Ultherapy Prime หรือ EMFACE? ไขข้อสงสัยก่อนเลือกยกกระชับผิวหน้า
Ultherapy Prime หรือ EMFACE? ไขข้อสงสัยก่อนเลือกยกกระชับผิวหน้า
เมื่ออายุเพิ่มขึ้น ปัญหาผิวหย่อนคล้อย มุมปากตก หรือใบหน้าดูไม่สดใส อาจเริ่มกลายเป็นสิ่งที่ใครหลายคนสังเกตเห็นเป็นอันดับแรกในกระจก ปัจจุบันการดูแลผิวหน้าให้กลับมากระชับ เต่งตึง ไม่จำเป็นต้องพึ่งการผ่าตัดหรือพักฟื้นอีกต่อไป เพราะเทคโนโลยีด้านความงามได้พัฒนาไปไกล และมีทางเลือกใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์ทั้งผลลัพธ์ ความปลอดภัย และความสะดวกสบาย
สองตัวเลือกที่ได้รับความนิยมในช่วงหลัง คือ Ultherapy Prime และ EMFACE ซึ่งแม้จะมีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือ “ยกกระชับใบหน้า” แต่กลับมีแนวทางการทำงานที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง แล้วแบบไหนล่ะ ที่เหมาะกับคุณจริง ๆ? มาทำความรู้จักทั้งสองเทคโนโลยีแบบเจาะลึกกันเลย
รู้จัก Ultherapy Prime คลื่นเสียงที่ลงลึกเพื่อยกผิวจากภายใน
Ultherapy Prime คือเวอร์ชันใหม่ของเทคโนโลยีอัลตราซาวนด์ที่เน้นการยกกระชับผิวหน้าโดยไม่ต้องผ่าตัด โดยใช้คลื่นเสียงแบบโฟกัส (Micro-Focused Ultrasound) ยิงพลังงานลงลึกถึงชั้น SMAS ซึ่งเป็นชั้นเดียวกับที่ใช้ในการผ่าตัดดึงหน้า
ความพิเศษของ Ultherapy Prime คือหน้าจอแสดงผลที่คมชัดระดับ Full HD ช่วยให้แพทย์เห็นโครงสร้างผิวแบบเรียลไทม์ และสามารถกำหนดจุดยิงพลังงานได้อย่างแม่นยำ ซึ่งช่วยให้ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติ และปลอดภัยยิ่งขึ้น
สิ่งที่ได้จาก Ultherapy Prime
- ผิวยกกระชับโดยเฉพาะบริเวณแนวกราม ใต้คาง ลำคอ
- ช่วยลดความหย่อนคล้อยของเปลือกตาและหนังตาตก
- กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ในชั้นลึก
- เห็นผลชัดใน 2–3 เดือน และผลลัพธ์อยู่ได้นานถึง 1–2 ปี
ทำความรู้จัก EMFACE กระชับผิวและกล้ามเนื้อในขั้นตอนเดียว
EMFACE คือเทคโนโลยียกกระชับใบหน้าที่ไม่มีเข็ม ไม่มีแผล และไม่ต้องเจ็บ ด้วยการทำงานร่วมกันของพลังงานสองรูปแบบ คือ
- HIFES (High-Intensity Facial Electrical Stimulation): คลื่นไฟฟ้าที่กระตุ้นกล้ามเนื้อใบหน้าให้แข็งแรงขึ้น ยกพวงแก้ม และปรับรูปหน้าให้ได้สัดส่วน
- RF (Radio Frequency): พลังงานคลื่นวิทยุที่ลงสู่ผิวชั้นกลางเพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวเต่งตึงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
EMFACE เหมาะกับคนที่ต้องการยกกระชับโดยไม่เจ็บ ไม่ต้องใช้เวลาพักฟื้น และต้องการผลลัพธ์รวดเร็ว
ผลลัพธ์ที่เห็นได้จาก EMFACE
- ใบหน้าดูเฟิร์มและกระชับขึ้น
- ลดเลือนริ้วรอยเล็ก ๆ รอบตา หน้าผาก และปาก
- กล้ามเนื้อใบหน้าแข็งแรงขึ้น กรอบหน้าชัดขึ้น
- เห็นผลภายใน 4–6 สัปดาห์ และอยู่ได้นาน 6–12 เดือน
เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่าง Ultherapy Prime และ EMFACE
แม้ Ultherapy Prime และ EMFACE จะมีเป้าหมายเดียวกันในการยกกระชับใบหน้าและฟื้นฟูความอ่อนเยาว์ให้กับผิว แต่ทั้งสองเทคโนโลยีกลับมีแนวทางการทำงานที่ต่างกันอย่างชัดเจน ซึ่งส่งผลต่อผลลัพธ์ ระยะเวลาการเห็นผล รวมถึงกลุ่มผู้ใช้ที่เหมาะสม
- เริ่มจาก Ultherapy Prime ซึ่งใช้พลังงานคลื่นเสียงแบบโฟกัส (Micro-Focused Ultrasound) ยิงลงสู่ชั้นผิวที่ลึกที่สุดอย่าง SMAS หรือชั้นกล้ามเนื้อที่ศัลยแพทย์ใช้ในการดึงหน้า จุดเด่นของ Ultherapy อยู่ที่การยกกระชับโครงสร้างภายในอย่างแม่นยำ โดยไม่รบกวนผิวด้านบน ผลลัพธ์จะค่อย ๆ ชัดเจนขึ้นภายใน 2–3 เดือน และสามารถคงอยู่ได้นานถึง 1–2 ปี ทั้งยังเหมาะกับผู้ที่เริ่มมีผิวหย่อนคล้อยระดับปานกลางถึงมาก และต้องการการยกกระชับแบบลึกโดยไม่ต้องผ่าตัด
- ในขณะที่ EMFACE เน้นการฟื้นฟูกล้ามเนื้อใบหน้าและกระตุ้นคอลลาเจนในผิวชั้นบนผ่านการทำงานร่วมกันของคลื่น HIFES และคลื่นวิทยุ RF โดย HIFES จะช่วยกระตุ้นกล้ามเนื้อให้แข็งแรงและยกกระชับ ส่วน RF จะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นผิว ส่งผลให้ใบหน้าดูเต่งตึงและสดใสขึ้น เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาหย่อนคล้อยเล็กน้อยถึงปานกลาง หรือผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้าให้กระชับขึ้นโดยไม่เจ็บ ไม่ใช้เข็ม และไม่ต้องพักฟื้น
- อีกหนึ่งความแตกต่างที่ควรพิจารณาคือระยะเวลาเห็นผลและอายุของผลลัพธ์ โดย EMFACE จะเริ่มเห็นผลลัพธ์ภายใน 4–6 สัปดาห์ และคงอยู่ได้นานประมาณ 6–12 เดือน ซึ่งสั้นกว่า Ultherapy Prime เล็กน้อย แต่แลกมาด้วยความสบายขณะทำ เพราะไม่เจ็บ และใช้เวลาเพียง 20–30 นาทีเท่านั้นต่อครั้ง
ดังนั้น หากคุณต้องการการยกกระชับที่ลึก เห็นผลยาวนาน และแก้ปัญหาผิวที่หย่อนชัดเจน Ultherapy Prime อาจเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม ในขณะที่ EMFACE จะตอบโจทย์คนที่ต้องการการดูแลผิวแบบอ่อนโยน เห็นผลไว และไม่มีเวลาพักฟื้น
ใครเหมาะกับ Ultherapy Prime?
- ผู้ที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป
- ผู้ที่มีผิวหย่อนคล้อยอย่างเห็นได้ชัด
- ผู้ที่ต้องการยกกระชับชั้นลึกโดยไม่ผ่าตัด
- ผู้ที่มีปัญหาเปลือกตาตก หนังตาหย่อน
- ผู้ที่มีริ้วรอยลึกบริเวณใบหน้าและลำคอ
- ผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่ยาวนานและคุ้มค่า
ใครเหมาะกับ EMFACE?
- ผู้ที่มีอายุ 25–50 ปี
- ผู้ที่เริ่มมีปัญหาผิวหย่อนเล็กน้อย
- ผู้ที่มีมวลกล้ามเนื้อลดลงจากอายุหรือพฤติกรรม
- ผู้ที่กลัวเข็มหรือไม่อยากรู้สึกเจ็บ
- ผู้ที่ต้องการเห็นผลลัพธ์แบบเร่งด่วน
- ผู้ที่ต้องการกระตุ้นคอลลาเจนโดยไม่รบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน
สามารถทำ Ultherapy Prime และ EMFACE ควบคู่กันได้ไหม?
- แม้ทั้งสองโปรแกรมจะมีหลักการทำงานแตกต่างกัน แต่สามารถทำควบคู่กันได้อย่างปลอดภัยและส่งเสริมประสิทธิภาพซึ่งกันและกัน Ultherapy Prime ทำหน้าที่ยกกระชับลึกถึงโครงสร้างผิว ขณะที่ EMFACE จะดูแลกล้ามเนื้อใบหน้าและผิวชั้นบน ช่วยให้ใบหน้าได้รับการยกกระชับในทุกระดับชั้นผิว
ก่อนและหลังทำ Ultherapy Prime และ EMFACE ต้องเตรียมตัวยังไง?
ก่อนทำ
- หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีสารผลัดเซลล์ผิว เช่น AHA, BHA, Retinol อย่างน้อย 7 วัน
- งดทานอาหารเสริมที่มีผลต่อการไหลเวียนเลือด เช่น วิตามินอี โสม น้ำมันปลา
- งดออกแดดจัด หรืองดเลเซอร์ผิวก่อนทำประมาณ 1–2 สัปดาห์
- ควรพักผ่อนให้เพียงพอในคืนก่อนวันทำ
หลังทำ
- หลีกเลี่ยงการขัดหรือกดใบหน้าในช่วง 3–5 วันแรก
- งดการอบไอน้ำ ออกกำลังกายหนัก หรือซาวน่า ประมาณ 1 สัปดาห์
- ทาครีมบำรุงที่อ่อนโยน และใช้กันแดดอย่างสม่ำเสมอ
- ดื่มน้ำให้มากเพียงพอ เพื่อให้ผิวฟื้นตัวได้ดี
สรุปเลือกเทคโนโลยีให้เหมาะกับเป้าหมายผิวของคุณ
ทั้ง Ultherapy Prime และ EMFACE ต่างมีจุดเด่นเฉพาะตัว Ultherapy Prime เน้นการยกกระชับจากโครงสร้างภายในอย่างลึกและยาวนาน เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยระดับลึก ส่วน EMFACE เน้นฟื้นฟูกล้ามเนื้อและสร้างคอลลาเจนให้ผิวชั้นบน เหมาะกับผู้ที่ต้องการดูแลผิวแบบสบาย ๆ ไม่เจ็บ และเห็นผลเร็ว
หากคุณต้องการดูแลผิวให้ครอบคลุมทุกชั้น การใช้เทคโนโลยีทั้งสองร่วมกันก็เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ เพราะจะช่วยฟื้นฟูผิวทั้งภายนอกและภายในอย่างสมดุล และยังช่วยคงความอ่อนเยาว์ไว้ได้ในระยะยาว
ก่อนตัดสินใจควรเข้ารับคำปรึกษากับแพทย์ เพื่อประเมินสภาพผิวและวางแผนการดูแลให้ตรงกับความต้องการของคุณ












