อินเดียสนใจซื้อบ้านในไทยไหม
อันที่จริงอินเดียสนใจซื้อบ้านหรืออสังหาริมทรัพย์ในไทยไม่น้อย แต่ก็ยังไม่ใช่อันดับแรกๆ แล้วอินเดียจะมีโอกาสมาเป็น “ผู้เล่น” ด้านอสังหาริมทรัพย์ตัวสำคัญในไทยหรือไม่
ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธาน ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (www.area.co.th) ได้เคยไปสำรวจความเห็นของนักอสังหาริมทรัพย์อินเดียและพบว่าอินเดียมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่กว่าไทย 6 เท่า คือมีขนาดเศรษฐกิจ 3.139 ล้านล้านเหรียญสหรัฐในขณะที่ไทยมีขนาดเพียง 526.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ อย่างไรก็ตามรายได้ประชาชาติต่อหัวของอินเดียยังต่ำกว่าไทยมาก คืออินเดียมีรายได้เฉลี่ยต่อหัว 2,697 เหรียญสหรัฐต่อคนต่อปี ในขณะที่ไทยมีรายได้เฉลี่ยต่อหัว 7,345 เหรียญสหรัฐ หรือคนไทยมีรายได้สูงกว่าชาวอินเดียถึง 2.7 เท่า
อย่างไรก็ตามในปี 2567 อินเดียมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ 6.5% ต่อปีในปี 2567 ในขณะที่ไทยเติบโตเพียง 2.5% และคาดว่าในปี 2568 จะเติบโตเพียง 1.2% เท่านั้น ยิ่งกว่านั้นอินเดีย มีประชากรถึง 1,451 ล้านคนซึ่งมากกว่าไทยถึงเกือบ 22 เท่า ดังนั้นประชากรที่ร่ำรวยที่สุด 10% แรกก็จะมีจำนวนถึง 145 ล้านคนแล้ว มากกว่าจำนวนประชากรไทยถึงสองเท่าเสียอีก
ดร.โสภณเคยสำรวจพบว่าประเทศที่ชาวอินเดียสนใจไปลงทุนมากที่สุดได้แก่:
ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส 2567
จากตัวเลขข้างต้นชาวอินเดียนิยมไปลงทุนในประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์มากที่สุดเพราะอยู่ใกล้อินเดียและเป็นประเทศที่เปิดโอกาสให้กับการลงทุนต่างชาติอย่างกว้างขวาง รองลงมาคือสหรัฐอเมริกาซึ่งชาวอินเดียไปลงทุนซื้ออสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐอเมริกาโดยอินเดียไปลงทุนซื้อเป็นอันดับที่ 4 รองจากจีน แคนาดา เม็กซิโก โดยในปี 2568 ไปซื้อถึง 4,700 หน่วย รวมมูลค่า 2.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ
ส่วนสิงคโปร์ ก็คงไปซื้อจริงไม่มากนักเพราะที่นั่นเขาคิดภาษีซื้อถึง 60% ของราคาขาย เช่น ห้องชุดราคา 40 ล้านบาทไทย ผู้ซื้อต้องเสียภาษีให้รัฐบาลถึง 24 ล้านบาท จะเห็นได้ว่าในภูมิภาคอาเซียน ไทยเป็นจุดหมายอันดับแรก รองลงมาก็คืออินโดนีเซีย และมาเลเซีย นอกนั้นเป็นประเทศอื่นๆ เช่น ออสเตรเลีย แคนาดา ฝรั่งเศส รัสเซีย สวิตเซอร์แลนด์ ญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ อาฟริกาใต้ เป็นต้น
ยิ่งกว่านั้นจากข้อมูลข้างต้นชี้ให้เห็นว่าในจำนวนประชากรรวยสุด 10% ของอินเดีย ก็มีจำนวน 145 ล้านคนนี้ หากมีสัก 10% ที่สนใจไปลงทุนซื้ออสังวหาริมทรัพย์ในต่างประเทศ ก็จะเป็นจำนวนถึง 14.5 ล้านคน และตามข้างต้น ประเทศไทยเป็นที่สนใจซื้อถึง 6.7% หรือคิดเป็นประมาณ 971,500 คนที่น่าจะสนใจมาซื้อในประเทศไทย ตัวเลขจำนวนนี้นับว่ามหาศาลมากทีเดียว
คลื่นการลงทุนอสังหาริมทรัพย์จากต่างประเทศในไทย พอกล่าวได้ดังนี้:
1. ซาอุดิอารเบีย โดยในช่วงปี 2525-2530 มีชาวซาอุดิอารเบียมาลงทุนในไทยมาก โดยเฉพาะแถวพัทยา แต่หลังจากการฆ่าเจ้าหน้าที่ทูตในไทยที่มาสืบหากรณีเพชรซาอุฯ หายไป ก็ทำให้ชาวซาอุฯ หายไปจากประเทศไทยเป็นเวลานาน
2. ญี่ปุ่น ในช่วงปี 2530-2535 หลังคลื่นการลงทุนใหญ่ในไทยของญี่ปุ่นเพื่อผลิตสินค้าเพื่อการส่งออกแทนที่จะผปลิตในญี่ปุ่นก็ทำให้ญี่ปุ่นมาลงทุนมากในพัทยาเช่นกัน
3. ยุโรปตะวันตก อาจนับตั้งแต่ช่วงปี 2535-2545 มีชาวอังกฤษ เยอรมนี ฯลฯ มาลงทุนซื้อบ้านแนวราบในเมืองพัทยาและภาคตะวันออกเป็นจำนวนมาก
4. ยุครัสเซีย ก็เข้ามาตั้งแต่ช่วงปี 2545-2555 ซึ่งในช่วงดังกล่าวเศรษฐกิจรัสเซียเฟื่องฟู ทำให้มีโครงการอาคารชุดมากมายผลิตมาขายแก่ชาวรัสเซีย มีนายหน้ารัสเซียเข้ามเป็นจำนวนมาก
5. ยุคคนจีน ซึ่งเข้ามาในภายหลังตั้งแต่ราวปี 2555-2563 (ก่อนโควิด-19) โดยเริ่มต้นที่การท่องเที่ยวและต่อด้วยการซื้อสังหาริมทรัพยืในพัทยาและพื้นที่หรือจังหวัดใกล้เคียงอื่นๆ
6. เป็นที่เชื่อกันว่าคลื่นการซื้ออสังหาริมทรัพย์ในอนาคตน่าจะเป็นชาวอินเดีย เช่น ที่เข้ามาจัดงานแต่งงานขนาดใหญ่ ในเมืองพัทยาก็มีโรงแรม ร้านอาหารที่เน้นรับชาวอินเดียเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แล้ว
อย่างไรก็ตามประเด็นสำคัญที่ทำให้ชาวอินเดียยังไม่ได้ตัดสินใจซื้ออสังหาริมทรัพย์กันอย่างขนานใหญ่มากนักในไทยก็เพราะ
1. อัตราผลตอบแทนในการลงทุนยังค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับกรณีสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
2. ความไม่มั่นคงทางการเมืองในช่วงที่ผ่านมาของไทย
3. เศรษฐกิจไทยค่อนข้างเติบโตช้าในช่วงที่ผ่านและในอนาคตก็คงยังดูเติบโตช้าเช่นกัน
อย่างไรก็ตามไทยก็มีข้อดีตรงที่ การซื้อที่อยู่อาศัยค่อนข้างง่ายในลักษณะ “กึ่งขายชาติ” เช่น
1. ไม่มีการจัดเก็บภาษีซื้อเช่นสิคโปร์
2. ไม่มีการกำหนดราคาขั้นต่ำ เช่น มาเลเซีย (ราว 15 ล้านบาท) หรืออินโดนีเซีย (ราว 10 ล้านบาท) โดยชาวต่างชาติจะซื้อในราคาต่ำเท่าไหร่ แข่งกับคนไทยซื้อก็ได้
3. แทบไม่มีภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง
4. แทบไม่มีภาษีกำไรจากการขายต่อ
5. แทบไม่มีภาษีมรดก
6. แทบไม่จำกัดให้ซื้อแต่บ้านมือหนึ่ง (เช่นในออสเตรเลีย เพื่อป้องกันการแย่งซื้อบ้านมือสองกับชาวออสเตรเลีย) เป็นต้น
ดังนั้น ดร.โสภณจึงเชื่อว่าในอนาคตอันใกล้นี้ อินเดียน่าจะนำหน้าประเทศอื่นๆ ในการซื้ออสังหาริมทรัพย์ในไทย ในขณะที่จีนก็มีข้อจำกัดในการนำเงินออกนอกประเทศ
พ่อแม่ต้องใจแข็ง! 2 เรื่องที่ลูก ‘ขอแล้วห้ามให้’ ไม่อย่างนั้นน้ำตาอาจเช็ดหัวเข่าตอนบั้นปลายชีวิต
รัฐมนตรีอังกฤษเตือน "ประเทศของเรากำลังอยู่ในภาวะเตรียมพร้อมทำสงคราม!!"
ผักดอง ผักกระป๋อง ของรักสายเฮลตี้ ที่ทำไตพังแบบเงียบๆ
บทสรุปสุดท้ายคดี นัทปง หลักฐานชัด วงจรปิดในห้องเห็นทุกอย่าง
สื่อญี่ปุ่นรายงาน "ทหารไทยใช้ปืนติดรถถัง ยิงใส่บ้านเรือนชาวกัมพูชา"
มาลี โสเจียตา กล่าวหาไทย โจมตีพลเรือน ไม่เลือกหน้า
ชาวจีนตกใจ หลังศิลปินจีนวัย 87 ปี เผย "ผมเพิ่งมีลูกกับเมียเด็กคนใหม่ของผม"
จับโป๊ะสื่อกัมพูชา!!! ปั่น Fake News ใส่ไทย อ้างยอดสูญเสีย “เกือบ 1 พัน” แต่โป๊ะแตกยับ ใช้ AI สร้างภาพป้ายภาษาไทยผิดเพี้ยน หลอกชาวเขมรด้วยกันเอง
"น้องเพชรกล้า เด็กชายนำโชค" ปล่อยเลขเด็ด! คอหวยจับตางวด 16 ธ.ค. 68
อนุทินตอบแถลงการณ์ปมยุบสภา พร้อมบอกให้พบกันที่คูหาเลือกตั้ง
โครงการ "คนละครึ่งพลัส เฟส 2" ยุติชั่วคราว หลังยุบสภา
ซงเฮเคียว 20 ปีก่อนถูกขุดอีกครั้ง—งดงามจนโลกโซเชียลสะเทือน นี่คนจริงหรือเทพอวตาร
มาลี โสเจียตา กล่าวหาไทย โจมตีพลเรือน ไม่เลือกหน้า
รัฐมนตรีอังกฤษเตือน "ประเทศของเรากำลังอยู่ในภาวะเตรียมพร้อมทำสงคราม!!"
ซงเฮเคียว 20 ปีก่อนถูกขุดอีกครั้ง—งดงามจนโลกโซเชียลสะเทือน นี่คนจริงหรือเทพอวตาร
แนวทางเสี่ยงโชคจาก "เจ๊ฟองเบียร์" เลขธูปเน้น ๆ งวด 16 ธ.ค. 2568
"น้องเพชรกล้า เด็กชายนำโชค" ปล่อยเลขเด็ด! คอหวยจับตางวด 16 ธ.ค. 68




