หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Team Page อัลบั้ม คำคม Glitter เกมถอดรหัสภาพ คำนวณ การเงิน ราคาทองคำ กินอะไรดี
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

ราคาที่เหมาะสมและเวลาสำหรับซื้อหุ้น (Entry Point : Time to buy)

เนื้อหาโดย machete007

 

นักลงทุนหุ้นคุณค่า หรือไอ จะมีวิธีดูราคาที่เหมาะสมเข้าซื้อ (Entry Point) สองวิธี คือ Bottom Up กับ Top Down

 

การดูแบบ Bottom Up เมื่อเลือกบริษัทที่เข้าข่ายมาแล้ว ผมจะดู ที่ราคาว่าถูกหรือไม่ ไม่ว่าภาพรวมเศรษฐกิจเป็นอย่างไร ผมก็ไม่สน แต่รู้ว่า เราซื้อได้ในราคาถูกแล้ว เพราะในระยะยาวถ้าเป็นหุ้นพื้นฐานดีก็จะกลับ มาเป็นราคาที่ดีเอง

 

อัตราส่วนทางการเงินสําคัญที่นักลงทุนวีไอใช้วัดความถูกแพงของ หุ้นคือ ค่า P/E การนําราคาหุ้นที่ซื้อขายอยู่ในตลาด (Price) มาหารด้วย กําไรสุทธิต่อหุ้น (Earning Per Share : EPS) หรือ

 

ราคาต่อกําไรสุทธิต่อหุ้น (P/E) = ราคาปัจจุบันของหุ้น / กําไรสุทธิต่อหุ้น

 

ตัวอย่าง หุ้น A มีราคาซื้อขายในกระดานอยู่ที่ 10 บาท มีกําไรสุทธิ ต่อหุ้นที่ 1 บาท เราจะได้อัตราส่วนค่า P/E ของหุ้น A ที่ 10 เท่า แปลว่า หุ้น A กําลังซื้อขายอยู่ที่ราคา 10 เท่าของกําไรสุทธิต่อหุ้น หรือมีความหมาย อีกนัยหนึ่ง คือ เราต้องมั่นใจว่า บริษัทจะทํากําไรได้อย่างน้อยเท่าเดิมไป อีก 10 ปี เราถึงกล้าซื้อที่ค่า P/E 10 เท่า

 

นอกจากดูค่า P/E ยังมีอัตราส่วนราคาต่อมูลค่าทางบัญชี (P/BV) ซึ่งมีสูตรในการคํานวณคือ นําราคาหุ้นมาหารด้วยมูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น แทนที่จะใช้กําไรสุทธิต่อหุ้น โดยมูลค่าทางบัญชีต่อหุ้นหาได้จากสูตรนี้

 

มูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น (Book Value per Share : BV) = ส่วนของผู้ถือหุ้น / จํานวนหุ้นสามัญ

 

เราสามารถวัดความถูกหรือแพงของหุ้นได้เพียงแค่คํานวณว่าราคาหุ้นปัจจุบันคิดเป็นกี่เท่าของมูลค่าทางบัญชีโดยหากซื้อมากกว่า 1 เท่า เท่าไร แสดงว่าเราจ่ายแพงกว่าส่วนของความเป็นเจ้าของเท่านั้นหมายถึงว่า เราต้องมั่นใจว่า บริษัทจะทํากําไรมาเติมส่วนผู้ถือหุ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ หรืออีกความหมายหนึ่ง คือ บริษัทต้องมีความสามารถในการทํากําไรสูงมาก หากเรายอมจ่ายที่ P/BV สูงๆ ในทางทฤษฎี ราคาหุ้นไม่ควรที่จะซื้อขายอยู่ ในระดับที่ต่ำกว่า P/BV 1 เท่า เพราะถือว่าต่ํากว่ามูลค่าทางบัญชี หรือต่ํากว่า ส่วนความเป็นเจ้าของ ถ้าเกิดขึ้นแสดงว่า กิจการนั้นอาจจะกําลังมีปัญหา อะไรบางอย่าง เช่น มีการคาดการณ์ว่าบริษัทจะขาดทุนซึ่งทําให้ส่วนของ ผู้ถือหุ้นลดลงและมูลค่าทางบัญชีลดลงด้วยนั่นเอง

 

แต่หาก P/BV ต่ำกว่า 1 เท่าจากเหตุผลต่างๆ เช่น เป็นหุ้นที่มีสภาพ คล่องต่ําจนไม่มีใครสนใจ หรือเกิดวิกฤติเศรษฐกิจจนทําให้นักลงทุน สถาบันและต่างชาติแห่ขายหุ้นออกมา และพื้นฐานหุ้นระยะยาวยังดี นี่เป็นโอกาสที่ดีสําหรับนักลงทุนวีไอ

 

ในฐานะนักลงทุนวีไอ จะวิเคราะห์ราคาหุ้นว่าถูกหรือแพงจะดูที่ P/BV เป็นหลัก ไม่ดูค่า P/E เพราะกําไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) มีโอกาสที่จะ ผันผวน บางช่วงเศรษฐกิจตกต่ําลง กําไรลดลงอย่างหนัก ค่า P/E ก็เพิ่มขึ้น อย่างรวดเร็ว หรือบางทีหากว่าบริษัทขาดทุน บางช่วงเศรษฐกิจขยายตัวสุดขีด กําไรโตดีมาก จนทําให้ค่า P/E ลดลง นักลงทุนก็ไล่ราคาขึ้นไป เพื่อให้ค่า P/E กลับขึ้นไปเท่าเดิมแต่ที่ผมชอบ P/BV เพราะมูลค่าทางบัญชี เกิดจากส่วน ของผู้ถือหุ้นทั้งหมดแล้วหารด้วยจํานวนหุ้น แสดงว่าเป็นการสะสมกําไร มานานมาก ยิ่งดูย้อนหลังไปสิบปีกําไรถูกสะสมมาในส่วนของผู้ถือหุ้น เมื่อมี การเปลี่ยนแปลงกําไรปีใดปีหนึ่ง จึงมีผลกระทบต่อมูลค่าทางบัญชีไม่เยอะ

 

วิธีการดูว่าควรซื้อขายที่ P/BV ที่เท่าดี ให้ดูบริษัทที่มี ROE สูง (ROE คืออัตราส่วนแสดงความสามารถในการทำกำไรเกิดขึ้นจากการนำกำไรสุทธิหารด้วยส่วนผู้ถือหุ้น ซึ่งมีความหมายว่า ส่วนผู้ถือหุ้นที่เราลงทุนไป สร้างกำไรได้กี่เปอร์เซ็นต์แน่นอนยิ่งมากยิ่งดี ดังนั้นถ้า ROE สูงหรือบริษัทมีความสามารถในการทำกำไรได้ดี นักลงทุนก็ยอมจ่ายแพงขึ้น ถือว่ามีเหตุผลอย่างมาก)

 

จากประสบการณ์ที่ผ่านมา P/BV ที่ไม่แพงต้องน้อยกว่า ROE หารด้วย 5 เช่น ถ้าบริษัทที่คุณเลือกมี ROE 20% หารด้วย 5 ดังนั้น P/BV คือ 4 เท่า ถ้าราคาหุ้นต่ำกว่า 4 เท่าก็แสดงว่าราคาหุ้นถูก แต่ถ้าสูงเกินไปกว่านี้ก็ถือว่าราคาหุ้นแพง ไม่ควรเข้าไปลงทุนในราคาที่แพง แต่บริษัทที่จะใช้วิธีนี้ได้ ต้องเป็นบริษัทที่มี ROE เพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอ อย่าใช้กับบริษัทที่มี ROE ผันผวน เพราะหุ้นพวกนี้จะไม่ใช่หุ้นวีไอ

 

คำถาม คือ หุ้นที่แพงเวลาเศรษฐกิจเติบโต มันก็จะแพงไปเรื่อยๆ

 

ตัวอย่าง หุ้นบริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ (BGH) ก็แพงไปเรื่อยๆ หุ้นบริษัทเบอร์ลี่ลี่ ยุคเกอร์ (BJC) ก็เช่นกัน ทั้งที่ ROE 20% แต่ P/BV 8-9 เท่า แสดงว่าราคาเต็มที่แล้ว ผมก็ไม่ซื้อแล้ว ควรรอให้ราคาลงมา ซึ่งจะลงมาแน่ แม้ว่า อาจจะใช้เวลารอนานสักหน่อย

 

คําถามต่อไปคือ แล้วราคาจะมีโอกาสลงมาหรือไม่ บอกได้ว่าไม่ต้องห่วง ตั้งแต่ผมลงทุนมายี่สิบกว่าปีได้ผ่านพ้นวิกฤติเศรษฐกิจรอบใหญ่มาสองรอบแล้ว เพราะฉะนั้น หุ้นอะไรที่ราคาแพง ไม่ต้องซื้อ เก็บเงินสดไว้เพราะเราเป็นวีไอ เราต้องรอโอกาสที่จะมาทุกๆ 10 ปีจะเป็นรูปแบบนี้มาเป็นร้อยปีสองร้อยปีแล้ว

 

เช่น วิกฤติต้มยำกุ้ง ทุกคนก็คิดว่าหนักแล้ว ก็ยังมีวิกฤติซับไพร์มเกิดขึ้นตามมาอีก ดัชนีตลาดหุ้นไทยลงมา 380 จุดห่างจากจุดต่ำสุดตอนวิกฤติต้มยำกุ้ง 200 จุด นิดเดียวเอง เวลาเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ หุ้นจะร่วงลงมาหนัก

 

ฉะนั้น ต่อให้ SET Index ขึ้นไป 2000 จุด เวลาที่หุ้นจะลง ก็ลงมาต่ำกว่า 1000 จุดได้ นี่คือโอกาสของวีไอ เราจึงต้องมีลิสต์หุ้นพื้นฐานดี แล้วเก็บเงินสดเพื่อรอโอกาสนี้ ตลาดหุ้นเปิดทุกวัน แต่เราไม่ต้องซื้อขายหุ้นทุกวันนะครับ เมื่อใดที่เศรษฐกิจถดถอย จึงไม่ได้สนใจเซ็กเตอร์ไหนจะดีมองหาหุ้นที่เราเลือก ที่ P/BV เคยอยู่ 9-10 เท่า เมื่อลงมา 3-4 เท่า แล้วมี ROE ตอนช่วงเวลาปกติที่ไม่เกิดวิกฤติสูงๆ ก็ถึงเวลาที่เราจะซื้อหุ้นในตอนที่ P/BV อยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำได้ เพราะเมื่อวิกฤติเศรษฐกิจผ่านพ้นไป ROE ของบริษัทที่ดีเหล่านี้จะกลับมาอยู่ในระดับที่สูงเช่นเดิม แม้ว่าจะลดลงตอนเกิดวิกฤติเศรษฐกิจก็ตาม

 

แต่หากเป็นบริษัทที่ไม่ดี ไม่มีประวัติผลการดำเนินงานในอดีตที่ดี พอวิกฤติผ่านพ้นไป หากไม่ล้มละลายไปก็อาจกลายเป็นบริษัทที่ไม่สามารถสร้างกำไรกลับมาที่เดิมได้ ยังมีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและเป็นการเกิดแบบชั่วคราว ที่สามารถเป็นโอกาสให้เก็บซื้อหุ้นได้ เช่น เหตุการณ์น้ำท่วม, สึนามิ, แผ่นดินไหว,โรคระบาด, การเมือง, สงคราม และอื่นๆ ที่ทำให้หุ้นลงทั้งกระดานไม่เลือกว่าดีหรือไม่ดี หรืออาจเป็นเหตุเฉพาะตัวของบริษัทที่เป็นเรื่องชั่วคราว

 

เช่น เหตุการณ์พบสารเมลามีนในคุกกี้ ที่ทำให้ราคาหุ้นบริษัทเอส แอนด์ พี ซินดิเคท (S&P) ร่วงลงมามหาศาล การมีโรคกุ้ง ทำให้หุ้นส่งออกกุ้งลดลง การเมืองทำให้หุ้นกลุ่มโรงแรมลง เราก็เข้าไปเก็บหุ้นได้ เมื่อเราเห็นว่า P/BV ของหุ้นเหล่านี้ลงมาถูก และเป็นบริษัทที่ดี

 

นี่คือแนวทางที่วีไอชอบทำ คือมีเงินสดพร้อมที่จะลงทุนเสมอ

 

ราคาที่เหมาะสมและเวลาสำหรับขาย / (Exit Point : Time to Sell)

 

นักลงทุนวีไอจะถือลงทุนแบบระยะยาว คือ ตั้งใจถือลงทุนชั่วชีวิต ผมชอบสโลแกนของนาฬิกายี่ห้อ ปาเต๊ะ ฟิลลิป (Patek Philippe) ที่บอกว่า “You never actually own a Patek Philippe” ซึ่งมีความหมายว่าคุณไม่ได้เป็นเจ้าของปาเต๊ะ ฟิลลิป แต่ความจริงคือ คุณจะดูแลและส่งมอบต่อให้กับทายาท ก็คงเหมือนกับความตั้งใจของผม ที่ต้องการส่งต่อหุ้นที่ผมถืออยู่ให้ทายาทของผม และต้องมั่นใจว่า ทายาทของผมต้องดูแลหุ้นของผมต่อไปให้ทายาทรุ่นต่อไปได้

 

แต่เมื่อใดที่พบว่า หุ้นที่เราลงทุนผิดไปจากสิ่งที่คาดการณ์ไว้ เช่น กําไรที่เริ่มลดลง ไตรมาส 1 มีกำไรลดลง ไตรมาส 2 กำไรก็ยังลดลง พอมาถึงไตรมาส 3 ทําไรก็ยังลดลงอีก เราก็ต้องมาตระหนักแล้วว่าเกิดจากอะไร แม้ว่าเราอาจจะไม่ได้ขายออกในไตรมาส 1 แต่ไตรมาส 2 ถ้าวิเคราะห์ออกแล้วว่าถือผิดตัว ผมก็ขาย แต่ส่วนใหญ่ที่พบว่าทำไมกำไรลดลงก็เพราะเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค ซึ่งอยากให้นักลงทุนวีไอ ให้ความสำคัญตรงนี้มากๆ อย่าเพียงแค่อ่านผ่านๆไป

 

เช่น กรณีหุ้นบริษัท ไอที ซิตี้ (IT) ที่เกิดการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างธุรกิจหลักคือ ขายคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค (Notebook) เมื่อพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนเป็นมือถือสมาร์ทโฟน (Smartphone) พอบริษัทหันมาจับตลาดนี้ด้วยก็ไม่ทัน คู่แข่งบริษัท เจมาร์ท (JMART) ที่ชิงนำส่วนแบ่งธุรกิจไปก่อน

 

หรือหุ้นบริษัทบ้านปู (BANPU) ที่มีพลังงานทดแทนอื่นๆ มาทำให้ความต้องการถ่านหินเป็นแหล่งพลังงานลดลง ดังนั้น นักลงทุนวีไอจะขายหุ้นออก ก็ต่อเมื่อปัจจัยพื้นฐานของหุ้นมีการเปลี่ยนแปลงไปในระยะยาว ถ้าเกิดเช่นนั้นจริง ก็ต้องขายออกไป

 

อีกประเด็นที่ต้องระวัง คือ เรื่องพลังการต่อรองกับผู้จัดจำหน่ายหรือตัวแทนจำหน่าย (Distributor) สังเกตได้ว่าตอนนี้มีหลายบริษัทจะเลือกซื้อกิจการ (Take Over) ธุรกิจผู้จัดจำหน่ายมากขึ้น ใครที่มีช่องทางจัดจำหน่ายที่แข็งแกร่ง อย่าง BIGC, HMPRO, GLOBAL ก็จะเป็นเป้าหมายต่อไป ดังนั้น บริษัทใดที่มีธุรกิจดีแค่ไหนก็ตาม แต่ต้องพึ่งพาคนอื่นเพื่อจะเติบโตนั้น ต่อไปจะค่อนข้างลำบากมากขึ้น

 

กรณีธุรกิจที่ทั้งอุปสงค์และอุปทาน (Supply & Demand) อย่างเหล็ก จึงเป็นธุรกิจที่ไม่มีทางจะเติบโตได้ เพราะราคาขายก็ต้องอิงกับราคาโลก ควบคุมราคาขายไม่ได้ อีกทั้งราคาต้นทุนก็จัดการไม่ได้ ยกเว้นเสียแต่ว่าต้องเป็นรายใหญ่เท่านั้น ซึ่งธุรกิจเหล็กในประเทศไทยไม่ใช่กิจการรายใหญ่ เหมือนกับประเทศออสเตรเลีย หรือบราซิลที่มีแหล่งแร่เหล็กเอง เป็นเจ้าของวัตถุดิบ ธุรกิจที่ต้องพึ่งพิงเพื่อการเติบโตจะไม่เวิร์คในระยะยาวแต่สำหรับนักลงทุนเอ็มไอจะไม่สนใจประเด็นเหล่านี้ เพราะถ้าเทรนด์ของเศรษฐกิจโลกมาอุตสาหกรรมเหล็กมา ก็ลงทุนได้ (ฮา..)

 

นักลงทุนวีไอยังชอบธุรกิจแฟรนไชส์ เพราะมีความเข้มแข็งของช่องทางจัดจำหน่าย และการเติบโตของธุรกิจ โดยเฉพาะแฟรนไชส์ระดับสากล มีเครือข่ายทั่วโลก เช่น แอมเวย์ (Amway) สำหรับผมในช่วงห้าปีที่ผ่านมา ผมขายหุ้นออกไปประมาณสามตัวจากหุ้นสิบห้าตัวที่ถือลงทุนอยู่สาเหตุเพียงเพราะว่า พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไปแทบทั้งสิ้น

เนื้อหาโดย: machete007
⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
machete007's profile


โพสท์โดย: machete007
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
พบเครื่องบิน "โบอิ้ง 737" ที่หายไป 13 ปี ถูกจอดทิ้งกลางสนามบินชาว เกษตรกร เขมร กดดันไทยเปิดด่าน ควบรถไถเหยียบนาข้าวทิ้ง ราคาตกต่ำสุดขีดชาวนาเขมรยกมือไหว้วอนคนไทย “เปิดด่านช่วยด้วย” หลังราคาข้าวทรุดหนัก สวนทางคำพูดในอดีตที่เคยดูแคลนไทย‘ดร.ธรณ์’ แนะนำ ถ้าจะย้ายที่อยู่ จังหวัดไหนเหมาะที่สุด ที่ไม่มีมลพิษของฝุ่นและภัยพิบัติทางธรรมชาติ'ฮุนเซน' ควันออกหู หลังลาวฉวยโอกาสขายของตัดหน้า แย่งสัมปทานจีน10 อันดับเมืองที่มีมลพิษสูงสุดกรุงเทพฯพืชที่มีพิษร้ายแรงเทียบเท่าพิษงูเห่าสภาทนายความ แจงเหตุลบชื่อ ‘ทนายคนดัง’ ออกจากทะเบียนทนาย“ย้อนวันวานอาหารจานละ 2-3 บาท กินอิ่มทั้งบ้านด้วยเงินไม่กี่บาท ราคาน่ารักที่วันนี้หาไม่ได้แล้ว”ซาอุฯ สั่ง "มันอัดเม็ดไทย" เพิ่ม 30,000 ตัน! เกษตรกรเฮลั่นทำไมต้องหย่ากัน หลังถูกคดีความ? เหตุผลที่ฟังดูดราม่า…แต่จริงกว่าที่คิดแบงก์เขมรปิด ฮุน โต! เผ่นหนี ลูกค้าถอนเงินไม่ได้
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
“ย้อนวันวานอาหารจานละ 2-3 บาท กินอิ่มทั้งบ้านด้วยเงินไม่กี่บาท ราคาน่ารักที่วันนี้หาไม่ได้แล้ว”ทัพฟ้าไทย พร้อมรบ 24 ชั่วโมง โชว์ยุทโธปกรณ์สุดล้ำ โจมตีแม่นยำ "ไม่ให้ใครย่ำยี" น่านฟ้าไทยทำไมต้องหย่ากัน หลังถูกคดีความ? เหตุผลที่ฟังดูดราม่า…แต่จริงกว่าที่คิดน้องแร็คคูนบุกร้านค้า ดื่มจัดหนัก จนเมาค้าง เห็นแล้วนึกถึงคนเหมือนกันนะเนี่ย (ฮา)นี่คือสิ่งมีชีวิตที่สูงที่สุดและใหญ่ที่สุดในโลก Redwood และ Sequoiaเฮลิคอปเตอร์ไร้คนขับของจีน ทดสอบบินและยิงกระสุนจริงครั้งแรกแล้ว
กระทู้อื่นๆในบอร์ด สาระ เกร็ดน่ารู้
“ย้อนวันวานอาหารจานละ 2-3 บาท กินอิ่มทั้งบ้านด้วยเงินไม่กี่บาท ราคาน่ารักที่วันนี้หาไม่ได้แล้ว”ทำไมต้องหย่ากัน หลังถูกคดีความ? เหตุผลที่ฟังดูดราม่า…แต่จริงกว่าที่คิดนี่คือสิ่งมีชีวิตที่สูงที่สุดและใหญ่ที่สุดในโลก Redwood และ SequoiaUnseen ไทยแลนด์ เกาะรูปหัวใจ "ทุ่งทะเลหลวง" สุโขทัย
ตั้งกระทู้ใหม่