ผมมีเวลาไม่เกินสองเดือน ก่อนที่จะเสียภรรยากับลูกสาวไป
ผมอายุ 46 ปี ภรรยา 34 ปี ลูกสาว 4 ขวบ เราอยู่กันมา 9 ปีคับ ผมรักครอบครัวของผมมากๆ ผมทำธุรกิจส่วนตัว แต่หลังจากน้ำท่วมใหญ่ปี54 ทั้งที่บ้านและที่ร้านโดนหมดคับ ความเสียหายประมาณครึ่งล้าน นับจากนั้นมาบวกกับสภาพเศรษฐกิจที่แย่ลง ทำให้เกือบสิบเดือนที่ผ่านมา รายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่ายประจำ ไม่ว่าจะเป็นค่าผ่อนบ้าน(เหลืออีกยาว) ผ่อนรถ(เหลืออีกประมาณ 1 ปี) ค่าเช่าร้าน และค่ากินอยู่ รวมแล้วตกประมาณ 120,000 บาท/เดือน ยังไม่นับค่าประกันของเมียและลูกรายปี ค่าเทอม ค่าประกันรถ ใบอนุญาตค้าของเก่า และยิบย่อยอีกหลายรายการคับ ทำให้ผมต้องหยิบยืมเงินของภรรยารวมถึงแม่ยายมาหลายแสนบาทเพื่อพยุงธุรกิจ (ภรรยาผมถือบัญชีของคุณแม่เค้าอยู่) รวมถึงจ่ายค่าใช้จ่ายทั้งหลาย โดยที่รับปากกับภรรยาว่าเดี๋ยวนั้นเดี๋ยวนี้จะคืนให้ แต่เมื่อถึงเวลาผมกลับไม่สามารถหาเงินมาคืนได้ตามจำนวนที่หยิบยืมไป คืนเป็นบางส่วน แล้วพอเงินขาดก็ยืมใหม่ เป็นอย่างนี้หลายต่อหลายครั้ง (ผมไม่ดื่ม ไม่สูบ ไม่เที่ยว ไม่เล่นการพนัน เงินที่ใช้ไปเพื่อประคองและพยายามทำเพื่อครอบครัวเท่านั้นจริงๆ) เพราะพิษเศรษฐกิจ รายได้ผมตกลงราว 40-50% ต่อเดือน ในขณะที่ค่าใช้จ่ายยังคงเท่าเดิม ผมเป็นคนที่ไม่ค่อยพูด พยายามที่จะไม่นำเรื่องเครียดหรือไม่สบายใจเข้ามาที่บ้าน แต่นั่นกลายเป็นสาเหตุนึงที่ทำให้ผมอาจจะต้องเสียเธอไปอีกไม่เกินสองเดือนนี้
เมื่อ 3 วันที่ผ่านมา ผมรู้สึกผิดปกติจึงถามภรรยาว่ามีอะไรรึเปล่า ภรรยาผมจึงตอบว่าเธอตัดสินใจมา 1 สัปดาห์แล้วว่าจะพาลูกสาวไปอยู่ที่ต่างประเทศกับคุณแม่ยาย ไปทำงานที่นั่นและให้ลูกสาวเรียนที่นั่นโดยจะบอกกับลูกสาวว่าพาไปเที่ยวหายาย ส่วนคุณพ่อต้องทำงานที่เมืองไทย คุณแม่ยายผมก็อยู่ที่ต่างประเทศและก็ทราบเรื่องราวทั้งหมดแล้วด้วย แม่ยายก็โทรไลน์มาหาผมและถามว่ามีเรื่องอะไรกัน ผมก็บอกว่าไม่มี เราไม่ได้ทะเลาะกัน ซึ่งผมเองและแม่ภรรยาเราต่างรู้ดีด้วยกันว่า ภรรยาผมเป็นคนที่ใจแข็งมาก ตัดสินใจอะไรแล้วไม่มีใครไม่ว่าเป็นแม่หรือใครสามารถเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจเค้าได้ โดยสถานะสามีภรรยาต้องหยุดลงกลายเป็นเพียงพ่อและแม่ของลูก เพราะเธอรับปากไม่ได้ว่าถ้าอยู่ห่างกันขนาดนั้น และอาจใช้เวลาหลายปี ความรู้สึกของเธอจะยังคงเหมือนเดิมมั๊ย โดยที่เธอเองก็ยืนยันว่าเธอไม่ได้มีใครใหม่ โดยกะว่าจะคุยกับผมประมาณปลายๆเดือนนี้ แต่ผมมาคาดคั้นเอากับเธอก่อน ซึ่งทำให้ผมช็อคไปชั่วครู่ ไม่คิดว่าจะได้ยินประโยคนี้จากภรรยาผม (ทั้งๆที่เราไม่ได้มีเรื่องทะเลาะอะไรกันเลย จะมีบ้างก็ความน้อยใจ ความเครียดจากภาวะเงินขาดมือ) โดยที่ผมรู้สึกมาตลอดเวลาว่าภรรยาผมเองก็รักผมไม่น้อย เราน่าจะเป็นครอบครัวที่อยู่ไปกันจนแก่จนเฒ่า ผมพยายามคิดว่ามันคือความฝัน แต่ทำไมมันไม่ยอมตื่นซักที จนผมตั้งสติได้ก็เลยถามภรรยาว่าเพราะอะไร โดยเธอให้เหตุผลว่า
1. เธอเครียดจากภาวะที่ครอบครัวไม่เหลือเงินเพียงพอที่จะหมุนเวียนในแต่ละเดือนมานานหลายเดือนแล้ว ค่าใช้จ่ายเล็กๆน้อยบางอย่างในครอบครัว บางวันก็ต้องผลัดออกไปก่อน เธอกังวลว่าจะกระทบถึงอนาคตลูกสาวของเรา ส่วนตัวของเธอเองนั้น เธอบอกเสมอว่าเธอไม่ได้ห่วงความลำบากอะไร แต่เธอคิดแล้วว่าน่าจะดีกับลูกสาวเรามากกว่า เธอทำเพื่อลูก ซึ่งผมเชื่อว่าเธอเองพยายามหาสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูกสาวของเราแน่นอน ซึ่งผมก็ยอมรับว่าช่วงนี้เป็นช่วงที่ครอบครัวเราลำบากเหลือเกิน อยากกินอะไรแพงๆเหมือนเมื่อก่อนก็ไม่สามารถทำได้ ต้องนานๆกินที อยากซื้อของอะไรก็ต้องคิดกันเยอะๆหน่อย บางทีก็ต้องห้ามใจกันไว้ไม่ซื้อ จะพาลูกไปฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ก็ยังต้องผลัดออกไปก่อน เพราะต้องจ่ายค่าบ้าน ค่าเช่าร้านก่อน
2. ผมดึงเงินในส่วนของแม่ยายมาแล้วคืนบ้างไม่คืนบ้างตามแต่โอกาสที่รายได้จะอำนวย จนภรรยาผมเริ่มรู้สึกว่าผลกระทบมันเริ่มจะลามไปถึงคุณแม่เค้าแล้ว ประกอบกับผมเองได้ยืมเงินน้าสาวผมเองมาจำนวนหนึ่งด้วยโดยที่ผมโอนคืนให้ทุกเดือนเป็นระยะเวลา20เดือน(เพิ่งคืนได้3เดือน) ทำให้ภรรยาผมรู้สึกว่าผมเห็นแก่ข้างฝ่ายผม แต่ไม่คืนให้ทางคุณแม่เค้าเป็นกิจลักษณะเลย ทำให้เค้าน้อยใจมาก ซึ่งเค้าบอกว่าเก็บความรู้สึกแบบนี้มาหลายเดือนแล้ว ซึ่งในส่วนนี้ ผมเองก็ยอมรับว่าเรามองข้ามไปจริงๆ เพียงเพราะคิดว่า "ไม่เป็นไรหรอก ช้าหน่อยก็ได้ ของเมียเรากับแม่ยายเราเอง" ผมพลาดไปอย่างมาก แต่ผมขอย้ำว่า ผมไม่ดื่ม ไม่สูบ ไม่เที่ยว ไม่เล่นการพนัน ไม่มีเรื่องผู้หญิง เงินที่ใช้ไปเพื่อประคองและพยายามทำเพื่อครอบครัวเท่านั้นจริงๆ
3. ผมละเลยการทำหน้าที่สามีที่ดีในหลายๆเรื่อง อาการป่วยที่ต้องใช้การผ่าของภรรยาผม ถึงแม้จะไม่ได้รุนแรงถึงชีวิต แต่ก็สร้างความเจ็บปวดให้แก่เค้ามาหลายปี ผมเองก็ผลัดเค้าไว้ว่า เดือนมีนาคม-เมษายน ปีนี้จะพาเค้าไปผ่าออกให้ได้ แต่ก็มาติดขัดเรื่องเงินทำให้ยังไม่สามารถพาภรรยาผมไปผ่าได้ จนเมื่อวานนี้ภรรยาได้ขอให้ผมพาไปโรงพยาบาลแห่งนึงเพื่อไปผ่าโดยที่ผมไม่กล้าถามว่าเธอเอาเงินมาจากไหน คิดว่าคุณแม่ภรรยาคงโอนมาให้ ซึ่งหลังจากที่เธอผ่าแล้วผมเสียใจมากที่ผมละเลยสิ่งนี้ไป เธอบอกกับผมว่า ผมไม่เห็นว่าเธอสำคัญ เคยบอกผมหลายครั้งแล้วแต่ผมกลับไม่พาเธอไปผ่าซักที / ในบางคืนผมดูทีวีข้างล่างเสร็จก็เผลอหลับไปโดยที่ไม่ได้ขึ้นไปนอนกับลูกกับภรรยา บ่อยจนเธอเริ่มรู้สึกว่าเรายังเป็นครอบครัวอยู่หรือเปล่า ในขณะที่ผมเองไม่เคยคิดอย่างนั้น เป็นเพียงเพราะผมละเลยเรื่องเล็กๆน้อยๆในขณะที่ครอบครัวเราเผชิญอยู่กับความลำบาก ผมกลับไม่ได้ให้ความอบอุ่นกับเธอ / ผมเองก็มาป่วยด้วยอาการโรคเบาหวานได้ 2-3ปี ซึ่งมีผลต่อการมีเพศสัมพันธ์โดยตรง แต่ก็ไม่เคยบอกกับภรรยาผมตรงๆ จนกิจกรรมบางอย่างมันหายไปจนเธอรู้สึกถึงความสัมพันธ์ของคำว่าครอบครัวมันไม่มีเลย ซึ่งมันก็คือการละเลยของผมอีกเช่นกัน
ทั้งหมดนี้ผมเองมานั่งคิดทบทวน ถึงได้ข้อสรุปของผมเองว่า ผมละเลยทั้งเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ไปหลายต่อหลายเรื่อง ผมเสียใจมากร้องไห้มา 4 วันแล้ว ไม่มีจิตใจจะทำงานเลย
ผมมีเวลาเหลืออีกไม่ถึงสองเดือน ก่อนที่ภรรยาและลูกจะไปเมืองนอก
ผมอยากให้มีอะไรมาดลใจให้เธอเปลี่ยนความคิด ที่เล่ามาบางท่านอาจจะคิดเหมือนผมว่า ทำไมครอบครัวไม่มานั่งคุยกันก่อนที่จะตัดสินใจทำอะไร โดยเฉพาะเรื่องใหญ่ๆขนาดนี้ ผมเองอยากให้เป็นอย่างนั้น แต่ภรรยาผมเค้าบอกว่าเค้าตัดสินใจแล้ว ไม่มีอะไรมาเปลี่ยนความตั้งใจเค้าได้ ซึ่งบางครั้งผมเองก็คิดว่า ถ้าผมเองเป็นคนเลวๆ คนนึง ใช้จ่ายเงินเพื่อความสุขส่วนตัวโดยไม่นึกถึงครอบครัวเลย ผมจะไม่เสียใจขนาดนี้คับ
แต่ตรงกันข้ามผมทำเพื่อครอบครัว (ซึ่งละเลยในหลายเรื่องไปบ้างแต่ก็ไม่เคยเหลวไหล) ทำไมผมถึงต้องสูญเสียคนที่รักไปถึงสองคน โดยที่ผมตั้งตัวไม่ทัน และต้องอยู่สู้เพียงลำพัง มันเร็วและรุนแรงจนผมรับไม่ได้ ถึงแม้ภรรยาผมจะบอกว่า จะให้ลูกสาว Skype หาผมทุกวัน ส่วนระหว่างเธอกับผมปล่อยให้เป็นเรื่องของอนาคตก็ตาม และทุกครั้งที่กลับเมืองไทย เธอและลูกสาวผมจะมาพักที่บ้านเราทุกครั้งก็ตาม(อีก 6 เดือนหลังจากไปก็ต้องกลับมา 2 ครั้ง หลังจากนั้นอาจจะกลับทุกๆ 2 ปี) แต่ผมยังอยากให้มีปาฏิหารย์นำพาดวงใจของผมทั้งสองดวงกลับมาอยู่กันพร้อมหน้าเหมือนอย่างเดิม หรือผมควรจะปล่อยเค้าทั้งสองไปเจอสิ่งที่ดีกว่า อนาคตที่ดีกว่า (อยู่ที่เมืองนอก ผมรู้ว่าเค้าสองคนจะสบายกว่าอยู่ที่นี่) ไม่ต้องลำบากเหมือนตอนนี้ ผมสับสนมากๆคับ
รบกวนสมาชิกทุกท่านแสดงความเห็นในมุมมองทั้งของผู้ชายและผู้หญิง เพื่อช่วยผมตัดสินใจด้วยความสุภาพครับ ผมมีเวลาอีกแค่ไม่ถึงสองเดือนคับผม ขอบคุณล่วงหน้าคับ
สำหรับสิ่งที่ผมคิดและอาจจะต้องตัดสินใจ มีปัจจัยในการคิดอยู่สองทางคับผม
1. การเลือกการตัดสินใจที่คำนึงถึงความรู้สึกความต้องการของตัวผมเองในฐานะสามีและพ่อของลูกคับ ที่รักภรรยาและลูกสาวไม่น้อยกว่าใครๆคับ ซึ่งอันนี้ผมยืนยันถึงแม้หลายท่านจะยังเข้าใจว่าผมเฉยๆชาๆไม่ได้กระตือรือร้นที่จะทำทุกอย่างที่จะรั้งเธอไว้หรือไปอยู่กับพวกเค้าที่นู่น หรือแม้กระทั่งคิดว่าผมห่วงอย่างอื่นมากกว่าครอบครัวคับผม ผมเคยรู้สึกดีที่ตัวเรามีความสมบูรณ์ มีบ้านมีรถมีครอบครัวมีภรรยาที่น่ารักมีลูกสาวที่น่ารักมากมีธุรกิจส่วนตัวที่มีรายได้ไม่มากมายนักแต่ก็ไม่ลำบาก ผมว่าสิ่งต่างๆเหล่านี้หลายๆคนก็ประสงค์ที่อยากมีเช่นนี้เหมือนกันเพราะมันเพียงพอแล้วสำหรับชีวิตคนเรา แต่ผมพลาดไปหลายอย่างคับ แต่ยังยืนยันว่าผมรักเค้าทั้งสองมากกว่าสมบัติทั้งหลายที่เรามี ผมเองคนเดียวไม่มีอะไรเลยก็ได้คับผมผมยืนยัน ซึ่งถ้าผมเลือกข้อนี้ นั่นหมายถึงผมจะพูด อธิบาย เจรจา ขอโอกาส หรือแม้กระทั่งขอร้องเธอ.... ผมทำมาหมดแล้วคับ แต่ดูเหมือนกลายเป็นการสร้างความกดดัน ความเครียดให้เธอมากกว่าเดิม
ที่จริง ข้อนี้เป็นข้อที่ผมอยากเลือกมากที่สุดคับ เพราะผมจะได้อยู่พร้อมหน้ากับคนที่ผมรักทั้งสองคน
2. การเลือกการตัดสินใจที่คำนึงถึงสิ่งต่างๆรอบตัว(โดยไม่เอาความรู้สึกความต้องการของผม )ไม่ว่าจะเป็นอนาคตความสุขสบายของพวกเค้าทั้งสองคน หรือความตั้งใจของทั้งภรรยาผมและคุณแม่เธอ ภาระหน้าที่ที่ต้องอยู่ดำเนินธุรกิจต่อ (ถึงแม้มันจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมประสบปัญหาที่เป็นอยู่ ซึ่งที่จริงแล้วอาจเกิดจากผมที่ทำธุรกิจไม่ปรับตัวให้เร็วเพื่อทันต่อภาวะวิกฤตก็ได้ ซึ่งผมอาจจะต้องปรับตัวโดยเร็ว มองว่าธุรกิจน่าจะยังไปได้แต่ต้องเปลี่ยนวิธีการอีกเยอะเหมือนที่หลายท่านแนะนำ) หน้าที่ที่ผมต้องดูแลคุณแม่ผมเองด้วย และอีกหลายๆอย่าง ที่จริงแล้วผมทิ้งทุกอย่างได้ แต่ไม่มีอะไรมาการันตีในภาวะที่เศรษฐกิจโลกหรือบ้านเราในขณะนี้ที่ตกต่ำลงมากๆ กับการที่ต้องไปนับศูนย์ใหม่กับงานใหม่ (ผมไม่กลัวการเปลี่ยนแปลงนะครับ) ซึ่งถ้าวันนึงการเริ่มต้นใหม่มันไม่ได้ดีเหมือนที่เราคิดเราคาดหวัง นั่นหมายความว่าผมและครอบครัวเราไม่เหลืออะไรเลย และอาจจะวนกลับมาสู่สภาพนี้อีก ซึ่งเธอบอกว่าเธอตัดสินใจแล้วอย่าทำให้เธอลังเลเลย
ที่จริง ข้อนี้ผมไม่อยากเลือกเลย เพราะผมอาจต้องเสียพวกเค้าทั้งสองไป
ถึงตอนนี้ผมจะยังไม่รู้ว่าผลมันจะออกมาทางไหน การตัดสินใจเลือกของผมจะมีผลต่อการตัดสินใจของภรรยาผมมากน้อยแค่ไหน แต่ผมจะพยายามทำเวลาที่เหลืออีกไม่ถึงสองเดือนให้ดีที่สุดคับ หลายท่านอาจมีมุมมองที่แตกต่างกันคับ เราได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันโดยไม่ต้องมีเงินทองเยอะแยะแค่พอมีไม่ถึงกับลำบากก็น่าจะพอ แต่ผมต้องมองให้ไกลมากกว่านั้นคับ เพราะไม่รู้ว่าผมจะอยู่ได้อีกนานแค่ไหนเพราะเราไม่รู้อนาคต ผมอยากวางรากฐานความมั่นคง (ถึงที่ผ่านมาจะล้มลุกคลุกคลานไม่น้อย และตอนนี้ก็ยังไม่ถึงจุดๆนั้น) ให้ลูกสาวเราให้ภรรยา ให้เค้าอยู่ได้โดยไม่ลำบาก ผมไม่อยากจากไปโดยที่เค้าทั้งสองคนต้องลำบาก นี่อาจเป็นเหตุผลที่ตอบคำถามหลายๆท่านว่า "ทำไม แค่ทิ้งไป ไปเริ่มต้นใหม่ก็จบ" หลายท่านอ่านแล้วอาจคิดว่าผมมีคำตอบอยู่ในใจแล้ว แต่ยังคับ ทั้งสองด้านมันกำลังสู้ กำลังต่อต้านกันอยู่ เพียงแต่ผมเห็นว่าผมยังมีเวลาพิสูจน์ตัวเองอีกเกือบสองเดือน ถึงเวลานั้นแล้วเธอยังยืนยันว่าจะไป ผมคงต้องเคารพการตัดสินใจของเธอ แล้วนำข้อแนะนำของหลายๆท่านมาปรับปรุงตัว ทั้งด้านพฤติกรรม การเอาใจใส่เรื่องเล็กๆน้อยๆของคนรอบข้าง ด้านการทำธุรกิจ (โดยเฉพาะการทำบัญชีรายรับ รายจ่ายของครอบครัว ที่มีบางท่านพูดถึงไว้ ซึ่งผมไม่เคยทำเลย ในชีวิต) ธุรกิจที่ทำอยู่น่าจะยังพอไปได้ถ้าผมปรับเปลี่ยนวิธีให้เข้ากับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ Aggressive ให้มากขึ้น เปลี่ยนจากธุรกิจเชิงรับที่ทำอยู่ เป็นธุรกิจเชิงรุก ไม่ต้องรอคอยลูกค้า Walk in เข้ามาอย่างเดียว ทุ่มเทให้มาก เอาเค้าทั้งสองคนเป็นเป้าหมาย
ถ้าสุดท้ายแล้วเธอไป รอบแรกเธอไปไม่เกิน6เดือน ต้องกลับมาต่อวีซ่า ผมคงมีเวลานั้นอีกครั้งที่จะทำเพื่อที่ดึงเธอกลับมา ผมสัญญากับตัวเอง ภรรยา ลูกสาวและทุกๆคนคับ ว่าผมจะทำให้เต็มที่ สู้ให้เต็มที่เพื่อครอบครัวของผมคับ
ขอบคุณมากๆคับผม
***11/4/2558 21:06
ขออนุญาตสั้นๆ คับ เนื่องจากบางความคิดเห็นที่ผ่านมาเริ่มมีการตำหนิภรรยาผม โดยที่ผมเองก็รู้อยู่เต็มอกว่าไม่ได้เป้นอย่างที่หลายท่านกล่าวถึงคับ ถ้าหลายๆท่านจะมองว่าผมออกมาแก้ตัวแทน แต่ผมกลับมองว่าผมปกป้องภรรยาเนื่องจากเธอไม่ได้อยู่ในกระทู้ และไม่มีโอกาสพูดหรือชี้แจงคับ จากวันนั้นถึงวันนี้เรายังพอมีเวลาเหลืออยู่ด้วยกันเกือบสองเดือนที่บ้านเราคับ และก็ได้มีการพูดคุยกันทุกวัน โดยที่เราตัดเรื่องที่ดราม่าออกทั้งหมดคับ พยายามใช้เหตุผลคุยกัน เธอยังยืนยันกับผมว่าถ้าเฉพาะตัวเธอเธอไม่ได้สนใจความลำบากอะไร แต่เธอไม่อยากให้ลูกสาวเราต้องเผชิญความเสี่ยงเผื่อถ้าวันนึงข้างหน้าที่สถานการณ์การเงินยังคงเป็นแบบนี้ เธออึดอัดที่ต้องเห็นลูกสาวเราอยากได้อะไรแต่เธอต้องคอยบอกกับลูกว่า "เอาไว้วันหลังนะ มันไม่มีประโยชน์ แล้วอีกอย่างตอนนี้พ่อกับแม่ไม่ค่อยมีเงินนะลูก"
เป็นไงคับ ผมฟังแล้วน้ำตาของคนเป็นหัวหน้าครอบครัวมันสลายคับ ที่ตัวเองกลับดูแลเค้าไม่ดีพอ เธอบอกว่าเธอไปภาระผมคงน้อยลง (ทั้งๆที่ผมบอกเธอว่า ผมไม่เคยคิดว่าเธอกับลูกสาวเป็นภาระเลย) น่าจะอยู่สู้ประคับประคองสถานการณ์ได้
ส่วนเธอจะไปหางานทำแล้วจะส่งเงินมาช่วยผ่อนบ้านให้หมดเร็วๆ ส่วนในเรื่องของสามีภรรยาให้เป็นเรื่องของอนาคต นี่คือข้อเท็จจริงคับ เธอเองก็ขอให้ผมเข้าใจว่าทำไมเธอถึงเลือทางออกแบบนี้
แต่ที่ผมเครียดและเป็นทุกข์ที่ผ่านมา เพราะผมไม่เข้าใจเธอเลยว่าทำไมเธอต้องตัดสินใจเลือทางออกนี้ด้วยเท่านั้นเอง และผมไม่อยากเสียพวกเค้าไปมากๆ จนทำให้ผมตัดสินใจกับตัวเองไม่ถูกว่าจะเดินต่อยังไง แต่เวลาผ่านไปผมเริ่มมองภาพชัดขึ้นว่าจะเดินต่อไปอย่างไร จากความคิดเห็นดีดี ประสบการณ์ดีดี คำแนะนำดีดีจากใน Pantip นี้คับ
ที่ผมเล่าก็เพราะผมมองว่าผมอยากปกป้องภรรยาเนื่องจากเธอไม่ได้อยู่ในกระทู้ และไม่มีโอกาสพูดหรือชี้แจงคับ ส่วนที่จะมีใครมองในทางที่ไม่ดี ผมขออนุญาตรับไว้เองนะคับ ขอบคุณมากๆ คับผม