คนขี้โกหกสุด ๆ ทุกเรื่องในชีวิตมันมีจริง ๆ นะเออ ไม่เว้นแม้แต่ที่ทำงาน PART 2
PART 1 : https://board.postjung.com/911516.html
ต่อครับ
และแล้วนายวีก็สอบผ่าน ได้เข้าไปเป็นนักศึกษาปริญญาโทสมใจ
ส่วนไทม์ไลน์ของการเข้าไปเรียนน่ะหรอ เพื่อนๆ ไม่ได้รับรู้แต่ละสเต็ปของการสอบเข้าไปเลย ทั้งสอบข้อเขียน กี่ตัว ข้อสอบยากมั้ย สอบสัมภาษณ์เมื่อไหร่ วันประกาศรายชื่อ วันขึ้นทะเบียน
อยู่ๆ ก็มาบอกว่า สอบติดแล้ว
ต่อมา นายวีก็ยื่นเรื่องกับฝ่ายบุคคล เพื่อขอหยุดวันเสาร์เพราะต้องไปเรียนโท แลกกับการต้องทำงานในวันธรรมดาจนถึง 6 โมงครึ่ง (ปกติแผนกผมหยุดวันอาทิตย์วันเดียว เลิกงานในวันปกติ 5 โมงเย็น)
แต่ด้วยฝีปากที่ตีสนิทฝ่ายบุคคลยังไงไม่ทราบ นายวีออกจากที่ทำงานตรงเวลา 5 โมงซะเกือบทุกวัน (แผนกผมส่วนมากจะทำงานเลยเวลาไปหน่อย ซึ่งถ้านายนี่เลิกงานตามการตกลงของฝ่ายบุคคล คือ 6 โมงครึ่ง ยังไงก็มีคนนั่งทำงานเป็นเพื่อนอยู่แน่ๆ )
เรื่องมาความแตกเอาก็หลายเดือนต่อมา เพื่อนสนิทของผมซึ่งจบจากคณะนี้ มันก็มีรุ่นน้องกำลังเรียนโทอยู่ที่คณะนี้รุ่นเดียวกับที่นายวีอ้างเลยเชียว ความเผือกของผมเองนี่แหละ ดันไปถามว่ารู้จักนายวีป่าว มันบอกว่าไม่รู้จัก
ผมเลยให้ไปเช็คดู มันก็บอกไม่มีชื่อนี้ นามสกุลนี้เลย ไม่ว่าเรียนภาคไหนๆ ก็ตาม
เอาล่ะสิ ผมไม่สงสัยละ แค่นี้ก็กระจ่างแล้วสำหรับผม เพราะอะไรๆ มันเป็นไปไม่ได้ตั้งแต่เริ่มแรกแล้ว แต่ผมเก็บงำเรื่องนี้ไว้ ไม่ได้เอาไปบอกใคร คอยดูว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ ที่รู้ตอนนี้ก็คือ โกงเวลางาน และประจบประแจง (ก็ตีสนิทฝ่ายบุคคลจนกลายเป็นเพื่อนซี้กันไปเลย)
ต่อครับ...นายวีทำงานมาซักปีนึงได้ พฤติกรรมที่เด่นชัด คือลางานบ่อย ธุระเยอะ โดยมากเป็นธุระไม่จำเป็น นายนี่ใช้การขอร้องเสียงอ่อยกับหัวหน้าเพื่อลางาน แต่ก็ลากันตรงๆ ครับ ไม่ได้โกงอะไรนอกจากหยุดวันเสาร์ไปเรียนโท ซึ่งผมเห็นตีนงูมาตั้งแต่แรกแล้ว
ตามจริงแล้วลางานบ่อยขนาดนี้ นายวีเป็นมาตั้งแต่ยังไม่ผ่านโปร ลาจนไม่น่าให้ผ่าน นี่เป็นอุทาหรณ์สำหรับผู้เป็นหัวหน้าในเวลาต่อมา ว่าการให้อนุโลมให้เด็กผ่านโปรทั้งที่มีพฤติกรรมซ้ำซากแบบนี้ ต่อไปจะให้ออกก็เอาออกยาก
เวลาผ่านไป มีน้องใหม่เข้ามาทำงานเรื่อยๆ นายวีจะมีพฤติกรรมซ้ำๆ ที่เห็นได้ชัด คือ ชอบเล่าเรื่องตัวเอง โดยเฉพาะเด็กใหม่ๆ นี่จะชอบเข้าไปคุยให้ฟัง พูดคุยโดยใช้ keyword ให้อนุมานได้ว่ารวย
คุยเรื่องค่าใช้จ่าย เดือนนึงจ่ายเยอะ หมดไปหลักแสน และบางคราวถึงกับอวดตรงๆ เลยทีเดียว
ตอนนั้นทุกคนรวมทั้งผมด้วยก็เชื่อว่าเขารวยจริง เพราะถึงแม้จะทำผิดกฎบริษัท โกงเวลางาน แต่นั่นก็ไม่น่าจะเกี่ยวกับการเป็นคนมีเงิน ผมเชื่ออย่างนั้น
ถึงผมจะเชื่อว่ารวย แต่ส่วนตัวก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรเลยแม้แต่นิด รวยก็รวยไป ผมมาทำงาน ไม่ตื่นเต้นหรอกว่าใครจะมีเงิน มันเรื่องส่วนตัวของเขา ที่ว่าไม่ใส่ใจนี่คือ ไม่ได้ตื่นเต้นไปกับการอวดของเขา เล่าอะไรมาแค่รับฟัง จนนายวีไม่ค่อยคุยกับผม คงเพราะผมเฉื่อยเกิน ไม่ฮือฮากับความรวยของเขาเลย
และแล้ว เรื่องราวก็มาถึงจุดพลิกผันจนได้เมื่อนายวีเอารูปคฤหาสน์หลังงามสีขาวตระการ ตาขึ้นหน้า Desktop คอมพิวเตอร์เครื่องที่เขานั่งทำงาน ในรูปเป็นบ้านยังกะบ้านคนรวยในละครทีวีหลังข่าวที่เราดูกันบ่อยๆ
และในวันนั้น นายวีจะย่อหน้าต่างงาน เพื่อโชว์ Desktop อยู่เรื่อยๆ และค้างไว้นานกว่าปกติ (พูดง่ายๆ.... ไม่ค่อยทำงานทำการ)
จนมีน้องมาถามว่า นี่รูปบ้านใครอะ นายวีตอบว่า “บ้านพี่เอง” โดยไม่มีลักษณะของการพูดเล่นแต่อย่างใด
คำตอบนี้แหละที่สร้างความตะขิดตะขวงใจให้แก่ผม และคิดว่าจะต้องคอยจับตามองนายคนนี้ต่อไป