หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Team Page อัลบั้ม คำคม Glitter เกมถอดรหัสภาพ คำนวณ การเงิน ราคาทองคำ กินอะไรดี
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

เนื้อหนูในวัฒนธรรมอาหารโลก

โพสท์โดย Thai Weapon Channel

เนื้อหนูเป็นอาหารที่ถูกบริโภคอย่างแพร่หลายในบางวัฒนธรรมทั่วโลก แต่ในขณะเดียวกันก็กลับเป็นสิ่งต้องห้ามอย่างยิ่งยวดในวัฒนธรรมอื่น บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์เปรียบเทียบข้อห้ามทางศาสนา สังคม และวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคเนื้อหนู โดยใช้กรณีศึกษาจากทั่วโลกเพื่อสำรวจรากฐานของความเชื่อและบรรทัดฐานที่หลากหลายเหล่านี้ การศึกษาครอบคลุมถึงข้อห้ามที่เด็ดขาดในศาสนาอิสลามและประเพณีแคชรูท ซึ่งมองว่าหนูเป็นสัตว์ที่ไม่สะอาด ข้อห้ามทางวัฒนธรรมของชนพื้นเมืองในอเมริกาใต้ ไปจนถึงความแตกต่างในการบริโภคที่สะท้อนสถานะทางสังคมในโพลินีเซีย การวิเคราะห์นี้ชี้ให้เห็นว่าข้อห้ามทางอาหารไม่ได้เป็นเพียงกฎเกณฑ์การบริโภค แต่ยังทำหน้าที่เป็นเครื่องมือในการสร้างอัตลักษณ์ทางสังคม รักษาโครงสร้างทางชนชั้น และแสดงออกถึงระบบความเชื่อที่ซับซ้อนของแต่ละวัฒนธรรม

--------------------------------------------------------------------------------

1. บทนำ

หนู สัตว์ที่ดำรงชีวิตอยู่ในพื้นที่คาบเกี่ยวระหว่างโลกของมนุษย์กับธรรมชาติ ก็ดำรงอยู่ในสถานะที่คาบเกี่ยวกันในจินตนาการด้านอาหารของผู้คนทั่วโลกเช่นกัน ในการศึกษาข้อห้ามทางอาหาร (Food Taboo) มีสัตว์เพียงไม่กี่ชนิดที่สามารถสะท้อนการประกอบสร้างทางวัฒนธรรมระหว่างสิ่งที่ "กินได้" กับสิ่งที่ "น่ารังเกียจ" ได้อย่างสุดขั้วเท่ากับหนู ความแตกต่างทางทัศนคตินี้ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างเลื่อนลอย แต่มีรากฐานมาจากระบบความเชื่อ บรรทัดฐานทางสังคม และกฎเกณฑ์ทางศาสนาที่สั่งสมมาอย่างยาวนาน การศึกษาข้อห้ามทางอาหารจึงเป็นเครื่องมือสำคัญทางมานุษยวิทยาที่ช่วยให้เราสามารถทำความเข้าใจโครงสร้างสังคม ค่านิยม และโลกทัศน์ของกลุ่มคนต่างๆ ได้อย่างลึกซึ้ง

บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจและวิเคราะห์เปรียบเทียบรากฐานของข้อห้ามในการบริโภคเนื้อหนูในมิติต่างๆ ทั้งทางศาสนา สังคม และวัฒนธรรม โดยจะเริ่มต้นจากการสำรวจสถานะอันหลากหลายของเนื้อหนูในฐานะอาหารทั่วโลก จากนั้นจึงเจาะลึกไปที่ข้อห้ามเชิงศาสนาที่ชัดเจนในศาสนาอับราฮัม ข้อห้ามทางวัฒนธรรมที่หยั่งรากลึกในกลุ่มชนพื้นเมือง และความเชื่อมโยงที่ซับซ้อนระหว่างการบริโภคกับสถานะทางสังคมในโพลินีเซีย ก่อนจะปิดท้ายด้วยการพิจารณากรณีที่การบริโภคเนื้อหนูกลายเป็นกฎเกณฑ์สำหรับคนบางกลุ่มโดยเฉพาะ เพื่อนำไปสู่บทสรุปที่ครอบคลุมถึงความซับซ้อนของความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับอาหารชนิดนี้

2. สถานะของเนื้อหนู: จากอาหารหลักสู่สิ่งต้องห้าม

สถานะของเนื้อหนูในฐานะอาหารมีความขัดแย้งกันอย่างสุดขั้วในวัฒนธรรมต่างๆ ทั่วโลก ในบางพื้นที่ เนื้อหนูเป็นอาหารอันโอชะที่ได้รับความนิยม ในขณะที่บางแห่งถือเป็นอาหารยามข้าวยากหมากแพงซึ่งสะท้อนถึงความยากลำบากทางเศรษฐกิจ การทำความเข้าใจบริบทที่หลากหลายเหล่านี้เป็นสิ่งจำเป็นก่อนที่จะวิเคราะห์ข้อห้ามต่างๆ ที่มีอยู่อย่างเข้มงวดในสังคมอื่น

วัฒนธรรมที่บริโภคเนื้อหนูเป็นปกติสามารถพบได้ในหลายภูมิภาคทั่วโลก ดังนี้:

• แอฟริกา: ในประเทศมาลาวี ผู้คนล่าหนูนาในไร่ข้าวโพดเพื่อนำมารมควัน ตากแห้ง หรือปรุงรสด้วยเกลือ กลายเป็นอาหารอันโอชะที่ได้รับความนิยมและมีวางขายตามตลาดและแผงลอยริมทาง นอกจากนี้ ในภูมิภาคซับซาฮารา ยังมีการบริโภคอ้นใหญ่ (cane rats) ซึ่งเป็นสัตว์ฟันแทะขนาดใหญ่

• เอเชีย: เนื้อหนูนา (ricefield rat) เป็นอาหารที่พบได้ทั่วไปในเวียดนาม ไต้หวัน กัมพูชา และจีน โดยมีเมนูที่เป็นที่รู้จักอย่าง "หนูย่างเสียบไม้" (Rat-on-a-stick) ซึ่งเป็นอาหารที่บริโภคกันอย่างแพร่หลายในเวียดนามและกัมพูชา

• ยุโรป: ในอดีต การบริโภคเนื้อหนูเคยปรากฏในยุโรปเช่นกัน เช่น "พายหนู" ที่มีการบริโภคทั้งในหมู่คนรวยและคนจนในอังกฤษสมัยวิกตอเรีย ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่มีการปันส่วนอาหาร นักชีววิทยาชาวอังกฤษเคยรับประทานหนูทดลองในห้องปฏิบัติการ นอกจากนี้ยังมีสูตรอาหาร "หนูย่างสไตล์บอร์โดซ์" ในฝรั่งเศส ซึ่งใช้หนูที่อาศัยอยู่ในห้องเก็บไวน์มาปรุง และในเมืองบาเลนเซีย ประเทศสเปน เนื้อหนูนา (marsh rat) ถือเป็นหนึ่งในวัตถุดิบดั้งเดิมของปาเอยา ก่อนที่จะถูกแทนที่ด้วยเนื้อกระต่ายและไก่

• อเมริกา: เมนู "สตูว์หนู" ในเวสต์เวอร์จิเนีย มีที่มาจากการเผชิญความยากลำบากทางเศรษฐกิจอันเนื่องมาจากการล่มสลายของอุตสาหกรรมเหมืองแร่ แต่ได้วิวัฒนาการจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของ "วัฒนธรรมอาหารจากซากสัตว์บนท้องถนน (roadkill cuisine)" ซึ่งไม่ใช่เป็นเพียงการตอบสนองต่อความยากจน แต่เป็นมรดกทางวัฒนธรรมอันโดดเด่นที่ถูกเฉลิมฉลองในงานเทศกาลอย่าง "Marlington Roadkill Cook-off"

การบริโภคที่แพร่หลายในภูมิศาสตร์ที่หลากหลายเช่นนี้ ทำให้เกิดคำถามสำคัญทางมานุษยวิทยาว่า: พลังทางศาสนาและวัฒนธรรมแบบใดที่สามารถเปลี่ยนแหล่งอาหารที่มีศักยภาพนี้ให้กลายเป็นวัตถุแห่งความรังเกียจและเป็นสิ่งต้องห้ามอย่างเด็ดขาดในสังคมอื่นได้

3. ข้อห้ามเชิงศาสนา: มุมมองจากศาสนาอิสลามและประเพณีแคชรูท

ศาสนามีบทบาทสำคัญในการกำหนดกฎเกณฑ์การบริโภคอาหารของมนุษย์ โดยมักจะแบ่งแยกอาหารออกเป็นประเภทที่ "สะอาด" (clean) และ "ไม่สะอาด" (unclean) ซึ่งกฎเกณฑ์เหล่านี้ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของอัตลักษณ์ทางศาสนาและวัฒนธรรม ในส่วนนี้จะมุ่งเน้นไปที่ข้อห้ามที่ชัดเจนในการบริโภคเนื้อหนูตามหลักศาสนาอับราฮัม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในศาสนาอิสลามและประเพณีแคชรูทของศาสนายูดาห์

ทั้งสองประเพณีทางศาสนานี้มีข้อห้ามที่ชัดเจนในการบริโภคเนื้อหนู โดยมีเหตุผลหลักมาจากมุมมองที่ว่าหนูเป็นสัตว์ที่เกี่ยวข้องกับโรคภัยและไม่สะอาด สถานะ "ไม่สะอาด" นี้ทำให้เนื้อหนูถูกจัดอยู่ในกลุ่มอาหารต้องห้ามอย่างเด็ดขาด

 

ศาสนา/ประเพณี

สถานะของเนื้อหนูตามแหล่งข้อมูล

ศาสนาอิสลาม

ห้ามบริโภค (Prohibited)

ประเพณีแคชรูท

ห้ามบริโภค (Prohibited)

 

จะเห็นได้ว่าข้อห้ามทางศาสนาเหล่านี้มีลักษณะเป็นกฎเกณฑ์ที่ตายตัวและไม่มีข้อยกเว้น อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากข้อห้ามทางศาสนาที่เด็ดขาดแล้ว ยังมีข้อห้ามทางสังคมและวัฒนธรรมที่มีความซับซ้อนและแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ ซึ่งไม่ได้มีรากฐานมาจากแนวคิดเรื่องความสะอาดเพียงอย่างเดียว แต่ยังเชื่อมโยงกับโครงสร้างทางสังคมและอำนาจอีกด้วย

 

 

4. ข้อห้ามทางวัฒนธรรมและความแตกต่างทางสถานะทางสังคม

ข้อห้ามทางอาหารไม่ได้มีรากฐานมาจากศาสนาเสมอไป ในหลายวัฒนธรรม ข้อห้ามเหล่านี้สะท้อนถึงโครงสร้างทางสังคม บรรทัดฐานทางวัฒนธรรม และการแบ่งแยกสถานะทางชนชั้น กรณีศึกษาจากอเมริกาใต้และโพลินีเซียแสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนของข้อห้ามในมิติทางสังคมได้อย่างชัดเจน

งานวิจัยทางชาติพันธุ์วรรณนาในกลุ่มชนพื้นเมืองอเมริกาใต้ได้บันทึกข้อห้ามทางวัฒนธรรมที่หยั่งรากลึก เช่นที่ปรากฏในหมู่ชนเผ่าชิปิโบ (Shipibo) ในประเทศเปรู และชนเผ่าซิริโอโน (Sirionó) ในประเทศโบลิเวีย ซึ่งการห้ามบริโภคเนื้อหนูได้ฝังแน่นอยู่ในจักรวาลวิทยาและบรรทัดฐานทางวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ของพวกเขา

ในขณะเดียวกัน ที่โพลินีเซีย การบริโภคเนื้อหนูมีความเชื่อมโยงโดยตรงกับสถานะทางสังคมอย่างน่าสนใจ:

• ราปานุย (Rapa Nui): ในวัฒนธรรมดั้งเดิมของชาวราปานุย เนื้อหนูเป็นอาหารประจำวันสำหรับสามัญชน แต่กษัตริย์กลับไม่ได้รับอนุญาตให้บริโภค ข้อห้ามนี้ไม่ใช่เรื่องของรสนิยม แต่เป็นกลไกทางสังคมที่ทรงพลังซึ่งมีรากฐานมาจากแนวคิดเรื่อง "ทาปู" (tapu) อันหมายถึงสภาวะแห่งความศักดิ์สิทธิ์ที่แยกสถานะอันสูงส่งของกษัตริย์ออกจากความเป็นสามัญของคนทั่วไป การบริโภคอาหารของสามัญชนอย่างเนื้อหนูจะถือเป็นการแปดเปื้อนความศักดิ์สิทธิ์และบ่อนทำลายระเบียบของสังคม

• ฮาวายยุคก่อนการติดต่อ: หลักฐานทางโบราณคดีจากการขุดค้นในฮาวาย พบว่าซากกระดูกหนูที่ถูกเผาไหม้และมีร่องรอยการบริโภคมีความเข้มข้นในพื้นที่ครัวเรือนของสามัญชนมากกว่าครัวเรือนของชนชั้นสูงถึงสามเท่า ข้อมูลนี้บ่งชี้ว่าชนชั้นสูงในฮาวายอาจหลีกเลี่ยงการบริโภคเนื้อหนู ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลด้านสถานะหรือรสนิยมก็ตาม

การวิเคราะห์กรณีศึกษาเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่าข้อห้ามไม่ได้เป็นเพียงการ "ห้าม" หรือ "อนุญาต" เท่านั้น แต่ยังทำหน้าที่เป็นเครื่องมือในการแบ่งแยกและแสดงออกถึงสถานะทางสังคมอีกด้วย ในทางกลับกัน มีบางวัฒนธรรมที่การบริโภคเนื้อหนูไม่ได้ถูกห้าม แต่กลับถูกจำกัดไว้สำหรับคนบางกลุ่มโดยเฉพาะ ซึ่งเป็นภาพที่ตรงกันข้ามกับข้อห้ามอย่างสิ้นเชิง

5. การบริโภคในบริบทเฉพาะ: เมื่อข้อห้ามกลายเป็นกฎเกณฑ์

นอกเหนือจากข้อห้ามที่สมบูรณ์แล้ว ยังมีวัฒนธรรมที่การบริโภคเนื้อหนูไม่ได้เป็นสิ่งต้องห้าม แต่กลับถูกจำกัดหรือกำหนดไว้สำหรับบางกลุ่มทางสังคมหรือเศรษฐกิจโดยเฉพาะ กรณีศึกษาจากประเทศอินเดียแสดงให้เห็นถึงความหลากหลายของกฎเกณฑ์การบริโภคเหล่านี้ได้อย่างน่าสนใจ

• วัฒนธรรมมิชมี (Mishmi): สำหรับชาวมิชมีในอินเดีย เนื้อหนูเป็นสิ่งจำเป็นในอาหารแบบดั้งเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้หญิงชาวมิชมี ซึ่งตามประเพณีแล้วได้รับอนุญาตให้บริโภคเนื้อสัตว์เพียงไม่กี่ชนิด ได้แก่ ปลา หมู นกป่า และหนู ในบริบทนี้ การบริโภคเนื้อหนูจึงไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นข้อบังคับทางโภชนาการที่สำคัญต่อการดำรงชีวิต

• ชุมชนมูซาฮาร์ (Musahar): ชุมชนมูซาฮาร์ทางตอนเหนือของอินเดียได้เปลี่ยนสถานะของหนูจากสัตว์รบกวนให้กลายเป็นสินค้าทางเศรษฐกิจ โดยได้พัฒนาการทำฟาร์มหนูในเชิงพาณิชย์และนำเสนอเนื้อหนูเป็นอาหารแปลกใหม่ (exotic delicacy) ซึ่งเป็นการยกระดับสถานะของอาหารชนิดนี้และสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับชุมชน

การเปรียบเทียบสองวัฒนธรรมนี้แสดงให้เห็นว่ากฎเกณฑ์การบริโภคเนื้อหนูสามารถเป็นได้ทั้งข้อบังคับทางโภชนาการที่จำเป็น และในขณะเดียวกันก็สามารถเป็นโอกาสทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการปรับเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อสัตว์ชนิดนี้ได้ สิ่งนี้ตอกย้ำว่าความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับเนื้อหนูนั้นมีความซับซ้อนและขึ้นอยู่กับบริบททางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจอย่างยิ่ง

6. บทสรุปและอภิปรายผล

การวิเคราะห์เปรียบเทียบข้อห้ามและความเชื่อเกี่ยวกับการบริโภคเนื้อหนูในวัฒนธรรมต่างๆ ทั่วโลก ได้เผยให้เห็นถึงความหลากหลายและความซับซ้อนของบรรทัดฐานทางอาหารที่หยั่งรากลึกอยู่ในศาสนา โครงสร้างทางสังคม และระบบคุณค่าของมนุษย์ ข้อห้ามเหล่านี้ไม่ใช่กฎเกณฑ์ที่ไร้เหตุผล แต่เป็นภาพสะท้อนของวิธีที่สังคมแต่ละแห่งจัดระเบียบโลกของตนเอง

ข้อห้ามที่ได้นำเสนอมาสามารถสังเคราะห์ได้เป็นประเภทต่างๆ ดังนี้:

• ข้อห้ามทางศาสนา: มีลักษณะเป็นกฎเกณฑ์ที่ชัดเจนและเด็ดขาด (ศาสนาอิสลามและประเพณีแคชรูท) โดยมีรากฐานมาจากแนวคิดเรื่องความสะอาดและความศักดิ์สิทธิ์

• ข้อห้ามทางวัฒนธรรม: มีความเฉพาะเจาะจงในแต่ละท้องถิ่น (กลุ่มชนพื้นเมืองอเมริกาใต้) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของระบบความเชื่อและอัตลักษณ์ของกลุ่ม

• ข้อห้ามเชิงสถานะ: ไม่ใช่ข้อห้ามโดยสมบูรณ์ แต่เป็นการแบ่งแยกการบริโภคตามลำดับชั้นทางสังคม เพื่อรักษาและแสดงออกถึงโครงสร้างอำนาจ (โพลินีเซีย)

ท้ายที่สุดแล้ว หนูได้กลายเป็นสัญลักษณ์ที่ทรงพลังซึ่งสังคมต่างๆ ใช้เพื่อฉายภาพความวิตกกังวลและค่านิยมที่อยู่ลึกที่สุดของตน ทั้งในเรื่องความบริสุทธิ์และการแปดเปื้อน ความเป็นระเบียบและความโกลาหล ลำดับชั้นทางสังคมและอัตลักษณ์ของชุมชน การติดตามเส้นทางของหนูจากจานอาหารไปสู่การเป็นวัตถุแห่งความรังเกียจ ทำให้เราเข้าใจสถาปัตยกรรมทางวัฒนธรรมที่มองไม่เห็นซึ่งไม่เพียงแต่กำหนดว่าเรากินอะไร แต่ยังกำหนดว่าเราเป็นใครอีกด้วย สำหรับการวิจัยในอนาคต การศึกษาการเปลี่ยนแปลงของทัศนคติต่อเนื้อหนูในยุคโลกาภิวัตน์ หรือการวิเคราะห์ปัจจัยทางระบาดวิทยาที่อาจส่งผลต่อการเกิดข้อห้ามทางอาหาร จะช่วยเพิ่มความเข้าใจในพลวัตอันซับซ้อนระหว่างอาหาร วัฒนธรรม และสังคมให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

โพสท์โดย: กับข้าวกับปลา
อ้างอิงจาก: Newvision Archive "หนูเป็นอาหารเย็น เป็นอาหารอันโอชะสำหรับบางคน แต่เป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับหลายๆ คน",Gruber, Karl. "ในขณะที่หนูถูกรังเกียจในเกือบทุกพื้นที่ของโลก แต่บางชุมชนก็ให้ความสำคัญกับสัตว์ฟันแทะเป็นอันดับแรกในเมนูอาหารเย็น" BBC, Mills, J. P. "ชาวมิชมิสแห่งหุบเขาโลฮิต รัฐอัสสัม" วารสารของสถาบันมานุษยวิทยาหลวงแห่งบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์
⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
Thai Weapon Channel's profile


โพสท์โดย: Thai Weapon Channel
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
5 VOTES (5/5 จาก 1 คน)
VOTED: กับข้าวกับปลา
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
'ฮุนเซน' ควันออกหู หลังลาวฉวยโอกาสขายของตัดหน้า แย่งสัมปทานจีนชาว เกษตรกร เขมร กดดันไทยเปิดด่าน ควบรถไถเหยียบนาข้าวทิ้ง ราคาตกต่ำสุดขีด10 อันดับเมืองที่มีมลพิษสูงสุดกรุงเทพฯพบเครื่องบิน "โบอิ้ง 737" ที่หายไป 13 ปี ถูกจอดทิ้งกลางสนามบินพืชที่มีพิษร้ายแรงเทียบเท่าพิษงูเห่าสภาทนายความ แจงเหตุลบชื่อ ‘ทนายคนดัง’ ออกจากทะเบียนทนายเปิดการบ้านภาษาไทย เรียงอักษรให้เป็นคำ แบบนี้ยากไปไหมชาวนาเขมรยกมือไหว้วอนคนไทย “เปิดด่านช่วยด้วย” หลังราคาข้าวทรุดหนัก สวนทางคำพูดในอดีตที่เคยดูแคลนไทย‘ดร.ธรณ์’ แนะนำ ถ้าจะย้ายที่อยู่ จังหวัดไหนเหมาะที่สุด ที่ไม่มีมลพิษของฝุ่นและภัยพิบัติทางธรรมชาติ"ประธานสหภาพฯ" บริษัทไดกิ้น เปิดใจหลังสั่งปิดงาน! ชี้ ยังต้องได้โบนัสซาอุฯ สั่ง "มันอัดเม็ดไทย" เพิ่ม 30,000 ตัน! เกษตรกรเฮลั่น🔍 ถอดรหัสปี 2568! คนไทยค้นหาอะไรบน Google มากที่สุด สะท้อนภาพสังคมแห่งปี
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
ซาอุฯ สั่ง "มันอัดเม็ดไทย" เพิ่ม 30,000 ตัน! เกษตรกรเฮลั่นนี่คือสิ่งมีชีวิตที่สูงที่สุดและใหญ่ที่สุดในโลก Redwood และ Sequoiaเฮลิคอปเตอร์ไร้คนขับของจีน ทดสอบบินและยิงกระสุนจริงครั้งแรกแล้ว‘ดร.ธรณ์’ แนะนำ ถ้าจะย้ายที่อยู่ จังหวัดไหนเหมาะที่สุด ที่ไม่มีมลพิษของฝุ่นและภัยพิบัติทางธรรมชาติ
กระทู้อื่นๆในบอร์ด อาหาร
“Sannakji Hoe” อาหารสุดท้าทายจากเกาหลีใต้ — หมึกสดดิ้นได้บนจาน ที่ต้องกินทั้งที่ยังมีชีวิต!วันว่างๆ กับเมนูขนมกล้วยดราม่าข้ามประเทศ! ชาวเน็ตกัมพูชาเดือด คนญี่ปุ่นเปิด “ร้านอาหารไทย” ในญี่ปุ่น – ฝั่งเน็ตไทยสวนแรง “ก่อนจะให้เปิดร้านกัมพูชา ขอถามก่อน…อาหารกัมพูชาคืออะไร?”อาหารเช้าที่สมบูรณ์แบบ: กินให้ถูกหลัก เพื่อพลังงานทั้งวัน
ตั้งกระทู้ใหม่