สหรัฐถอนตัวจากข้อตกลงปารีส: วิกฤตสิ่งแวดล้อมที่โลกต้องจับตา
เดือนธันวาคม 2015 ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญเมื่อ 195 ประเทศร่วมลงนามในข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) - สนธิสัญญาลดการปล่อยคาร์บอนที่ทะเยอทะยานที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ
ชื่อข้อตกลงนี้มาจากสถานที่จัดประชุม COP21 ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส โดยมีเป้าหมายหลักคือควบคุมไม่ให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียสเทียบกับยุคก่อนอุตสาหกรรม
นักวิทยาศาสตร์ด้านสภาพอากาศออกมาเตือนอย่างหนักแน่นว่าหากอุณหภูมิเพิ่มขึ้นเกิน 2 องศาเซลเซียส จะนำไปสู่หายนะที่ไม่อาจแก้ไขได้ ทั้งพายุรุนแรงแบบไม่สามารถคาดเดาได้ คลื่นความร้อนที่คร่าชีวิตผู้คน และภัยพิบัติทางธรรมชาติอีกมากมาย
แต่แล้วในปี 2017 เกิดเหตุการณ์ที่สร้างความตกตะลึงไปทั่วโลก เมื่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศถอนสหรัฐอเมริกาออกจากข้อตกลงนี้ ทำให้สหรัฐกลายเป็นหนึ่งในสามประเทศที่ไม่สนับสนุนข้อตกลงปารีส ร่วมกับซีเรียและนิการากัว แม้แต่ประเทศอย่างปาเลสไตน์และเกาหลีเหนือยังให้การสนับสนุน!
สำหรับซีเรียที่กำลังเผชิญสงครามกลางเมืองนั้นไม่ได้เข้าร่วมกระบวนการ ส่วนนิการากัวปฏิเสธที่จะลงนามเพราะเห็นว่าข้อตกลงนี้ "ยังไม่เข้มงวดพอ" พอล โอกวิสต์ ทูตด้านสภาพอากาศของนิการากัวให้ความเห็นว่า "เราไม่สามารถสนับสนุนฉันทามตินี้ได้"
ข้อตกลงปารีสได้รับการรับรองจากเกือบทุกประเทศบนโลกใบนี้ โดยมีกรอบการทำงานชัดเจนในการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดและลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล แต่ละประเทศยังต้องเสนอแผนปฏิบัติการด้านสภาพอากาศ (Climate Action Plan) เพื่อบรรลุเป้าหมายนี้
ที่น่าสนใจคือ อดีตประธานาธิบดีบารัก โอบามา ได้ให้สัตยาบันรับรองข้อตกลงนี้ในเดือนกันยายน 2016 แต่เลือกไม่เสนอต่อรัฐสภาสหรัฐเพื่อขอความเห็นชอบ นี่เองที่เป็นช่องทางให้ทรัมป์ยกเลิกพันธกรณีของสหรัฐได้ในเวลาต่อมา เพราะการเข้าร่วมข้อตกลงครั้งแรกเป็นเพียงการตัดสินใจของประธานาธิบดีเท่านั้น
การถอนตัวของสหรัฐสร้างความสั่นสะเทือนไปทั่ววงการสิ่งแวดล้อมโลก เพราะสหรัฐเป็นประเทศที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากเป็นอันดับสองของโลก รองเพียงจีนเท่านั้น การตัดสินใจครั้งนี้จึงอาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อความพยายามแก้ไขวิกฤตสภาพภูมิอากาศของมนุษยชาติ
หลายฝ่ายมองว่าการกระทำของทรัมป์สะท้อนถึงความขัดแย้งทางการเมืองในสหรัฐอย่างชัดเจน ระหว่างกลุ่มที่เชื่อในวิทยาศาสตร์กับกลุ่มที่ให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจระยะสั้น แม้จะมีเสียงวิจารณ์มากมาย แต่ทรัมป์ก็ยืนยันว่าการถอนตัวครั้งนี้จะ "ปกป้องผลประโยชน์ของคนอเมริกัน"
ในทางปฏิบัติแล้ว กระบวนการถอนตัวจากข้อตกลงปารีสไม่สามารถทำได้ทันที ตามกฎหมายระหว่างประเทศกำหนดให้ต้องรอเวลาอย่างน้อย 3 ปี นั่นหมายความว่าสหรัฐจะถอนตัวอย่างเป็นทางการได้เร็วที่สุดก็ในปี 2020 ซึ่งบังเอิญเป็นปีที่มีการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐพอดี!
ความเคลื่อนไหวครั้งนี้ทำให้หลายรัฐและเมืองใหญ่ในสหรัฐอย่างแคลิฟอร์เนีย นิวยอร์ก และชิคาโก ประกาศจะเดินหน้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อไป แม้ว่าจะไม่มีนโยบายสนับสนุนจากรัฐบาลกลางก็ตาม นับเป็นการต่อสู้ระหว่างรัฐบาลกลางกับรัฐบาลท้องถิ่นที่ดุเดือดไม่น้อย
นักวิเคราะห์หลายคนมองว่าการถอนตัวของสหรัฐอาจเปิดโอกาสให้จีนก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำด้านสิ่งแวดล้อมโลกแทน ซึ่งจะส่งผลต่อสมดุลอำนาจและการเมืองระหว่างประเทศในระยะยาว เรียกได้ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลกระทบเกินกว่าแค่ประเด็นสิ่งแวดล้อมเท่านั้น
















