กินข้าวด้วยกัน - เรื่องเล่าความรัก'ขันที-นางใน'
ฝ่ายใน หลายคนมักนึกถึงดินแดนแห่งสตรี ประหนึ่งเมืองลับแล อย่างไรก็ตาม ฝ่ายในที่มีแต่หญิงล้วนๆนี้เป็นฝ่ายในไทยสมัยรัตนโกสินทร์ แต่ว่าในต่างแดน อาทิ ตุรกี อิยิปต์ อินเดีย เปอร์เซีย จีน ฝ่ายในไม่ใช่มีแค่ผู้หญิงล้วนๆ ฝ่ายในมีทั้งผู้หญิงจำนวนมหาศาล และผู้ชายจำนวนมากเกินกว่าจะนับ แต่ผู้ชายที่ว่าเป็นผู้ชายที่ผ่านการตัดอวัยวะเพศชายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว คนไทยเรียกคนเหล่านี้ว่า "ขันที"
เขตพระราชฐานชั้นในของพระราชวังหลวงของจีน
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเมื่อชายกับหญิงอยู่ด้วยกัน ความรักจะบังเกิดขึ้น แม้ฝ่ายชายจะกลายเป็นขันทีไปแล้วก็ตาม นอกจากความรักระหว่างชายและหญิงที่ว่า ความรักระหว่างชายกับชาย และหญิงกับหญิงก็มีอยู่ไม่น้อยเช่นกัน ในประวัติศาสตร์จีน ขันทีรักกับนางข้าหลวง นางข้าหลวงรักกันเอง หรือขันทีรักกับขันที ถือว่าไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอะไร ความรักเช่นนี้ถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ แล้วในหลายราชวงศ์ หลายรัชกาลก็ไม่ได้ถือว่าเป็นเรื่องต้องห้ามแต่อย่างไร
ภาพการแต่งกายของนางในสมัยราชวงศ์ถัง
ขันทีในภาษาจีนเรียกกันโดยทั่วไปว่า ไท่เจียน (太监:tian jian)ส่วนนางข้าหลวงรับใช้ในวัง เรียกว่า "กงนู่" (宫女:gong nv) คนในวังรักกันเช่นนี้ เรียกว่า "ตุ้ยสือ" (对食: dui shi) แปลตรงๆว่า กินอาหารด้วยกัน คำนี้เกิดจากพฤติกรรมของคนสองคน ซึ่งแทนที่จะกินข้าวร่วมกับข้าหลวงนางในหรือขันทีคนอื่น กลับกินข้าวด้วยกันสองคนเงียบๆงุ้งงิ้งมุ้งมิ้ง
คำว่า "ตุ้ยสือ" ปรากฎขึ้นครั้งแรกในบันทึกประวัติศาสตร์ราชวงศ์ฮั่น ในหนังสือชื่อว่า "ฮั่นชู" (汉书:han shu) แปลตรงๆก็คือหนังสือประวัติศาสตร์ราชวงศ์ฮั่น ในหนังสือกล่าวถึงนางข้าหลวงในวังพบรักกันอยู่กินกันฉันสามีภรรยาในวัง
การแต่งกายของนางในสมัยราชวงศ์ฮั่น
คำว่า "ตุ้ยสือ" ปรากฎขึ้นครั้งแรกในบันทึกประวัติศาสตร์ราชวงศ์ฮั่น ในหนังสือชื่อว่า "ฮั่นชู" (汉书:han shu) แปลตรงๆก็คือหนังสือประวัติศาสตร์ราชวงศ์ฮั่น ในหนังสือกล่าวถึงนางข้าหลวงในวังพบรักกันอยู่กินกันฉันสามีภรรยาในวัง
ภาพตุ๊กตาขันทีสมัยราชวงศ์ฮั่น
อย่างไรก็ตามกาลเวลาผ่านไป คำว่า "ตุ้ยสือ" ก็เริ่มขยายความรวมไปถึงขันทีรักกับนางข้าหลวง การขยายความครั้งแรกที่ทำให้คนรู้ว่าขันทีมีความรักกับนางข้าหลวงรับใช้นี้ ปรากฎในหลังสือเรื่อง "กงชือ" (宫词: gong ci) แปลว่า "เรื่องในวัง" อันเขียนสมัยราชวงศ์ถัง แต่ว่าในยุคหลังนี้ คำว่า "ตุ้ยสือ" แม้จะแสดงถึงความรักระหว่างคนในวัง แต่ว่าก็หมายถึงรักแบบฉาบฉวย หรือที่คนไทยในสมัยนี้เรียกว่า เป็น "กิ๊ก" มากกว่าเพื่อน แต่หาใช่คนรักไม่ แต่ว่าถ้ารักกันจริงๆตกลงปลงใจใช้ชีวิตร่วมกันดั่งสามีภรรยา จะเรียกว่า "ฉ่ายหู้" (菜户: cai hu) โดยคำว่า "หู้" (户:hu)แปลว่า ครอบครัว ครัวเรือน ดังนั้น คำนี้ จึงหมายความว่า "กินอาหารแบบครอบครัว" แสดงให้เห็นความหมายว่ามีรักลึกซึ้งลึกล้ำกว่า "ตุ้ยสือ" ที่จากรากศัพท์แปลว่ากินข้าวด้วยกัน (สองคน)
ภาพนางข้าหลวงกับขันทีในสมัยราชวงศ์ชิง "กินข้าว" ด้วยกัน
คำว่า "ฉ่ายหู้" ปรากฎขึ้นครั้งแรกในสมัยราชวงศ์ซ่ง และปรากฎเรื่อยมา แต่ที่น่าจะมีสีสันที่สุดคงไม่พ้นยุคราชวงศ์หมิง ซึ่งบันทึกเรื่องราวไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์ราชวงศ์หมิง "หมิงซือ"(明史:ming shi) เลยทีเดียว เนื่องจากช่วงต้นราชวงศ์หมิง ปฐมจักรพรรดิหมิงไท่จู (明太祖:ming tai zu) ไม่โปรด และสังห้ามมีความรักเช่นนี้เด็ดขาด แต่ก็เกิดมีขันทีไปรักกับนางข้าหลวงจนได้ สุดท้ายจึงถูกประหารด้วยการถลกหนังทั้งคู่ เพราะถือว่าดูถูกรั้ววัง
การแต่งกายของขันทีสมัยมราชวงศ์หมิง
อย่างไรก็ตามในรัชกาลพระเจ้าหมิงเหรินจง (明仁宗:ming ren zong) หรือที่เรารู้จักกันในนามพระเจ้าหยงเล่อผู้โด่งดังในการส่งกองเรือมหาสมบัติ ตะลุยทั่วโลก ในรัชกาลนี้ทรงใช้งานและวางพระทัยในขันที ดังนั้น พระองค์จึงทรงรู้สึกว่า ไม่ให้ขันทีมีความรักดูใจร้ายผิดมนุษย์มนาไปหน่อย จึงมีพระบรมราชโองการให้ขันที นางในมีรักได้อย่างอิสระ ไม่ถือว่ามีโทษ ภายหลังในสมัยราชวงศ์หมิง ขันทีกุมอำนาจ และไม่บ่อยนักที่จะปลดระวางนางข้าหลวงกลับบ้านเดิม ดังนั้น ความรักในวังยิ่งเป็นเรื่องปรกติ กระทั่งเรื่องเล็กๆน้อยๆของขันทีอกหักยังมีบันทึกไว้ อาทิ ในสมัยพระเจ้าหมิงกวงจง (明光宗:ming guang zong) ที่รู้จักกันทั่วไปว่า พระเจ้าหว่านลี้ มีขันทีคนหนึ่งนามว่าซ่งเป่า (宋保:song bao) ไปรักและตกลงใช้ชีวิตคู่กับนางข้าหลวงแซ่อู่ (吴:wu) แต่ภายหลังนางมีชู้ ขันทีซ่งเป่ารับไม่ได้ อกหักเหลือจะห้าม สุดท้ายจึงทูลลาออกจากวังไปบวชเป็นพระ
ภาพพระเจ้าหมิงเหรินจง (明仁宗:ming ren zong) หรือที่เรารู้จักกันในนามพระเจ้าหยงเล่อ
ความรักของขันทีและนางในนี้ทำให้กวี รวมไปถึงนักจดบันทึกหลายคนประทับใจ และเขียนไว้ในงานของต้นมีไม่น้อย อาทิ ในหนังสือ "บันทึกประวัติศาสตร์นอกกรอบรัชสมัยพระเจ้าหว่านลี้" (万历野获编:Wan li ye huo bian) เขียนโดยเซินเต๋อฟู่ (沈德符: shen de fu) ได้เขียนบันทึกเรื่องราวความรักที่เขาได้พบระหว่างขันทีและนางในว่า "ขันทีและนางข้าหลวงรักกัน ใช้ชีวิตร่วมกันเหมือนสามีภรรยาทั่วไป ขันทีซื้อของให้นางข้าหลวง นางข้าหลวงก็ปรนติบัติขันที เช่นเดียวกับสิ่งทีสามีและภรรยากระทำต่อกัน"
ภาพเซินเต๋อฟู่ (沈德符: shen de fu)
ผู้เขียนยังได้เขียนเรื่องความรักและการดูแลกันแม้จะอีกฝ่าย จะลาโลกไปด้วย กล่าวคือ"ครั้งหนึ่งบัณฑิตได้พบขันทีผู้หนึ่งไปวัด คนในวัดบอกบัณฑิตว่าขันทีผู้นี้มาทำบุญให้ดวงวิญญาณนางข้าหลวงคนหนึ่งที่ตาย ทุกปี เหมือนที่สามีที่รักภรรยาคนหนึ่งพึงกระทำเพื่อรำลึกถึงภรรยาผู้วายชนม์" นอกจากนี้ ผู้เขียนยังได้กล่าวว่า "เรื่องราวความรักของขันทีและนางข้าหลวงในยุคนั้นดูเป็นเรื่องธรรมดา จนกระทั่งฮ่องเต้หรือฮ่องเฮาอาจจะตรัสถามขันทีว่า "ฉ่ายหู้ของเจ้าเป็นใครรึ" ขันทีก็จะกราบทูลตอบชื่อเช่นเดียวกับคนธรรมดาๆ ที่กราบทูลชื่อ"
ภาพมงกุฎฮ่องเฮาสมัยราชวงศ์หมิง และภาพการแต่งกายของฮ่องเต้และฮ่องเฮาสมัยราชวงศ์หมิง
นอกจากขันทีจะใช้ชีวิตแบบสามีภรรยากับนางข้าหลวงในวัง ขันทียังสามารถแต่งงานได้ตามปรกติเช่นกัน เรื่องนี้ปรากฎมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ฉินเรื่อยไปจนถึงราชวงศ์ชิง นอกจากนี้ ในบางกรณีขันทีก็ยังอาจจะรับพระราชทานนางข้าหลวงให้เป็นภรรยาพระราชทานได้ ด้วย ในสมัยในสมัยราชวงศ์ชิง แม้จะขันทีจะถูกควบคุมมาก ด้านการมีความรัก ขันทีไม่ได้รับอนุญาติให้มีความรักใช้ชีวิตกันในวังกับนางข้าหลวงแบบในสมัย ราชวงศ์หมิง แต่ว่าอนุญาติให้แต่งงานเป็นเรื่องเป็นราวได้แทน นางข้าหลวงในสมัยราชวงศ์ชิงนี้จะมีการปลดระวางทุกปี เมื่ออายุ ได้ ๒๕ ปี สามารถกลับบ้านเดิม และออกไปแต่งงานได้ตามปรกติ ดังนั้นจึงปรากฎว่ามีขันทีบางคนแต่งงานกับนางข้าหลวงชาววัง หรือบางคนอาจจะแต่งงานกับสตรีสตรีนอกวังก็ได้
ภาพขันทีและข้าหลวงในสมัยราชวงศ์ชิง
ความรักเป็นเรื่องปรกติธรรมดาของโลก อาจจะเกิดได้ทุกที ทุกเพศ ทุกวัย กระทั่งกับคนที่หลายคนคิดว่าไม่น่าจะมีความรักได้ ความรักก็ยังบังเกิดได้ อาจจะเกิดกับชายหญิง ชายพิการกับหญิง หญิงกับหญิง หรือชายกับชาย
ความรักเกิดได้ทุกหนทุกแห่ง
แม้จะอยู่ในที่ลึกที่สุดของแผ่นดิน ดั่งเช่นเขตพระราชฐานชั้นในอันแสนลึกลับของวังต้องห้ามก็ตาม
ภาพขันทีเข้าไปหานางข้าหลวง ศิลปะสมัยราชวงศ์ชิง
เรื่องนี้น่าสนใจมาก ไม่เคยรู้มาก่อนว่าขันทีมีความรักและอยู่กินฉันสามีภรรยากับนางในวังได้
เพราะ เท่าที่รู้มา คนเป็นขันทีจะถูกตอนอวัยวะเพศจนใช้การไม่ได้ เพื่อความปลอดภัยในการรับใช้อยู่ในวัง ปนเปกับสตรีมากหน้าหลายตา มีหมอมาชันสูตรว่าถูกตอนจริง
เคยสงสัยเหมือนกันว่าชายแท้ที่ถูกตอนแล้ว ยังเกิดอารมณ์ทางเพศเมื่อคลุกคลีกับสาวๆอยู่หรือไม่ อ่านสามก๊กฉบับวณิพกของยาขอบ ยาขอบก็เชื่อว่าพวกนี้หมดความรู้สึกไปแล้ว เมื่อความกระหายด้านหนึ่งถูกกดให้หายไป มันก็ไปโผล่อีกด้านคือความกระหายอำนาจ จึงทำให้ขันทีลุกขึ้นกุมอำนาจอย่างมากมายเช่นในตอนต้นเรื่องสามก๊ก
จากที่คุณหาญบิงเล่ามา ฟังเหมือนกับว่าขันทีเหล่านี้ไม่ได้ถูกตอน เป็นชายแท้เข้าไปคลุกคลีตีโมงกับหญิงสาวได้โดยไม่มีอุปสรรคใดๆ นอกจากต้องห้ามใจตัวเอง จึงเป็นธรรมดาอยู่เองที่ห้ามไม่สำเร็จ
ขอถามตามหลักการแพทย์ ชายที่ถูกตอน มีความรู้สึกเหมือนชายที่เสื่อมสมรรถภาพ (impotent) ไหมคะ ถ้าไม่ ก็แปลว่าพวกนี้ก็ยังมีความรู้สึกอย่างชายแท้ทั่วไป เพียงแต่พิการเท่านั้นเองอันนี้ขอเสริมนิดหน่อยครับ
๑. คำว่า "ฉ่ายหู้" (菜户: cai hu) นอกจากจะหมายถึงการใช้ชีวิตคู่แบบสามีภรรยาแล้ว ไม่ใช่คบๆแบบกิ๊กๆกั๊กๆ จะใช้สื่อถึงเฉพาะ ความสัมพันธ์ระหว่างขันทีกับนางข้าหลวง แต่คำว่า "ตุ้ยสือ" (对食: dui shi) สามารถใช้ได้หมด ทั้งขันทีกับขันที นางข้าหลวงกับนางข้าหลวง และ ขันทีกับนางข้าหลวง
๒. ขันทีจีนแม้จะถูกตัดอวัยวะเพศแล้ว แต่ว่าในความคิดของจีน รวมถึงนักประวัติศาสตร์จีน กล่าวว่า ขันทีโดยมากยังมีความต้องการทางเพศ และต้องการแสดงว่าตนยังเป็นชายอย่างสมบูรณ์ ดังนั้น จึงมีคู่รักเป็นหญิง และแต่งงานแบบชายธรรมดาทั่วไป แม้จะไม่สามารถร่วมเพศจริงๆได้ก็ตาม ก็จะใช้อุปกรณ์ต่างๆมาช่วย
๓. ขันทีที่กล่าวมาข้างต้นนี้ทั้งหมดถูกตัดอวัยวะเพศชายแล้ว แต่ว่าก็เป็นชายแท้
ภาพอุปกรณ์ที่ขันทีใช้ในการร่วมเพศแกะสลักจากงาช้าง สมัยราชวงศ์ชิง
อุปกรณ์ทางเพศสมัยราชวงศ์ฮั่น ทำจากสัมฤทธิ์
ขอบคุณบทความดีดีจากคุณ han_bing
เครดิต:
เนื้อหาโดย :
โพสโดย :JaAey..Ja (ทีมงาน TeeNee.Com)
ข่าวดาราบน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!