ลงทุนให้ถูกทาง / Asset Class
การจัดพอร์ตลงทุนของผมจะไม่ให้น้ำหนักกับหุ้นตัวใดตัวหนึ่ง ผมจะเน้นการกระจายความเสี่ยงไว้ก่อน แต่ผมก็ไม่มีหุ้นฟุ่มเฟือยมากนัก บางตำราเขียนไว้ว่า ต้องลงทุนในหุ้น 50 ตัว แต่พอร์ตของผมไม่ถึงขนาดนั้น
ผมจะลงทุนเพียงครั้งละ 10 ตัวเท่านั้น เพื่อที่จะเฝ้าดูหุ้นได้ทัน ที่สำคัญถ้าหากเกิดเหตุเสียหายขึ้นกับหุ้นที่ผมลงทุนก็จะไม่กระทบไปทั้งพอร์ต หุ้นที่ลงทุนทั้ง 10 ตัวนี้ ผมก็จะไม่ได้ลงทุนในสัดส่วนที่เท่ากัน
ถ้าหากผมเจอหุ้นตัวหนึ่งที่ราคาถูกและพื้นฐานดีมาก ผมก็อาจจะลงทุนในสัดส่วนที่สูงกว่าตัวอื่น หรืออาจจะลงทุนในหุ้นที่ผมให้ความมั่นใจในสัดส่วนที่สูงกว่าตัวอื่น ทั้งนี้ ถ้าหากมั่นใจมากๆ ผมอาจจะลงทุนหุ้นครั้งละ 15 ตัวเลยก็ได้ (ฮา..)
แต่ไม่ควรจะมากกว่านั้นแล้วนะ เพราะว่าเราจะวิเคราะห์ไม่ทัน นอกจากนี้ ผมจะไม่ลงทุนเจาะจงลงไปเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมเดียว จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องกระจายการลงทุนออกไปในหลากหลายอุตสาหกรรม สักประมาณ 3-4 อุตสาหกรรมก็จะดีกว่า ด้วยจะเป็นการดีกว่าที่เราลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวที่จะมีความเสี่ยงมาก
ข้อดีของการกระจายพอร์ตลงทุน ถ้าหากเกิดความเสียหายก็จะน้อย และถ้าแจ็กพอต!! หุ้นที่เราลงทุนอยู่ 1-2 ตัวจะสามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีก็จะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับพอร์ตของเราได้ เช่น ถ้าเราลงทุนหุ้น 10 ตัว และได้ผลตอบแทนหุ้นละ 10% ผลตอบแทนที่เราได้จะอยู่ที่ 10% แต่ถ้าโชคดีหุ้นที่เราถืออยู่ 2 ตัว เกิดสร้างผลตอบแทนได้ 50% เท่ากับว่าพอร์ตของเราจะสามารถสร้างผลตอบแทนรวมได้ถึง 18%
วิธีการกระจายการลงทุนแบบนี้ยังช่วยให้เราสามารถควบคุมความเสี่ยงได้ว่า ต้องลงทุนหุ้นให้ถูกกี่ตัว ถ้าเราลงหุ้นเพียงไม่กี่ตัว เช่น 3 ตัว เหมือนเป็นการบังคับว่าเราจะต้องเลือกหุ้นให้ถูกทั้งหมดนะ แต่ถ้ามีหุ้นอยู่จำนวนหนึ่งที่ไม่มากเกินไปจะช่วยลดความกดดันลงไปได้ว่าต้องเลือกให้ถูกทั้งหมด บางปีอาจจะมีหุ้น 2 ตัวที่แจ็กพอต ลงทุนถูกตัว แต่ปีต่อไปหุ้นอาจจะลงก็ได้ และอาจจะมี 2 ตัวใหม่ที่ราคาหุ้นขึ้นมาแทน
กรณีที่หุ้นลงทั้งหมดในช่วงที่เศรษฐกิจแย่ๆ ถ้าเราลงในหุ้นน้อยตัวมีความเสี่ยงที่หุ้นตัวนั้นอาจจะลงมากกว่าตลาดก็ได้ แต่ถ้าลงหุ้นในจำนวนที่เหมาะสม พอร์ตของเราอาจจะปรับลดลงในระดับเดียวกันหรือน้อยกว่าตลาดได้ เพียงแค่ตัวเลขผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นเพียงเปอร์เซ็นต์เดียวมันส่งผลต่อเงินในพอร์ตของเราระยะยาวได้ นี่คือเหตุผลที่ต้องกระจายความเสี่ยงในหุ้น
เรื่องของสินทรัพย์การลงทุนสำหรับผู้ที่ลงทุนหุ้นคุณค่า (Value Investor) หรือ วีไอ ต้องเริ่มจากรู้จักตัวเองก่อนว่ารับ “ความเสี่ยง” ได้แค่ไหน
การเป็นวีไอ ไม่ได้หมายความว่าจะต้องลงทุนหุ้นทั้ง 100% ของพอร์ต ขอให้รู้จักตัวเองว่ารับความเสี่ยงได้แค่ไหนและลงทุนในสัดส่วนที่ยอมรับได้ ถ้าคุณคิดว่ารับความเสี่ยงได้เต็มที่ แม้แต่หุ้นที่เราถืออยู่ติดลบไปกว่า 50% ก็ทำใจได้ แบบนี้ลงหุ้นได้เต็มที่ไปเลย ผมยังเชื่อว่าหุ้นเป็นอะไรที่ให้ผลตอบแทนการลงทุนสูงสุดอยู่แม้ระหว่างทางอาจจะมีความผันผวน
แต่ถ้าคุณคิดว่ารับความเสี่ยงจากการขาดทุนได้เพียง 20% แบบนี้ต้องลงทุนในหุ้นในสัดส่วนที่น้อยลง เพราะโดยเฉลี่ยแล้วในหนึ่งปีตลาดหุ้นอาจจะลดลงได้ 20% เป็นปกติ แต่กรณีที่เลวร้ายที่สุด หุ้นเคยลงมา 50% ในหนึ่งปีก็มีมาแล้ว ถ้าเหตุการณ์เป็นเช่นนั้นคุณตายแน่! บางคนผมเห็นขาดทุน 5% ก็จะตายแล้ว ดังนั้น ควรลงทุนหุ้นในสัดส่วนที่รับความเสี่ยงได้ สักประมาณ 20% ของพอร์ต ที่เหลือก็ไปลงทุนพวกตราสารหนี้หรือกองทุนตราสารเงินดีกว่า
ตัวผมไม่ปฏิเสธที่จะลงทุนในสินทรัพย์อื่นที่ไม่ใช่หุ้น เพียงแต่ต้องรู้จักสินทรัพย์การลงทุน (Asset Class) นั้นๆ ให้ถ่องแท้ก่อนลงทุนเสมอ แต่แน่นอนว่า คนที่เป็นวีไอ จะไม่ชอบลงทุนในพวกสินค้าโภคภัณฑ์ อาทิ ทองคำ น้ำมัน คืออะไรก็ได้ที่ไม่สร้างผลตอบแทนในภาวะที่ทุกอย่างแย่หมด อย่างเช่น หุ้น แม้ในช่วงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ก็ยังมีการจ่ายเงินปันผล
แต่พวกสินค้าโภคภัณฑ์เหล่านี้ เวลาตลาดหุ้นร่วงคือร่วงทั้งหมด เวลาที่ตลาดหุ้นขึ้นก็ไม่มีปันผลให้เรานะ ผมคิดว่าเป็นเพียงแค่สินทรัพย์ที่ถูกตั้งขึ้นมาให้ซื้อขายกัน ส่วนตราสารทางการเงิน (Financial Instruments) อาทิ ใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ (Derivative Warrants), สัญญาออปชั่น (Options) วีไอก็ไม่ชอบ ต้องดูด้วยว่าตราสารการเงินเหล่านี้สามารถให้ผลตอบแทนในระยะยาวได้ไหม นอกจากมีวันหมดอายุแล้ว ยังไม่ได้ให้กระแสเงินสดกลับมาอีกด้วย อย่างเช่น เวลาที่ลงทุนทองคำ ผมไม่รู้ว่าจะประเมินมูลค่าของมันอย่างไร
นอกจากหุ้นแล้ว ผมก็มีแค่ตราสารหนี้ กองทุนตลาดเงินแค่นั้น อย่างตราสารหนี้ระดับ AAA แม้ตอนที่เศรษฐกิจแย่ๆ ก็ยังได้ดอกเบี้ย 2-3% สัดส่วนการลงทุนผมก็ไม่มีสูตรสำเร็จ คงต้องย้อนกลับไปว่า คุณสามารถรับความเสี่ยงได้มากน้อยแค่ไหน
"ทัพฟ้าไทย" ยืดอกรับ ส่งฝูงบินถล่มคลังแสงพระตะบอง ลั่น "เราไม่ได้เริ่มก่อน" แต่ต้องทำเพื่อปกป้องประชาชน
📜 ภาพเก่าประวัติศาสตร์ “พระตะบอง” จากแผ่นดินสยาม สู่ความทรงจำ
"เหมย หมึกเป็นซาซิมิ" แฉผัวตัวดีแอบกินกิ๊กเด็กในร้าน
รู้จัก M777 ปืนใหญ่สนามตัวโหด เบา คล่อง ยิงแม่นระดับนำวิถี ตัวเปลี่ยนเกมสงครามยุคใหม่
จรวดจีนฟัดจรวดจีน เปิดคลังอาวุธลับสมรภูมิสระแก้ว เมื่อไทย-เขมรต่างงัดไม้เด็ด "สายเลือดมังกร" มาดวลกัน
เจาะสถิติสลากกินแบ่งรัฐบาล ย้อนหลัง 10 ปี (งวด 2 มกราคม)
10 ประเด็นร้อนฉ่าที่คนไทยให้ความสนใจสูงสุดในปี 2568
คุกกี้เสี่ยงทาย... ทายนิสัยความขี้อ้อนของคนเกิดทั้ง 7 วัน
ทัพภาค 2 จัดหนัก งัดจรวดไทย DTI-1G รับใช้ชาติ ถล่ม BM-21 เขมรให้กระจาย
เขมร ยอมมาโต๊ะเจรจาที่จันทบุรี หลังไทยดัดหลัง "ไม่ย้ายประเทศ"
เงินเดือนผู้ประกาศข่าว
ปลาย พรายกระซิบ ยัน "ไม่ใช่ผู้วิเศษ" ต้องหาอาชีพอื่นสำรองไว้ด้วย
พชร์ อานนท์ การันตี "หอแต๋วแตก" ภาคล่าสุด เส้นเรื่องแน่น มุกสดใหม่ทันเหตุการณ์
"จีน-รัสเซีย" ผนึกกำลังรุมบดขยี้ "สหรัฐ" ส่งเรือรบยึดน้ำมัน ใช้กำลังทหารรุกราน "เวเนซุเอลา"
อัปเดตวงการ SEO & AI Search ปี 2025: แหล่งอ้างอิงสำหรับ AEO และ GEO ที่คนทำ SEO ต้องรู้จัก
เตือนแล้วนะ! 3 ผลไม้ที่ "เซลล์มะเร็ง" โปรดปราน หมอยังไม่กล้าแตะ แต่หลายคนกินทุกวันโดยไม่รู้ตัว
เปิดตำนานคุณลุงซานต้า: จากนักบุญใจบุญยุคโบราณ สู่ชายชุดแดงพุงพลุ้ยที่โคคา-โคล่าช่วยปั้น! 🎅🦌
อันตรายใกล้ตัว เตือน 3 ประเภท ชามใส่อาหาร ที่หลายบ้านยังใช้ เสี่ยงสารพิษสะสมไม่รู้ตัว