หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Team Page อัลบั้ม คำคม Glitter เกมถอดรหัสภาพ คำนวณ การเงิน ราคาทองคำ กินอะไรดี
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

รู้หรือไม่ ? ที่มาและประวัติของ "สุกี้ยากี้" เป็นมาอย่างไร ?

เนื้อหาโดย dukedick

ถ้าพูดถึงเมนูหม้อไฟของญี่ปุ่นที่ทั้งอร่อย อบอุ่น และมีเรื่องเล่าอยู่ในตัว “สุกี้ยากี้ (Sukiyaki)” ต้องติดอันดับต้น ๆ แบบไม่ต้องสงสัยเลย เมนูนี้ไม่ได้เป็นแค่อาหาร แต่เหมือนเป็นหน้าต่างที่พาเราย้อนเวลากลับไปดูวิถีชีวิต ความเชื่อ และการเปลี่ยนแปลงของสังคมญี่ปุ่นตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน 🍲🇯🇵

หลายคนอาจคุ้นเคยกับสุกี้ยากี้ในภาพเนื้อวัวสไลซ์บาง ๆ สีสวย ผักสด ๆ วางเรียงในหม้อเหล็กร้อน ๆ กินคู่กับไข่ดิบ แต่รู้ไหมว่าจุดเริ่มต้นของสุกี้ยากี้นั้น เรียบง่ายและดิบกว่านั้นมาก จนแทบไม่น่าเชื่อว่าเมนูหรูในวันนี้ จะมีต้นกำเนิดจาก “จอบ” ที่ใช้ไถนา

ชื่อ “สุกี้ยากี้” มาจากคำว่า “Suki” (鋤) ที่แปลว่า จอบ และ “Yaki” (焼き) ที่แปลว่า การย่าง ซึ่งชื่อก็บอกเล่าเรื่องราวได้ตรงตัวเลย เพราะในอดีต โดยเฉพาะช่วง สมัยเอโดะ ก่อนการปฏิรูปเมจิ ญี่ปุ่นได้รับอิทธิพลจากพระพุทธศาสนาอย่างมาก การบริโภคเนื้อสัตว์ถือว่าไม่เหมาะสมหรือไม่เป็นที่ยอมรับในสังคม

แต่แน่นอนว่าเรื่องกินกับเรื่องปากท้องเป็นของคู่กัน แม้จะมีข้อห้าม แต่ชาวบ้านก็ยังแอบบริโภคเนื้อสัตว์อยู่ โดยเฉพาะเนื้อจากสัตว์ป่า เช่น หมูป่า กวาง หรือเป็ด เพียงแต่ทำกันแบบเงียบ ๆ ไม่เปิดเผย และในยุคนั้นก็ยังไม่มีหม้อหรืออุปกรณ์ทำอาหารที่สะดวกเหมือนปัจจุบัน วิธีการที่ง่ายที่สุดคือ นำเนื้อไปย่างบนส่วนที่เป็นเหล็กของจอบ ซึ่งสามารถนำไปตั้งบนกองไฟได้ นี่แหละคือจุดกำเนิดแบบบ้าน ๆ ของสุกี้ยากี้ในยุคแรกเริ่ม

จากอาหารที่กินกันอย่างหลบ ๆ ซ่อน ๆ สุกี้ยากี้เริ่มเปลี่ยนบทบาทครั้งใหญ่เมื่อญี่ปุ่นก้าวเข้าสู่ ยุคปฏิรูปเมจิ ช่วงเวลานี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของประเทศ ญี่ปุ่นเริ่มเปิดรับวัฒนธรรมตะวันตก และรัฐบาลก็ส่งเสริมให้ประชาชนบริโภคเนื้อสัตว์มากขึ้น เพราะเชื่อว่าจะช่วยเสริมสร้างสุขภาพและพละกำลังให้ทัดเทียมชาติตะวันตก

เมื่อการกินเนื้อไม่ใช่เรื่องต้องห้ามอีกต่อไป สุกี้ยากี้จึงค่อย ๆ ก้าวออกจากครัวชาวบ้าน กลายมาเป็นอาหารที่แพร่หลายในร้านอาหาร และพัฒนาอย่างจริงจัง ทั้งในแง่วิธีการปรุง วัตถุดิบ และรูปแบบการรับประทาน จนกลายเป็นหม้อไฟที่เราคุ้นตากันในวันนี้

สิ่งที่น่าสนใจคือ สุกี้ยากี้ไม่ได้มีสูตรเดียวทั้งประเทศ แต่มีความแตกต่างตามภูมิภาคอย่างชัดเจน ฝั่งตะวันออกของญี่ปุ่น เช่น โตเกียว จะนิยมการทำแบบ ต้ม โดยใส่เนื้อ ผัก และเต้าหู้ลงในน้ำซุปที่ปรุงจากโชยุ น้ำตาล และมิริน รสชาติจะกลมกล่อม หวานเค็มพอดี กินง่าย และซดน้ำซุปได้เพลิน ๆ

ขณะที่ฝั่งตะวันตก เช่น แถบคันไซ จะนิยมการทำแบบ ย่างก่อนต้ม เริ่มจากนำเนื้อวัวลงย่างในหม้อให้หอม แล้วค่อยใส่น้ำตาลและโชยุ คลุกเคล้าให้เนื้อเคลือบซอส จากนั้นจึงเติมผักและวัตถุดิบอื่น ๆ ลงไป วิธีนี้จะทำให้เนื้อมีรสเข้มข้น กลิ่นหอมชัดเจน และให้รสสัมผัสที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง

ไม่ว่าจะสูตรไหน สิ่งหนึ่งที่กลายเป็นเอกลักษณ์ของสุกี้ยากี้คือ การกินคู่กับไข่ดิบ ไข่จะช่วยเคลือบเนื้อร้อน ๆ ทำให้รสชาติกลมกล่อม นุ่มนวล และช่วยลดความเค็มหรือความร้อนจากหม้อได้อย่างดี เป็นวัฒนธรรมการกินที่หลายคนอาจรู้สึกแปลกในครั้งแรก แต่ถ้าได้ลองแล้วก็มักจะติดใจ

ในปัจจุบัน สุกี้ยากี้ไม่ได้เป็นแค่อาหารประจำชาติของญี่ปุ่นเท่านั้น แต่ยังแพร่หลายไปทั่วโลก ถูกดัดแปลงให้เข้ากับวัตถุดิบและรสนิยมของแต่ละประเทศ ทั้งการใช้เนื้อชนิดอื่น การปรับรสชาติ หรือแม้แต่เปลี่ยนวิธีการกินให้เข้ากับวัฒนธรรมท้องถิ่น

สำหรับประเทศไทย เรื่องราวของ “สุกี้” ก็มีเส้นทางของตัวเอง แม้ชื่อจะมาจากสุกี้ยากี้ญี่ปุ่น แต่ สุกี้ที่คนไทยคุ้นเคยมีรากฐานจากหม้อไฟแบบจีน ร้านอาหารในกรุงเทพฯ เริ่มนำเสนอหม้อไฟจีนภายใต้ชื่อ “สุกี้ยากี้” ราวปี พ.ศ. 2498 ก่อนที่คนไทยจะเรียกสั้น ๆ ติดปากว่า “สุกี้” และพัฒนาเป็นสูตรเฉพาะของไทย ทั้งน้ำจิ้มสุกี้ ผักหลากหลาย และการกินแบบรวมกลุ่มที่กลายเป็นภาพคุ้นตา

ต่อมาร้านดังอย่าง สุกี้โคคา ที่ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2500 ก็ยิ่งทำให้สุกี้แบบไทยเป็นที่นิยมแพร่หลาย จนกลายเป็นอาหารประจำโต๊ะของครอบครัวและกลุ่มเพื่อนมาจนถึงทุกวันนี้

จากจอบเหล็กในท้องนา สู่หม้อไฟหรูบนโต๊ะอาหาร สุกี้ยากี้จึงไม่ใช่แค่อาหารที่อร่อย แต่เป็นเรื่องเล่าของประวัติศาสตร์ การปรับตัว และวัฒนธรรมการกินที่เดินทางข้ามกาลเวลา และไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบญี่ปุ่นแท้ จีน หรือไทย ความอบอุ่นของการนั่งล้อมหม้อ กินไปคุยไป ก็ยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน 🍲✨

เนื้อหาโดย: dukedick
⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
dukedick's profile


โพสท์โดย: dukedick
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
ถล่มอุโมงค์ลับ เนิน 350 ทัพฟ้าส่ง F-16 เสิร์ฟไข่ 6 รอบติดไทย ชวดเหรียญทอง ปันจักสีลัต ทั้งที่กำลังจะขึ้นรับเหรียญย้อนวันวาน “ศูนย์อาหารมาบุญครอง พ.ศ. 2535” ต้นแบบฟู้ดคอร์ทไทย จากคูปองเงินสด สู่ยุคสแกนจ่ายในปลายนิ้วคลังเขมรเกลี้ยง ฮุนเซน ขอเงินเดือนเอกชน 5% อ้างช่วยชาติค้นพบแหล่งทองคำกว่า 500 ตัน มูลค่าสูงถึง 600,000 ล้านหยวนหนุ่มชาวมาเลเซีย ได้คู่จากแอพฯ แต่คุยมาตั้งนาน เพิ่งรู้ว่าคุยกับผู้ชายตอนได้เจอกันนั่นแหล่ะ...แฉเรือทุนไทยขายน้ำมันให้เขมร อดีต สว ประกาศ เตือน ทัพเรือสั่ง 'จมเรือ' ได้ทันที เพราะประกาศกฎอัยการศึก"ฮุน มานี" นำประชาชนกัมพูชาเดินขบวนกลางกรุงพนมเปญ..เพื่อเรียกร้องสันติภาพนาวิกยึดฐานเขมร เจออาวุธจีน ทุ่นระเบิดเพียบ แถมมีเอกสารฝึกวางกับระเบิดคาหนังคาเขาไมโครเวฟ 45 ปี จากครัวบ้านสู่พิพิธภัณฑ์ ตำนานความทนทานที่บริษัทผู้ผลิตยังต้องคารวะอันวา ร้ายลึก แอบขายอาวุธ ให้กัมพูชารวมภาพเรียกรอยยิ้มประจำวันนี้ ส่วนข้อคิดประจำวันก็คือ ทำวันนี้ให้ดีที่สุด เพราะอาทิตย์หน้า ก็ใกล้จะเข้าปีใหม่แล้ว เดี๋ยวงานค้าง เที่ยวไม่สนุก ขอบคุณครับ
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
หนุ่มชาวมาเลเซีย ได้คู่จากแอพฯ แต่คุยมาตั้งนาน เพิ่งรู้ว่าคุยกับผู้ชายตอนได้เจอกันนั่นแหล่ะ...ปิดดีล! จีนยอมขาย TikTok ในสหรัฐแล้วไมโครเวฟ 45 ปี จากครัวบ้านสู่พิพิธภัณฑ์ ตำนานความทนทานที่บริษัทผู้ผลิตยังต้องคารวะรวมภาพเรียกรอยยิ้มประจำวันนี้ ส่วนข้อคิดประจำวันก็คือ ทำวันนี้ให้ดีที่สุด เพราะอาทิตย์หน้า ก็ใกล้จะเข้าปีใหม่แล้ว เดี๋ยวงานค้าง เที่ยวไม่สนุก ขอบคุณครับ
กระทู้อื่นๆในบอร์ด สาระ เกร็ดน่ารู้
ทึ่งทั่วโลก : หุบเขาเทวดาวั้งเซียนกู่" หมู่บ้านที่สร้างอยู่ริมหน้าผา สถานที่ท่องเที่ยวแสนน่าทึ่งของประเทศจีนทึ่งทั่วไทย : "น้ำตกแม่กาษา" น้ำตกลำธารใส Unseen แม่สอด จังหวัดตากฮุน เซน จากทหารเขมรแดง สู่คนกุมอำนาจกัมพูชายาว 40 ปีคู่มือการปฏิบัติตัวหลังถอนฟัน (คนถาม - เอไอตอบ)
ตั้งกระทู้ใหม่