รถส่วนตัวถูกใช้งานแค่ 5 เปอร์เซ็นต์ วิกฤตอุตสาหกรรมรถยนต์ยุคมิลเลนเนียล
ข่าวลือที่ว่าคนรุ่นมิลเลนเนียลไม่ซื้อรถอีกต่อไป กลายเป็นเรื่องเกินจริงไปแล้ว! แต่ถึงอย่างนั้น บริการเรียกรถอย่าง Uber และรถยนต์ไร้คนขับ ยังคงเป็นภัยคุกคามต่อการเป็นเจ้าของรถส่วนตัวอยู่ดี และเหตุผลหลักก็ชัดเจนมาก...
พูดง่ายๆ ก็คือ เราใช้รถส่วนตัวน้อยมากนั่นเอง!
พอล บาร์เตอร์ ที่ปรึกษาด้านการขนส่ง ได้ยืนยันข้อมูลที่นักวางผังเมืองพูดมานานแล้วว่า โดยเฉลี่ยแล้ว รถยนต์ส่วนตัวจอดอยู่เฉยๆ ถึง 95% ของเวลา! บาร์เตอร์ใช้สามวิธีในการวิเคราะห์นี้ เริ่มจากข้อมูลจำนวนการเดินทางด้วยรถและเวลาเฉลี่ยต่อครั้ง ตามด้วยผลสำรวจเกี่ยวกับเวลาที่เราใช้ขับรถจริงๆ และสุดท้ายคือการประเมินจากรายงานเกี่ยวกับระยะทางและความเร็วในการขับขี่
การค้นพบนี้สอดคล้องกับพฤติกรรมของคนเมืองยุคใหม่ที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เมื่อก่อนการมีรถส่วนตัวคือสัญลักษณ์ของความสำเร็จและอิสระภาพ แต่ปัจจุบันคนรุ่นมิลเลนเนียลให้ความสำคัญกับความสะดวกสบายและประสิทธิภาพมากกว่า
ผลวิจัยจากมหาวิทยาลัยมิชิแกนชี้ว่า กลุ่มคนอายุ 20-30 ปี มีแนวโน้มจะซื้อรถน้อยลงถึง 30% เมื่อเทียบกับเจนเนอเรชั่นก่อนหน้า สาเหตุหลักมาจากสามปัจจัยใหญ่:
1. การเติบโตของบริการแชร์ริ่งอีโคโนมีที่ทำให้เข้าถึงรถได้ง่ายโดยไม่ต้องเป็นเจ้าของ
2. ค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษารถที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
3. แนวคิดการใช้ชีวิตแบบมินิมอลที่เน้นการใช้งานแทนการครอบครอง
ที่น่าสนใจคือ แม้จะมีการพูดถึงเทรนด์นี้มานานกว่า 5 ปี แต่ตลาดรถยนต์มือสองกลับเฟื่องฟูอย่างไม่น่าเชื่อ โดยเฉพาะในกลุ่มรถขนาดเล็กและประหยัดพลังงาน ปรากฏการณ์นี้สะท้อนให้เห็นว่าคนรุ่นใหม่ยังต้องการรถอยู่ แต่เปลี่ยนรูปแบบการเป็นเจ้าของเท่านั้น
ด้านผู้ผลิตรถยนต์เองก็เริ่มปรับตัวรับเทรนด์นี้อย่างจริงจัง บริษัทหลายแห่งเปิดตัวบริการรถยนต์แบบสมัครสมาชิก (Car Subscription) ที่ให้ลูกเช่ารถในระยะยาวแบบยืดหยุ่นได้ รวมถึงลงทุนหนักในเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้าและไร้คนขับ
ทว่า ความท้าทายที่แท้จริงอาจไม่ใช่แค่การเปลี่ยนรูปแบบการเป็นเจ้าของ แต่คือการออกแบบเมืองให้รองรับวิถีชีวิตใหม่นี้ด้วย นักวางผังเมืองในหลายประเทศกำลังผลักดันแนวคิด "15-Minute City" ที่ออกแบบให้ผู้อยู่อาศัยสามารถเข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐานได้ภายใน 15 นาทีโดยไม่ต้องใช้รถ
ในอนาคตอันใกล้ เราอาจได้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของโครงสร้างพื้นฐานเมือง การออกแบบที่อยู่อาศัย และแม้แต่รูปแบบการทำงาน ที่ล้วนส่งผลต่อพฤติกรรมการใช้รถยนต์ของคนในสังคม
คำถามที่น่าสนใจก็คือ เมื่อรถยนต์กลายเป็นเพียงหนึ่งในหลายทางเลือกสำหรับการเดินทาง ไม่ใช่ศูนย์กลางของชีวิตเหมือนในอดีต อะไรจะกลายมาเป็นสัญลักษณ์แห่งสถานะทางสังคมแทนที่รถยนต์ในยุคต่อไป?
บางทฤษฎีชี้ว่าอาจเป็นการเข้าถึงเทคโนโลยีล้ำสมัย หรือแม้แต่การมี "เวลา" เป็นของตัวเองมากขึ้น ในขณะที่บางความเห็นเชื่อว่าสถานะทางสังคมแบบเดิมจะถูกแทนที่ด้วยแนวคิดเรื่องความยั่งยืนและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมแทน
ไม่ว่าผลลัพธ์สุดท้ายจะเป็นอย่างไร หนึ่งเรื่องที่แน่นอนคือ อุตสาหกรรมรถยนต์กำลังอยู่ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่มีการผลิตแบบสายพานเป็นครั้งแรกเมื่อร้อยปีก่อน และครั้งนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของเทคโนโลยี แต่คือการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของทั้งสังคม
สำหรับผู้บริโภคแล้ว การมีทางเลือกมากขึ้นย่อมเป็นสิ่งที่ดี แต่ในขณะเดียวกัน เราก็ต้องเรียนรู้ที่จะปรับตัวและตัดสินใจอย่างชาญฉลาดในโลกที่ทางเลือกในการเดินทางมีมากมายและซับซ้อนขึ้นทุกวัน













