คนขี้โกหกสุด ๆ ทุกเรื่องในชีวิตมันมีจริง ๆ นะเออ ไม่เว้นแม้แต่ที่ทำงาน PART 8
PART 1 : https://board.postjung.com/911516.html
PART 2 : https://board.postjung.com/911546.html
PART 3 : https://board.postjung.com/911613.html
PART 4 : https://board.postjung.com/911848.html
PART 5 : https://board.postjung.com/912160.html
PART 6 : https://board.postjung.com/912232.html
PART 7 : https://board.postjung.com/912457.html
นายวีกลับมาจากงานแต่ง กลับมาแบบเงียบๆ นั่งทำงานลีบๆ ไม่มีของชำร่วยมาแจกซักอัน อย่างน้อยแจกพวกหัวหน้าก็ยังดี (ก็แหงล่ะ มันไม่ได้แต่ง)
เพื่อนๆ ในแผนกแกล้งถามถึงรูปถ่าย นายวีไม่ตอบ ได้แต่หัวเราะเล็กๆ แก้เก้อ
ถามว่างานแต่งเป็นไง ก็ตอบแบบง่ายๆ เหมือนคนไม่ได้เตรียมตัว
หลายวัน หลายสัปดาห์ผ่านไป ไม่มีใครได้เห็นรูปถ่ายงานแต่งเลย รูปพรีเวดดิ้งที่ถ่ายไว้ล่วงหน้าก็แทนที่จะมีมาซะหน่อย
นายวีทำเป็นพูดว่า “ต้นรักสตูดิโอ ไม่ส่งรูปให้ซะที พี่โทรไปว่ามันหลายรอบละ” (ผมได้ยินชื่อนี้แล้วขำเลย นึกถึงกำแพงเบอร์ลินน่ะ เหมือนชื่อแรกที่นึกได้ ชื่อแรกที่ป็อปปูลาร์ก็อ้างซะเลย)
พอหัวหน้าทวงถาม ก็อ้างว่ารูปอยู่กับเพื่อนบ้าง อยู่ที่บ้านบ้าง จนผู้จัดการเป็นฝ่ายบ่นเองเลยว่า “มันแปลกๆ”
วันดีคืนดีแกบ่นกับหัวหน้านายวีซะเลยว่า “บอกลูกน้องเธอบ้างนะ โกหกผู้ใหญ่แบบนี้มันไม่ดี ชั้นไม่ชอบ”
..................................................................................................................................................................
ต่อมา มีเรื่องที่น้องในส่วนงานเดียวกับนายวีชักจะทนไม่ไหวเรื่องงาน จึงฟ้องผู้จัดการในวันที่นายวีไม่อยู่
ซึ่งไม่ใช่มีแค่ส่วนงานนายวีเท่านั้น พวกเราทุกคนถึงกับรวมหัวแชร์เรื่องต่างๆ ว่าอะไรเป็นอะไรบ้างที่เกิดขึ้น ถึงขั้นประชุมแผนกเลยทีเดียว
โดยตัวผมเล่าเรื่อง เรียนปริญญาโทไม่จริง เพราะเรื่องอื่นเข้าข่ายเรื่องส่วนตัวไปหน่อย แต่กับเรื่องนี้คือโกงเวลางานตรงๆ (จริงๆ ทุกเรื่องมันก็โกงเวลาทำงานทั้งนั้นนะ)
ผู้จัดการแย้งมาว่า "เขาบอกพี่ว่าเขาเรียนจบแล้วนะ"
ผมก็ตอบกลับไปว่า ไม่มีชื่อนี้ในคณะนี้ไม่ว่าเรียนภาคไหนทั้งสิ้น แกได้ยินดังนี้ก็เริ่มโกรธเชียว
พอแกรู้ว่า เรื่องพ่อตายกับเรื่องเป็นมะเร็งก็ยังน่าสงสัย เท่านั้นแหละแกเดือดขึ้นมาเลย
แต่ละคนจะมีประเด็นอ่อนไหวแตกต่างกัน บางคนเรื่องบุพการีจะเอามาเล่นไม่ได้ บางคนก็ความเจ็บไข้ได้ป่วย บางคนเรื่องหลอกลวงผู้หลักผู้ใหญ่
(ของผมจะเป็นเรื่องสถานบันการศึกษา อย่าเอาสถาบันที่ผมเรียนมาแอบอ้าง)
ผู้จัดการผมจึงโทรไปขอให้ฝ่ายบุคคลให้สืบสองเรื่องนี้ซะ
บังเอิญนายวีชวนญาติมาฝึกงานที่บุคคล เรื่องจึงง่ายขึ้น น้องเขาบอกว่า พ่อนายวียังอยู่
ส่วนเรื่องป่วยนี่ยากหน่อยเพราะ โรงพยาบาลไหนก็ไม่ให้ข้อมูลผู้ป่วยแน่ๆ
ฝ่ายบุคคลจึงขอข้อมูลหมอซะเลย โดยดูจากใบรับรองแพทย์ที่นายวีใช้ลา ก็ทราบว่า หมอท่านนี้เป็นหมออายุรกรรม ไม่มีสิทธิ์สั่งยามะเร็ง
เท่านั้นล่ะ เรื่องก็มาคลี่คลายครบถ้วน จึงเหลือแต่การสอบสวนจากปากจำเลย โดยมีผู้จัดการบุคคลและผู้จัดการแผนกผมเข้าร่วมสอบสวน และตัดสินความผิดต่างๆ
นายวีไม่ยอมรับข้อกล่าวหาเลย อ้างว่าจะไปหาหลักฐานมา
ยอมรับแค่เรื่องเดียว คือเรื่องไม่ได้เรียนโท สารภาพว่า ไปเรียนแค่อาทิตย์เดียวแล้วไม่ได้ไปอีกเลย แต่ก็ยังหยุดวันเสาร์เรื่อยมา
ซึ่งผมเองมองว่าเป็นไปไม่ได้หรอก อย่างนายวีไม่มีทางสอบติด หรืออาจจะไม่ได้ไปสมัครสอบเลยก็ว่าได้
เวลาผ่านไปไม่มีหลักฐานที่เอามาอ้างซักชิ้น ดีแต่โพสรูปงานแต่งในไลน์ ใน facebook
นัยว่า นี่ไง ฉันมีรูปงานแต่งมาอวดแล้ว จะขอดูกันอีกทำไม
ต่อมามีการโพสต์รูปซองน้ำตาลจากโรงพยาบาล (นัยว่ามีข้อมูลการรักษาอยู่ในนั้น) แต่ไม่เห็นจะเอามายื่นเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์เลย แค่โพสเฉยๆ
ชีวิตการทำงานต่อจากนั้น ฮีอยู่เงียบๆ ในแผนก ไม่คุยกะใคร และเหวี่ยงวีนไม่พอใจ โดยเฉพาะเพื่อนจากแผนกบุคคลที่ตีสนิทกันไว้ ฮีเชิดใส่ไม่คุยด้วยเลย
มีการเปรยๆ กับบางคนว่าจะไปซื้อปืน แล้วขึ้นรูปหน้าไลน์เป็นรูปปืนรุ่นต่างๆ ด้วย คงแค้นคนหลายๆ คนที่เอาเรื่องเขามาพูด แน่นอนว่าเซฟมาจากในเน็ต
และแล้วจุดพลิกผันคือ นายวีจะลาออก บอกหัวหน้าตนว่า “ผมจะพิสูจน์ตัวเอง ด้วยการลาออก” (ประโยคนี้มันแปลกๆ พิกล)
ใครๆ ก็งง ถ้าจะพิสูจน์ตัวเองก็ต้องเอาหลักฐานมายืนยันสิ ลาออกมันใช้กับการหนีคดี
ฝ่ายบุคคลยอมให้ลาออกไปแต่โดยดี
ถ้าเป็นที่อื่นคงจับเซ็นสัญญาไม่ให้ออก จนกว่าจะทำงานใช้หนี้กับบริษัท ที่โกงเวลาทำงานไป บริษัทจ่ายเงินเดือนเต็มเวลาแต่โกงไปเท่าไหร่ก็คำนวณออกมา
ยังไม่จบนะครับ มีเด็ดๆ อีก น่าจะซักตอน สองตอนได้