร่วมในการออกแบบและก่อสร้างสถานที่แห่งนี้โดย ตั้งใจที่จะชุบชีวิตอันหรูหราของราชสำนักเปอร์เซียโบราณ โดยการวางแผนนั้นรับรูปแบบตามราชสำนักเปอร์เซีย แต่มีการปรับโดยใส่รายละเอียดแบบอินเดีย การก่อสร้างนั้นใช้หินทรายสีแดงที่มีแหล่งอยู่ใกล้เคียงกับฟาเตห์ปุระสีครี ดังนั้นสิ่งก่อสร้างหลัก ๆ นั้นจะมีสีแดง บริเวณหมู่ราชมนเทียรประกอบด้วยตำหนักหลายหลังเรียงต่อกันอย่างเรียบร้อยและ สมมาตรบนฐานเดียวกัน เป็นลักษณะพิเศษที่นำมาจากการก่อสร้างแบบอาหรับ และเอเชียกลาง โดยองค์รวมแล้ว ถือได้ว่าพระองค์นั้นทรงพระปรีชาสามารถยิ่งในการผสมผสานสถาปัตยกรรมต่าง ๆ เพื่อเป็นสถาปัตยกรรมในแบบของพระองค์เอง
นครฟาเตห์ปุระสีนั้นถูกทิ้งร้างในปี ค.ศ. 1585 ภายหลังจากการเสร็จสิ้นเพียงไม่กี่ปีเนื่องจากการขาดแคลนแหล่งน้ำมีตำนานอัน โด่งดังเล่าถึงคำสาปแช่ง ว่า ครั้งหนึ่งพระองค์ทรงเรียกตัว นางระบำสาววัย19ปี นามว่า ซารีน่า Zarina ที่เรื่องชื่อว่ารำเก่งของเมืองนี้เข้ามาแสดงในราชสำนักของพระองค์ แต่มเหสีฮินดูโชธาและสาวใช้ของนางนามว่า มัดเทวี Madhdevi ไม่พอใจและเกรงว่าซารีน่าจะเป็นที่โปรดปรานของอักบาร เพราะทุกคนในราชสำนักหลงรักเธอ เธอเป็นคนสวยน่ารัก จึงวางแผนขโมยสร้อยคอของพระนางโชธาเอาไปซ้อนในห้องนอนของซารีน่า และเมื่อมเหสีโจธาประกาศว่าสร้อยหายไปจึงมีการค้นหากันเกิดขึ้นและซารีน่า ถูกใส่ความว่าเป็นขโมย ก่อนการจะลงโทษและตัดมือของหญิงสาว เธอได้หายตัวไปจากวังไม่ว่าจะหาเท่าไรก็ไม่พบ
ชายชราผู้เป็นพ่อของซารีน่าปรากฏตัวขึ้นและกล่าวกับอัคบาร์ ว่า การให้ร้ายซารีน่าในครั้งนี้พวกท่านทำให้นางเสียใจมากและพวกท่านจะต้องชดใช้ มันด้วยฟาเตห์ปุระ หลังจากนั้นันรุ่งขึ้นก็ เกิดเรื่องประหลาดที่ทำให้น้ำบาดาลที่เอาไว้ใช้เลี้ยงผู้คนในวังเหือดแห้งไป จนหมดจึงต้องมีการอพยพย้ายเมืองเกิดขึ้น