เสียงที่หลงทางในหมอก
บทที่ 1 : เสียงลมหายใจของภูผา
หมอกขาวลอยอ้อยอิ่ง ราวกับลมหายใจของภูเขาที่ไม่เคยสิ้นสุด
ทุกสายหมอก โอบล้อมซ่อนความลับที่ไม่มีใครรู้
เงียบงันปกคลุม เหมือนหัวใจที่หยุดเต้นไปชั่วขณะ
แต่ความเงียบนั้น กลับดังกว่าพายุหมุนในจิตใจ
ขุนเขาสูงใหญ่ เป็นเหมือนผู้เฝ้าความลับของกาลเวลา
มันไม่พูด ไม่อธิบาย แต่สายตาของมันสื่อได้ทุกอย่าง
แผลเป็นแห่งกาลเวลา ยังคงสลักไว้บนหน้าผา
ไม่มีใครลบล้างได้ เหมือนร่องรอยแห่งความคิดถึง ที่ไม่อาจลบเลือน
เสียงลมแทรกเข้ามาเบาๆ คล้ายบทเพลงที่ใครสักคนแต่งเพื่อปลอบใจ
แต่ทุกท่วงทำนอง กลับเต็มไปด้วยความว่างเปล่า
ฉันเงยหน้ามองเมฆ เห็นร่างของเธอในแสงสลัว
เหมือนโลกทั้งใบ ยังคงหายใจอยู่ เพียงเพื่อรำพึงชื่อเธอ
บทที่ 2 : รอยเท้าแห่งความเงียบ
เส้นทางที่ทอดยาว บนผืนหญ้าเปียกชื้นด้วยหยดน้ำค้าง
ฉันมองเห็นรอยเท้าที่ค่อยๆ ลบเลือนด้วยสายหมอก
แต่หัวใจ กลับจดจำทุกก้าว ชัดเจนยิ่งกว่าหินผา
แต่ละรอยคือคำบอกลา แต่ละก้าวคือการตัดขาด
ฉันเดินตามมันเหมือนคนหลงทาง ไม่รู้ว่าจะไปถึงที่ใด
ความเงียบโอบกอดทุกฝีก้าว เหมือนเพื่อนเก่าที่ไม่เคยห่างหาย
เสียงนกที่บินผ่านบนฟ้า เป็นเหมือนเสียงกระซิบแห่งความสูญเสีย
รอยเท้านั้น ไม่เคยนำไปสู่เธอ มีแต่ทางที่วกวนสู่ความว่างเปล่า
ฉันหยุดก้าว แต่ใจกลับยังเดินตามรอยเท้าในฝัน
แม้ไม่มีวันพบปลายทาง แต่ความทรงจำ กลับกัดกินไม่รู้จบ
เหมือนคำถามที่ไร้คำตอบ แต่ก็ยังถามซ้ำทุกค่ำคืน
บทที่ 3 : ดวงตะวันในม่านหมอก
แสงตะวันเจือจาง ลอดผ่านม่านเมฆ
ราวกับสายตาของใครบางคน ที่ยังคงเฝ้ามอง
ความอบอุ่นนั้น ไม่เพียงพอจะขับไล่ความหนาวในใจ
ทุกลำแสง กลับกลายเป็นดาบที่กรีดลึกลงไปอีกครั้ง
ขุนเขาโยงเงายาว ดั่งความคิดถึงที่ไร้จุดสิ้นสุด
ฉันยื่นมือออกไปรับ แต่คว้าได้เพียงความว่างเปล่า
ดวงตะวันอวดประกาย ราวกับให้สัญญาว่าจะกลับมา
แต่ทุกการลับขอบฟ้า คือการหายไปที่ไม่ทิ้งร่องรอย
หมอกยังหนาแน่น เหมือนกำแพงที่กั้นกลางหัวใจ
แม้ฉันจะยืนอยู่ตรงนี้ แต่มันกลับเหมือนการรอคอย ที่ไม่มีวันบรรลุผล
แสงนั้นเจ็บปวดเกินจะทน แต่ฉันก็ยังเลือกที่จะมองมันต่อไป
บทที่ 4 : หญ้าอ่อนริมเหว
ใบหญ้าไหวเอนรับแรงลม เหมือนกำลังเต้นรำปลอบใจขอบเหว
ทุกใบหญ้าเล็กน้อย แต่ไม่ยอมแพ้ต่อแรงหนาว
รากของมันยึดแน่นกับดิน อย่างที่หัวใจฉันไม่อาจทำได้
ฉันอิจฉามัน เพราะมันไม่เคยถูกพรากจากบ้าน
หยดน้ำค้างบนใบหญ้า เปรียบเสมือนรอยแผลของชีวิต
แต่พวกมันยังคงงดงาม และสดใสทุกครั้งที่ดวงอาทิตย์ขึ้น
ตรงขอบเหว คือความเวิ้งว้างที่ไร้ก้นบึ้ง
เสียงลมที่พัดผ่าน ดังเหมือนเสียงถอนหายใจ ของวิญญาณโบราณ
ฉันก้าวเข้าใกล้ เห็นเพียงเงามืดที่กลืนกินทุกสิ่ง
ความเวิ้งว้างนี้ คือกระจกสะท้อนหัวใจของฉันเอง
เต็มไปด้วยช่องว่างที่เธอทิ้งไว้ ไม่เคยถูกเติมเต็ม
บทที่ 5 : เสียงที่หลงทางในหมอก
หมอกขาวหนาทึบ ราวกับโลกกำลังจะหายไป
เสียงของฉันถูกกลืนกินอย่างง่ายดาย
ฉันพยายามตะโกนเรียกชื่อเธอ แต่คำตอบคือความว่างเปล่า
เสียงสะท้อนกลับมา เป็นเพียงเศษเงาที่บาดใจ
เหมือนเสียงหัวเราะของเธอ ยังวนเวียนอยู่ไม่ไกล
ทุกเสียงในหมอก คือบทสนทนาที่ไม่เคยได้เริ่มต้น
คำถามมากมาย ไม่มีวันมีคำตอบ
ฉันยืนอยู่ท่ามกลางหมอก เหมือนนักโทษในเรือนจำที่ไม่มีประตู
ทุกก้าวที่เดิน คือการวนกลับมาที่เดิม
ความเงียบ คือบทลงโทษที่โหดร้ายที่สุด ที่โลกมอบให้ฉัน
บทที่ 6 : เงาของขุนเขา
ยอดเขาสูงชันตระหง่าน แต่เงาที่ทอดยาวนั้น กดทับจิตใจฉัน
ฉันไม่รู้ว่า เป็นเงาแห่งความยิ่งใหญ่ หรือเงาแห่งความโดดเดี่ยว
ในเงานั้น ฉันเห็นภาพของเราเคียงข้างกัน
ภาพหัวเราะ ภาพจับมือ ภาพเดินฝ่าลม
แต่เมื่อฉันเอื้อมมือกลับไป ภาพเหล่านั้น ก็แตกสลายเป็นหมอก
ทุกเงายาวขึ้นตามแสงอาทิตย์ที่อับแสง
และในที่สุด มันกลืนกินฉันทั้งร่างโดยไม่เมตตา
ความมืดไม่เคยอบอุ่น มันเพียงกลบเกลื่อนทุกสิ่ง
ฉันถูกกลืนไปในเงา เหมือนถ้อยคำที่ถูกลบออกจากบทกวี
ความจริงนั้น เจ็บปวดเกินกว่าเงาจะปิดบัง
และฉันจึงยอมจำนนต่อความมืด โดยไม่ต่อต้าน
บทที่ 7 : ความรักที่ข้ามไม่ถึง
ขุนเขาสูงชัน เหมือนกำแพงเหล็กกั้นกลางระหว่างเรา
ฉันปีนขึ้นไปด้วยมือเปื้อนเลือดและเหงื่อที่ไหลไม่หยุด
แต่ทุกยอดที่ก้าวไปถึง กลับนำไปสู่ความว่างเปล่า
เธออยู่ฟากหนึ่ง ฉันอยู่อีกฟาก
เสียงเรียกหาของเรา กลายเป็นเศษเสียงที่ลมพัดหายไป
ความรักของเรากว้างใหญ่ดั่งหุบเหว
แต่ไม่มีสะพานใดทอดเชื่อม
ฉันพยายามยื่นมือออกไป ยังท้องฟ้าที่ว่างเปล่า
แต่สิ่งที่คว้ามาได้ คือหนามแห่งความเจ็บปวด
เหมือนบทเพลงที่ไม่มีวันบรรเลงจบ
ความรักนี้ยังคงอยู่ แต่ไม่มีวันมาบรรจบกันได้เลย
บทที่ 8 : ราตรีในม่านเมฆ
ยามอาทิตย์สิ้นแรง ท้องฟ้าเต็มไปด้วยเงามืดลึกลับ
หมอกยังโอบกอดยอดเขา เหมือนผ้าม่านคลุมร่างคนตาย
ดวงดาวบางดวง เผยแสงอย่างเหนียมอาย
แต่แสงนั้นอ่อนเกินไป ที่จะปลอบใจหัวใจที่สั่นไหว
ราตรีนี้ยาวนาน ดั่งไม่มีวันสิ้นสุด
ทุกลมหายใจ เหมือนเสียงสวดที่ไม่มีผู้ตอบ
ฉันนั่งฟังเสียงหัวใจเต้นช้า เหมือนกลองที่ขาดจังหวะ
แต่ละจังหวะ เป็นเหมือนร่องรอยการพรากจาก
ดวงจันทร์ปรากฏ ดั่งใบหน้าที่แสนเศร้า
ฉันเอื้อมไม่ถึง แม้จะเฝ้ามองมันทุกค่ำคืน
และความมืด ก็กลายเป็นผ้าคลุมที่หนักหน่วงเกินแบกไหว
บทที่ 9 : ร่องรอยน้ำตาในหุบเขา
สายธารเล็กๆ ไหลรินจากภูเขาสู่หุบเหว
เหมือนน้ำตาที่ไม่มีวันเหือดแห้ง ของโลกใบนี้
มันซ่อนตัวอยู่ในเงามืด ร้องไห้อย่างเงียบงัน
ดอกไม้ริมธาร ก้มศีรษะลง เหมือนร่วมเศร้าโศก
น้ำใสสะท้อนภาพท้องฟ้า แต่ไม่สะท้อนฉัน
ฉันก้มลงดื่ม แต่รสชาติเหมือนหยดน้ำตาของตัวเอง
ทุกหยดน้ำ คือถ้อยคำที่ไม่เคยได้พูดออกมา
มันไหลลงสู่เบื้องล่างไม่เคยหวนคืน
เหมือนความคิดถึงที่มีทางเดียว คือล่องไปไกล
ฉันจึงปล่อยให้น้ำตา ไหลไปพร้อมกับสายน้ำ
หวังว่าสักวันหนึ่ง จะไปถึงที่ที่เธออยู่
บทที่ 10 : ทางเดินไร้ปลายทาง
เส้นทางคดเคี้ยว เลาะไปตามไหล่เขา
เหมือนเส้นชะตาที่วกวน ไร้สิ้นสุด
ทุกก้าวฉันไม่รู้ว่า ปลายทางจะนำไปสู่ที่ใด
แต่ความเงียบ คือเพื่อนร่วมทางเพียงหนึ่งเดียว
ฉันถามท้องฟ้า ถามภูเขา แต่ไม่มีเสียงใดตอบ
แม้แต่สายลมยังพัดหนี เหมือนไม่อยากเกี่ยวข้อง
ทุกก้าว คือการแบกโซ่ตรวนแห่งความทรงจำ
แต่ฉันยังคงเดิน เพราะการหยุด คือการยอมตายทั้งเป็น
เส้นทางนี้ไร้ปลาย เหมือนคำสัญญาที่ไม่เคยกลายเป็นจริง
แต่ฉันยังเลือกเดินต่อไป โดยไม่รู้ว่า รอคอยสิ่งใดอยู่ข้างหน้า
เหมือนคนที่เฝ้ารักใครสักคน ที่ไม่หวนกลับมาอีกแล้ว
บทที่ 11 : เส้นทางที่หายไป
เส้นทางเล็กแทรกตัวเลียบไปตามสันเขา
ถูกหมอกกลืนจนเหลือเพียงเงาลาง ๆ
ฉันพยายามเพ่งหาปลายทาง แต่พบเพียงความว่างเปล่า
เหมือนชีวิตที่สูญเสียทิศทางไปชั่วกัลปาวสาน
เสียงก้าวเท้าของฉันจมหายลงในความเงียบ
มีเพียงหัวใจที่เต้นแรง บอกเล่าถึงความโหยหา
ฉันจำได้ว่าเราเคยเดินทางร่วมกันบนเส้นทางนี้
รอยยิ้มของเธอยังคงก้องสะท้อนในความคิด
แต่เมื่อฉันเอื้อมมือออกไป กลับคว้าได้เพียงหมอกพร่า
ฉันรู้แล้วว่าเส้นทางนี้ เหลือไว้เพียงฉันผู้เดียวที่ยังคงเดินต่อไป
บทที่ 12 : รอยจำของหมอก
หมอกเช้าคลี่คลุม ดังผ้าขาวคลุมศพแห่งความทรงจำ
ทุกหยดไอ แฝงร่องรอยคำที่ไม่เคยเอื้อนเอ่ย
ขุนเขา ซ่อนเงาอดีตไว้ใต้รอยแผลแห่งกาลเวลา
ฉันยืนมองลงไป ราวกับยืนบนขอบเหวของหัวใจตนเอง
เสียงหายใจแผ่วบางปนกับสายลม เหมือนคำสาบานที่หล่นหาย
ในความพร่าเลือนนั้น ฉันเห็นร่างเธอเดินลับ
รอยเท้าหายไปพร้อมหมอกที่ซัดสาด
แต่ความเจ็บไม่เคยละลายไปไหน
ยังคงนั่งรอในหุบเหวลึกของวิญญาณ
เหมือนก้อนหินที่ไม่เคยถูกน้ำกัดเซาะให้หมดไป
บทที่ 13 : เงาสะท้อนแห่งสายลม
สายลมตีคลื่นหมอกให้สั่นไหว เหมือนหัวใจที่พราก
เงาของภูผาไหววูบ เหมือนความฝันร้าวราน
ฉันถามหาคำตอบจากกิ่งไม้ที่สั่นสะท้าน
แต่ทุกเสียง เพียงตอบกลับเป็นความว่างเปล่า
ร่องรอยการมีอยู่ของเธอ เป็นแค่ละอองหมอกในเช้าหนาว
มันจับต้องไม่ได้ แต่กลับบาดลึกกว่ามีดใด ๆ
ความงดงาม กลายเป็นความโหดร้าย
เมื่อทุกสิ่งที่เคยสัมผัส กลายเป็นเพียงเงา
เงาที่ไม่เคยหวนกลับมา
มีเพียงเสียงสะท้อนในอก ที่ยังพร่ำถามไม่รู้จบ
บทที่ 14 : ทางเดินในเมฆ
ฉันก้าวเดินบนเส้นทางหมอก ที่ทอดยาวไร้สิ้นสุด
ราวกับโลกทั้งใบ กลายเป็นเพียงม่านขาวขุ่น
ทุกย่างก้าวคือการค้นหา แต่ไม่เคยพบเจอ
เมฆล้อมรอบตัว เหมือนห้องขังที่ไร้กำแพง
เสียงหัวใจดังก้อง จนกลบทุกเสียงอื่น
ฉันเหมือนนักโทษ ที่โหยหาการปลดปล่อย
แต่คุกนี้ ถูกสร้างขึ้นด้วยความทรงจำของเธอ
ไม่มีกุญแจดอกใดไขออก
ทุกสายหมอกคือโซ่ตรวนพันธนาการ
และฉันคือเงา ที่เดินวนเวียนในนั้นอย่างสิ้นหวัง
บทที่ 15 : ราตรีที่ภูผา
แม้ยามหมอกคลายออก ความมืดก็เข้ามาแทนที่
ภูผาสูงยืนเงียบงัน ราวผู้เฝ้ามองความเศร้า
แสงดาวบนฟ้า เหมือนหยดน้ำตาของจักรวาล
ฉันยืนอยู่ท่ามกลางความกว้างใหญ่ แต่กลับรู้สึกเดียวดายยิ่งกว่าเคย
เสียงแมลงกลางคืน คือบทเพลงแห่งความสิ้นหวัง
ทุกความเงียบ เหมือนคำตอบที่ไม่ต้องการฟัง
ในความมืดนั้น ฉันเห็นใบหน้าของเธออีกครั้ง
ไม่ใช่ด้วยสายตา หากแต่ด้วยความเจ็บที่ฝังลึก
และในความเงียบเชียบนี้ ฉันจึงเข้าใจว่า
ความรักแท้จริง คือบทกวีแห่งความสูญเสีย
บทที่ 16 : ดอกหญ้าที่ร้องไห้
ริมหน้าผา ดอกหญ้าโยกไหวตามลม
แต่ละกลีบเหมือนน้ำตาที่แห้งกรัง
ฉันโน้มตัวลงฟังเสียงกระซิบของมัน
เป็นเสียงเศร้า ที่เล่าถึงการพลัดพรากชั่วนิรันดร์
แม้ดอกหญ้าจะเปราะบาง แต่ยังคงยืนหยัด
มันสอนฉันว่า ความเจ็บปวดก็มีความงดงาม
งดงาม เพราะมันคือหลักฐานของการเคยรัก
และฉันก็เป็นเพียงดอกหญ้าหนึ่ง ที่ยังไม่ล้มลง
แม้หัวใจจะถูกเหยียบย่ำด้วยความว่างเปล่า
แต่ก็ยังคงยืนอยู่ตรงนี้ เพื่อรอคอยเธอ ที่ไม่มีวันกลับมา
บทที่ 17 : เสียงเพรียกจากเหวลึก
เบื้องล่าง คือเหวลึกที่เต็มไปด้วยเงามืด
เสียงสะท้อนดังกลับมา เหมือนเสียงเรียกของวิญญาณ
ฉันยื่นหน้าออกไป มองหาสิ่งที่หายไปในกาลเวลา
แต่สิ่งที่พบ คือเงาของตัวเองที่แตกสลาย
ทุกความคิด เหมือนถูกฉุดลงไปในความมืด
เสียงเพรียกนั้น คือเสียงของความทรงจำ
มันบอกให้ฉันก้าวกระโดด
แต่เท้ากลับถูกพันธนาการด้วยความกลัว
ฉันยืนสั่นไหวอยู่ริมขอบชะตา
ในที่สุดก็รู้ว่า ไม่มีที่ใด จะพาฉันไปจากเงานี้ได้
บทที่ 18 : ฟ้าสางอันเศร้าโศก
ยามรุ่งเช้ามาถึง แสงอาทิตย์ทาบทอหมอกขาว
แต่มันไม่เคยขับไล่ความมืดในใจฉันได้เลย
ทุกวันใหม่ กลับกลายเป็นรอยแผลใหม่
เพราะมันย้ำเตือนว่า ฉันยังอยู่ แต่เธอไม่อยู่แล้ว
ท้องฟ้าไกลโพ้น เหมือนสัญญาที่ไม่เคยเป็นจริง
แสงนั้นอบอุ่น แต่แผ่วบางเกินจะปลอบใจ
ฉันยืนอยู่ในความงามของธรรมชาติ
แต่ความงาม กลับเป็นมีดที่กรีดลึกลงหัวใจ
ทุกเช้า คือการฟื้นขึ้นเพื่อเจ็บอีกครั้ง
และทุกวันคือการตายเล็ก ๆ ที่ไม่มีใครเห็น
บทที่ 19 : ทางชะตาที่มองไม่เห็น
บนเส้นทางภูเขา ฉันเดินโดยไร้ปลายทาง
เหมือนชีวิตที่ถูกตัดขาดจากคำตอบ
ก้อนหินใต้เท้า กระซิบบทกวีแห่งความเดียวดาย
เสียงลมพัด ดังเหมือนการหัวเราะเยาะจากโชคชะตา
ทุกสิ่งรอบกาย งดงามเกินบรรยาย
แต่กลับโหดร้าย เพราะมันไม่อาจเยียวยาฉัน
ฉันเหมือนนักเดินทาง ที่ถูกลบเส้นทางออกจากแผนที่
เดินวนซ้ำไปในหุบเหวแห่งความคิด
ความเหนื่อยล้า หนักอึ้งจนแทบก้าวไม่ไหว
แต่ฉันยังเดินต่อไป เพราะไม่รู้จะหยุดที่ใด
บทที่ 20 : เส้นแบ่งของเมฆ
เมฆลอย แบ่งฟ้าออกเป็นชั้น ๆ
เหมือนใจฉันที่ถูกแบ่งด้วยบาดแผล
ทุกชั้นเมฆ คือความทรงจำที่ไม่เคยเลือน
ฉันยื่นมือไปไขว่คว้า แต่ได้เพียงความว่างเปล่า
เธอคือเมฆ ที่ฉันไม่มีวันกักเก็บ
แม้จะล้อมรอบฉัน แต่ไม่เคยเป็นของฉันเลย
ฉันจึงเรียนรู้ว่า ความรักคือการสูญเสีย
และการสูญเสีย คือรากฐานของบทกวี
เส้นแบ่งนั้นไม่เคยเลือนหาย
เช่นเดียวกับความเจ็บ ที่ฉันกักเก็บไว้เสมอ
บทที่ 21 : บทเพลงของหุบเหว**
เสียงก้อง สะท้อนจากหุบเหวลึกไกล
เหมือนเสียงจากกาลเวลาที่ลืมเลือน
ทุกถ้อยคำสั่นสะเทือน ดังบทเพลงโศก
ฉันเอียงหูฟัง แต่กลับได้ยินเพียงเสียงตนเอง
เสียงที่แหบพร่าไปกับลมหนาว
เสียงที่บอกเล่าความเดียวดายไม่รู้จบ
หุบเหวไม่เคยตอบ มีเพียงความเงียบงัน
แต่ความเงียบนี้กลับกรีดลึกกว่ามีดคม
ฉันรู้แล้วว่า ทุกการถามหาคือการฝังตนในบาดแผล
และทุกคำตอบคือความว่างเปล่าที่แทรกซึมในวิญญาณ
บทที่ 22 : เงาที่เดินเคียง
ฉันเดินไปบนสันเขา โดยมีเพียงเงาเคียงข้าง
เงาที่ไม่เคยห่าง แต่ก็ไม่เคยโอบอุ้ม
มันซ้ำเติมฉันด้วยการติดตามอย่างดื้อดึง
ทุกก้าวที่ฉันก้าว เงาก็ซ้อนทับซ้ำไป
มันคือสหายที่ไม่อาจละทิ้ง แต่ก็ไม่อาจพูดคุย
ในดวงตาฉันสะท้อนเพียงภาพนั้น
เงาซึ่งกลืนกินทุกสิ่งที่เคยเป็นจริง
แม้ฉันพยายามวิ่งหนี แต่ไม่เคยหลุดพ้น
เงานี้คือร่างจำลองของเธอที่ฉันสร้างขึ้นเอง
เพื่อให้ความเจ็บยังคงอยู่ และไม่สูญหายไปไหน
บทที่ 23 : ลำน้ำแห่งความทรงจำ
สายธารเบื้องล่างไหลรินดั่งบทกวีโบราณ
น้ำเย็นใสสะท้อนฟ้าและหมอกขาว
ฉันก้มลงแตะ แต่กลับรู้สึกถึงหยาดน้ำตาตนเอง
ทุกหยดน้ำพาฉันหวนไปสู่ภาพเธอ
ใบหน้า เสียงหัวเราะ รอยสัมผัส
ทั้งหมดถูกบรรจุอยู่ในเกลียวคลื่นนั้น
ฉันดื่มลงไปเพื่อให้เธออยู่ในตัวฉันอีกครั้ง
แต่สิ่งที่ได้กลับคือรสเค็มของการพลัดพราก
ลำน้ำไหลผ่านไปอย่างไม่หวนกลับ
เช่นเดียวกับเธอที่จากไปโดยไม่ทิ้งร่องรอย
บทที่ 24 : ปลายทางของหมอก
หมอกคลี่คลายเมื่อแสงแดดโผล่พ้นยอดเขา
แต่ใจฉันกลับถูกคลุมด้วยม่านหนาแน่นกว่าเดิม
เพราะหมอกที่แท้จริงไม่ใช่บนภูเขา
หากอยู่ในดวงตาของฉันเอง
ฉันเฝ้ามองเส้นขอบฟ้า รอคอยการเปิดเผย
แต่สิ่งที่ปรากฏคือความพร่าเลือนอันไม่มีวันสิ้นสุด
เส้นทางข้างหน้าไม่เคยชัดเจน
และฉันก็ยังคงหลงทางในตัวเอง
แม้หมอกจะจาง แต่ความเศร้ากลับเข้มขึ้น
ราวกับบอกว่าปลายทางไม่มีอยู่จริง
บทที่ 25 : ดวงจันทร์และรอยแผล
ค่ำคืนหนึ่ง ดวงจันทร์ลอยขึ้นเหนือภูผา
แสงนวลชโลมทั่วผืนหมอก
ฉันมองมันเหมือนเฝ้ามองรอยแผลของหัวใจ
สวยงามแต่ก็เปราะบาง
ทุกหลุมเงาบนจันทร์คือร่องรอยการสูญเสีย
มันยังคงอยู่ แม้เวลาจะผันผ่าน
ฉันยกมือขึ้นแต่คว้าไม่ได้
เหมือนพยายามกอบกู้สิ่งที่หายไป
ดวงจันทร์เฝ้ามองฉันเช่นเดียวกับภูเขา
เป็นพยานแห่งความเศร้าที่ไม่เคยมีวันจาง
บทที่ 26 : เสียงกระซิบจากหญ้า
ยามลมพัด หญ้าเอนเอนคล้ายกำลังสนทนา
ฉันฟังเสียงนั้นเหมือนฟังความลับของโลก
มันบอกเล่าถึงความหมุนเวียนของชีวิต
ว่าทุกสิ่งเกิดขึ้นเพื่อจางหาย
แต่ใจฉันไม่ยอมรับความจริงนั้น
ฉันยืนขัดขืนต่อกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ
เหมือนก้อนหินที่ไม่ยอมให้สายน้ำพัดพาไป
แต่เสียงหญ้าก็ยังสอนฉันด้วยความอ่อนโยน
ว่าความเจ็บนี้คือส่วนหนึ่งของการมีชีวิต
และการโหยหาคือรากเหง้าของบทกวีทุกบท
บทที่ 27 : เส้นทางของวิญญาณ
ฉันก้าวสู่เส้นทางที่ไร้ผู้คน
ทางที่ทอดลึกเข้าไปในป่าและหมอก
มันคือเส้นทางของวิญญาณที่เร่ร่อน
ฉันได้ยินเสียงก้าวเดินของผู้ที่มาก่อน
พวกเขาทิ้งร่องรอยไว้ แต่ไม่มีใครกลับมา
ฉันเดินตามเสียงนั้นอย่างโง่งม
หวังว่าจะได้เจอเธอในปลายทาง
แต่ยิ่งเดินก็ยิ่งไกลห่างออกไป
ทุกย่างก้าวคือการทดสอบหัวใจ
และฉันรู้แล้วว่า การเดินทางนี้ไม่เคยมีจุดสิ้นสุด
บทที่ 28 : ร่องรอยบนท้องฟ้า
นกคู่หนึ่งบินผ่านท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมอก
ปีกของมันทิ้งร่องรอยชั่วครู่แล้วจางหาย
ฉันเฝ้ามองด้วยความอิจฉา
เพราะมันยังมีใครบางคนเคียงข้าง
แต่ฉันกลับเหลือเพียงตนเองกับเงา
ท้องฟ้ากว้างใหญ่แต่ฉันกลับถูกขัง
ในกรงที่สร้างด้วยความทรงจำ
ทุกสิ่งผ่านไป ร่องรอยก็หายไป
ท้องฟ้าสอนฉันว่าทุกสิ่งไม่จีรัง
แต่หัวใจกลับขัดขืน ไม่ยอมลืมเลือน
บทที่ 29 : การภาวนาของภูเขา
ภูเขายืนเงียบงัน แต่ฉันรู้ว่ามันกำลังภาวนา
ทุกสันเขาคือบทสวดที่เก่าแก่เกินกว่าจะเข้าใจ
ฉันแนบหูฟังแต่ได้เพียงเสียงลม
บทสวดนั้นไม่ใช่ถ้อยคำ แต่เป็นการดำรงอยู่
ฉันเรียนรู้จากภูเขาว่าความเจ็บก็เป็นการภาวนา
ทุกความทรงจำคือการก้มกราบต่อชีวิต
แม้มันจะไม่เมตตา แต่มันก็คือครู
ฉันยืนเคียงข้างภูเขาและร้องไห้เงียบ ๆ
เพราะในความสูงสง่า ฉันเห็นความเปราะบางของตนเอง
และเข้าใจว่า ภูเขากับฉันไม่ต่างกันนัก
บทที่ 30 : การลาจากที่ไม่สิ้นสุด
สุดท้าย ฉันยังคงอยู่ตรงนี้
ในหมอกที่เวียนวนไม่รู้จักจบ
การลาจากของเราไม่ใช่เหตุการณ์เดียว
แต่เป็นการลาตลอดกาลที่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ทุกเช้าคือการลาที่เริ่มใหม่
ทุกคืนคือการฝันถึงเธออีกครั้ง
ฉันพยายามบอกตนเองให้ปล่อยมือ
แต่หัวใจกลับเกาะแน่นยิ่งกว่าเดิม
การลานี้จึงกลายเป็นชีวิตของฉัน
และฉันก็เป็นเพียงนักโทษที่เขียนบทกวีให้ความเศร้าอยู่ร่ำไป
บทที่ 31 : คำร่ำลาสุดท้าย
เมื่อหมอกค่อย ๆ จางหาย ฉันรู้ว่าทุกสิ่งต้องลับไป
ภูเขายังยืนหยัด แต่ใจฉันกลับพังทลาย
ฉันเอื้อนเอ่ยคำล่ำลา ที่ไม่มีใครตอบ
ลมพัดพาคำพูดนั้น ให้หายไปในหุบเหว
แต่ฉันยังยืนอยู่ตรงนี้ ราวกับเป็นอนุสาวรีย์ของความรัก
ความรักที่ถูกฝังไว้ในดินและหมอก
ไม่มีวันงอกเงยอีกครั้ง แต่ก็ไม่มีวันสูญสลาย
เธอจากไปแล้ว แต่ฉันยังคงเป็นนักโทษของความทรงจำ
ทุกหยาดหมอก คือคำสาปที่ฉันแบกไว้
และนี่คือคำร่ำลาสุดท้าย ที่แท้จริงแล้วไม่เคยจบสิ้น...
BBC ยกให้ "กรุงพนมเปญ" ติด TOP20..ปลายทางที่ดีที่สุดในโลก
เจาะเลขเด็ดปกสลาก งวด 2 ม.ค. 69 ต้อนรับปีใหม่ปีมะเมียทอง
อาเซียนเนื้อหอม! เจาะเหตุผลทำไม บังกลาเทศ-ปาปัวนิวกินี-ฟิจิ อยากเข้าใกล้ครอบครัวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
สอยอีกหนึ่ง นายพลเขมรร่วง อีกราย
APC M113 รถเกราะ 60 ปี ลุยสมรภูมิช่องอานม้า เสริม "เกราะไม้" กันจรวดสุดแกร่ง
😊 ชวนมาดูผู้คนที่ชีวิตเหมือนอยู่ในเมืองมหัศจรรย์ตลอดเวลา เพราะพวกเขามักพบเจอแต่เรื่องราวแปลก ๆ อยู่เสมอ 😆
สถิติหวย ย้อนหลัง 10 ปี เลขท้าย 2 ตัว งวด 30 ธันวาคม
เลขเด็ด "มนต์สิทธิ์" งวดวันที่ 2 มกราคม 69 มาแล้ว! ..ส่องเลย เลขไหนที่ชอบ!
"มาเฟีย" งานเข้า! หวั่น "ฮุนเซน" ตามเช็คบิล..หลังให้สัมภาษณ์สื่อไทย
กัมพูชาโอด นักท่องเที่ยวไปนครวัดลดฮวบๆ จากเหตุปะทะรายวัน ไทย-กัมพูชา มีการโจมตีกันใกล้เคียงพื้นที่เสียมเรียบ
รวมภาพเรียกรอยยิ้มประจำวันนี้ ส่วนข้อคิดประจำวันก็คือ อีกไม่นานก็วันคริสต์มาสแล้ว จะไปเที่ยวสังสรรค์ที่ไหน ก็เอาแต่พอดีเด้อครับเด้อ
เกาหลีใต้สุดเดือด!!!...ประชาชนหลายส่วนเริ่มประท้วงให้รัฐบาลเกาหลีใต้จัดการปัญหาสแกรมเมอร์ในกัมพูชาให้เด็ดขาดกว่านี้
เกาหลีใต้สุดเดือด!!!...ประชาชนหลายส่วนเริ่มประท้วงให้รัฐบาลเกาหลีใต้จัดการปัญหาสแกรมเมอร์ในกัมพูชาให้เด็ดขาดกว่านี้
เดือดข้ามคืน ทหารไทยเปิดฉากยิง ก่อนระดมปืนใหญ่ถล่มฐานทหารกัมพูชาพื้นที่ปอยเปต
APC M113 รถเกราะ 60 ปี ลุยสมรภูมิช่องอานม้า เสริม "เกราะไม้" กันจรวดสุดแกร่ง
"มาเฟีย" งานเข้า! หวั่น "ฮุนเซน" ตามเช็คบิล..หลังให้สัมภาษณ์สื่อไทย
เขมรไม่มีคิดหยุด แต่คิดว่าจะรบไทยให้ชนะด้วย F-35 ได้อย่างไรในอนาคต
รวมภาพเรียกรอยยิ้มประจำวันนี้ ส่วนข้อคิดประจำวันก็คือ อีกไม่นานก็วันคริสต์มาสแล้ว จะไปเที่ยวสังสรรค์ที่ไหน ก็เอาแต่พอดีเด้อครับเด้อ
"สังขละบุรี" เส้นทางเดินลงสะพานไม้ที่ยาวเป็นอันดับที่สามของโลก สวยงามแข็งแรงอากาศหนาวไอหมอกสวยในยามเช้ามืด
"สาละ" ดอกไม้ในตำนานเกี่ยวกับพุทธประวัติของพระมหาศาสดาของศาสนาพุทธ (สาละในหลวงพระบาง)
เราอยู่ได้เพราะว่ามีเธอ ไม่ว่าจะไปไหนก็อยู่ได้ ฉายาลูกชิ้นกินได้ตลอด (ในพนมเปญ)
ท่องตลาดราตรี วันอังคารและวันพฤหัสบดี สีสันยามเย็นของอาหารและแฟชั่นจากไทย (พนมเปญ)