ปิรามิด พลังงานและความลับของจักรวาล ตอน 8/8
มหาสฟิงซ์
ตอนที่แล้ว นาย คาเรล ดูร์บอล์ ก็ได้ใช้ประโชน์จากพลังานลึกลับของปิรามิดให้เป็นเรื่องเป็นราวซะเลย โดยการจดสิทธิบัตรปิรามิดจำลองที่สร้างขึ้น เพื่อทำให้ให้ใบมีดโกนคมขึ้น เรื่องราวของความลึกลับจากพลังงานที่ซ่อนเร้นของปิรามิดยังมีอีกมากมาย และคงไม่จบเพียงเท่านี้ตราบที่มนุษย์ยังไม่สามารถค้นพบในรายละเอียดที่เชื่อว่ายังมีอยู่อีกในปิรามิดนั่นเอง ตอนสุดท้ายนี้สิ่งที่จะไม่กล่าวถึงคงไม่ได้ เพราะเป็นเสมือนสัญญลักษณ์ประจำปิรามิดไปเสียแล้ว เพราะเมื่อพูดถึงปิรามิดคนก็มักจะนึกถึงสถาปัตยกรรมล้ำค่าที่เคียงคู่ปิรามิดเสมอคือ สฟิงซ์ เรามาติดตามในรายละเอียดของสัตว์ที่มีหน้าตาประหลาดนี้กันดีกว่าครับ
มหาสฟิงซ์ (The Great Sphinx of Giza) คือ รูปสฟิงซ์แกะสลักด้วยหินขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศอียิปต์ มีตัวเป็นสิงโตและมีหัวเป็นมนุษย์ อยู่ในบริเวณหมู่พีระมิดทั้ง 3 แห่งกิซ่า หมอบเฝ้าอยู่ใกล้กับ พีระมิดคาเฟร โดยหันหน้าไปทางทิศตะวันออก
สฟิงซ์คือชื่อสัตว์ประหลาดในตำนานไอยคุปต์วิทยา และมีในตำนานชนชาติอื่นด้วย มีลักษณะต่างกันไป แต่จะมีตัวเป็นสิงโตเหมือนกัน สฟิงซ์ในตำนานกรีก มีใบหน้าและช่วงอกเป็นหญิงสาว มีปีกแบบนกอินทรีย์ และสามารถพูดภาษามนุษย์ได้ สฟิงซ์จะคอยถามคำถามกับมนุษย์ที่หลงมาพบมันเข้า หากตอบคำถามไม่ได้ มนุษย์ผู้เคราะห์ร้ายนั้นก็จะถูกสังหาร ส่วนสฟิงซ์ของอียิปต์โบราณ ไม่มีปีกมีหน้าเป็นมนุษย์ผู้ชาย และยังมีแบบที่หัวเป็นแกะ (Criosphinx) และหัวเป็นนกเหยี่ยว (Hierocosphinx) อีกด้วย
ชาวอียิปต์โบราณ แกะสลักหินเป็นรูปสฟิงซ์ไว้เป็นจำนวนมาก แต่ที่มีชื่อเสียงที่สุดคือมหาสฟิงซ์แห่งกิซ่านี้เอง โดยนักโบราณคดีเชื่อว่า มหาสฟิงซ์แห่งกิซ่าเป็นอนุสาวรีย์ของฟาโรห์คาเฟร (Khafre) หรือ คีเฟรน(Chephren) ฟาโรห์ในราชวงศ์ที่ 4 ผู้สร้างพีระมิดคาเฟร เมื่อประมาณ 2600 ปี ก่อนคริสตกาล โดยเชื่อว่าใบหน้าของมหาสฟิงซ์จำลองมาจากใบหน้าของฟาโรห์คีเฟรน และสามารถสังเกตว่าส่วนหัวของมหาสฟิงซ์ มีสัญลักษณ์ของฟาโรห์อียิปต์ แสดงเอาไว้อย่างชัดเจน คือมีเคราที่คาง มีงูจงอางแผ่แม่เบี้ยที่หน้าผาก และยังมีเครื่องประดับ รัดเกล้าแบบฟาโรห์ ประกอบเข้ากับผ้าคลุมศีรษะ และคออีกด้วย จึงถือกันว่ามหาสฟิงซ์นี้ เป็นอนุสาวรีย์แกะสลักเก่าแก่ที่สุดที่รู้จักกัน อียิปต์โบราณถือกันว่าสฟิงซ์เป็นร่างจำแลงภาคหนึ่งของเทพเจ้า การที่ฟาโรห์คาเฟร ให้แกะสลักใบหน้าสฟิงซ์เป็นใบหน้าของพระองค์ จึงเป็นการแสดงว่าพระองค์เปรียบดังเทพเจ้านั่นเอง
ประวัติ
ประมาณ 1 พันปีต่อมา หลังจากยุคสมัยของฟาโรห์คาเฟรที่มหาสฟิงซ์ถูกสร้างขึ้น มหาสฟิงซ์ถูกพายุทรายพัดทับถมจนเหลือให้เห็นเพียงส่วนหัว เล่ากันว่ามีเทพเจ้ามาเข้าฝัน เจ้าชายธุตโมส บอกให้พระองค์นำทรายที่ทับถมมหาสฟิงซ์ออก หากทำตามจะส่งผลให้ พระองค์ได้เป็นฟาโรห์ที่ยิ่งใหญ่ มหาสฟิงซ์ จึงได้รับการดูแลรักษาเป็นครั้งแรก
ภาพ มหาสฟิงซ์ ถูกทรายทับถมบันทึกเมื่อปี ค.ศ.1867
เจ้าชายธุตโมสนี้ ต่อมาได้ขึ้นครองอียิปต์เป็นฟาโรห์ธุตโมซิสที่ 4(Thutmosis IV) แห่งราชวงศ์ที่ 18 นับเป็นฟาโรห์ที่ยิ่งใหญ่พระองค์หนึ่ง หลังยุคสมัยของฟาโรห์ธุสโมซิสที่ 4 ในเวลาต่อมา มหาสฟิงซ์ก็ถูกทรายทับถมอี และได้รับการดูแลรักษาขึ้นมาใหม่จนเห็นเต็มตัวในปัจจุบัน
ปัจจุบันใบหน้ามหาสฟิงซ์ถูกทำลายจนแทบสังเกตรายละเอียดไม่ออก ร่ำลือกันว่าเกิดจากทหารของนโปเลียนที่มาอียิปต์ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 18 ใช้ใบหน้าของมหาสฟิงซ์เป็นเป้าซ้อมยิงปืน ทำให้รูปงูแผ่แม่เบี้ยที่หน้าผากชำรุดเสียหาย จมูกแหว่ง และเคราหลุด อย่างไรก็ตามจากหลักฐานภาพวาดเก่าแก่เมื่อ 400 ปีก่อน พบว่าจมูกของมหาสฟิงซ์ชำรุด ตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว และมีบันทึกของอาหรับว่าใบหน้าสฟิงซ์ถูกทำลาย ในคริสต์ศตวรรษที่ 14 ซึ่งเป็นเวลาก่อนหน้ายุคสมัยของนโปเลียนหลายร้อยปี
นอกจากนี้ยังร่ำลือกันว่า ชิ้นส่วนของจมูกและเครามหาสฟิงซ์ ถูกนำไปเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์อังกฤษ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ และทางการอียิปต์ ได้พยายามดำเนินการทวงถามเพื่อนำกลับคืนประเทศอียิปต์แต่ยังไม่เป็นผลเรื่องชิ้นส่วนจมูกและเคราของมหาสฟิงซ์นั้น ความจริงปรากฏว่า ปัจจุบันพิพิธภัณฑ์อังกฤษได้เก็บรักษา "ส่วนหนึ่ง" ของเครามหาสฟิงซ์ ที่มีความยาวประมาณ 78 เซนติเมตรเอาไว้
ขนาด
มหาสฟิงซ์ มีความยาววัดจากหัวถึงหางกว่า 240 ฟุต (74 เมตร) มีความสูงประมาณ 66 ฟุต (20 เมตร) และเฉพาะส่วนใบหน้าของมหาสฟิงซ์ก็กว้างถึงประมาณ 14 ฟุต ทั้งหมดแกะสลักขึ้นจากหินปูนก้อนใหญ่เพียงก้อนเดียว ดังนั้นนอกจากจะนับว่าเป็นอนุสาวรีย์แกะสลักที่เก่าแก่ที่สุดแล้ว มหาสฟิงซ์แห่งกิซ่า ยังเป็นรูปแกะสลักแบบลอยตัวจากหินก้อนเดียวที่ใหญ่ที่สุดในโลกชิ้นหนึ่งอีกด้วย
เป็นยังไงกันบ้างครับสำหรับเรื่องราวของสฟิงซ์ สัตว์ที่เสมือนทำหน้าที่ปกป้องปิรามิด เป็นศิลปลอยตัวที่ยิ่งใหญ่จริงๆ เลยนะครับ ก็ไม่รู้ว่าคนสมัยนั้นขนหินก้อนใหญ่ขนาดนั้นมาได้อย่างไรเพื่อแกะมหาสฟิงซ์ พระเจ้านโปเลียนเกือบเป็นแพะไปแล้วนะครับโชคดีว่ามีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ว่าท่านไม่ได้ทำ แต่ที่แน่ๆ อังกฤษนักล่าอณานิคมและอีกหลายประเทศที่ครอบครองโบราณวัตถุที่ทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์น่าจะคืนสมบัติที่ไม่ใช่ของตัวเองคืนแก่อิยิปต์ เพราะมันเป็นศิลปะที่ล้ำค่าโดยเฉพาะทางจิตใจต่อประชาชนเจ้าของอารยธรรม และต่อประวัติศาสตร์โลกในอนาคต
ผมเป็นเพียงผู้เรียบเรียงเรื่องราวต่างๆ ที่มีอยู่ในหลายบทความเพื่อให้สะดวกต่อการอ่าน และให้ง่ายต่อการเข้าใจ หวังว่าผู้อ่านทุกท่านคงได้รับประโยชน์จากเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยจากบทความทั้ง 8 ตอน แล้วพบกันใหม่ในบทความที่จะนำเสนอในโอกาสต่อไป สำหรับวันนี้คงต้องกล่าวสวัสดีครับ
เรียบเรียงโดย พรชัย สังเวียนวงศ์ (mata)
ที่มา: wikipedia.org