Ultraformer ดีไหม เจาะลึกเทคโนโลยียกกระชับแห่งยุค
Ultraformer ดีไหม เจาะลึกเทคโนโลยียกกระชับแห่งยุค
รวมเรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ Ultraformer ทางเลือกใหม่ของการยกกระชับหน้าโดยไม่ต้องผ่าตัด ช่วยลดเหนียง ปรับรูปหน้าให้เรียวขึ้น
ในยุคที่ความอ่อนเยาว์เป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนา เทคโนโลยีเพื่อความงามจึงพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อรองรับความต้องการนี้
โดยเฉพาะในเรื่องของการยกกระชับผิวโดยไม่ต้องผ่าตัด ซึ่งเทคโนโลยีหนึ่งที่ได้รับความนิยมสูงสุดคือ “Ultraformer” เครื่องยกกระชับผิวหน้าด้วยพลังงานคลื่นเสียงความถี่สูงแบบโฟกัส หรือ HIFU (High-Intensity Focused Ultrasound)
ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปรู้จัก Ultraformer อย่างละเอียด พร้อมตอบทุกคำถามที่คุณอยากรู้
จุดเด่นของ Ultraformer ที่เหนือกว่า HIFU ทั่วไป
แม้เทคโนโลยี HIFU จะมีหลายเครื่องในตลาด แต่ Ultraformer (โดยเฉพาะรุ่น Ultraformer III) ได้รับความนิยมมากที่สุดจากแพทย์ผิวหนังและคลินิกความงาม เพราะมีคุณสมบัติพิเศษดังนี้
- ยิงพลังงานได้ลึกถึงชั้น SMAS ซึ่งเป็นชั้นกล้ามเนื้อพังผืดใต้ผิวที่ศัลยแพทย์ใช้ในการดึงหน้า
- หัวยิงหลายขนาด ปรับระดับความลึกได้ทั้ง 1.5, 3.0, 4.5 มม. รวมถึง 6.0 และ 9.0 มม. สำหรับใช้กับร่างกาย
- ผลลัพธ์แม่นยำและสม่ำเสมอ ด้วยระบบควบคุมพลังงานอัตโนมัติ
- ใช้เวลาไม่นาน การทำ 1 ครั้งใช้เวลาประมาณ 30–60 นาที
- เจ็บน้อยมาก เมื่อเทียบกับ HIFU รุ่นเก่า
กลไกการทำงานของ Ultraformer แบบเจาะลึก
Ultraformer ใช้คลื่นเสียงความถี่สูงที่สามารถโฟกัสพลังงานเป็นจุดเล็ก ๆ ได้อย่างแม่นยำ พลังงานนี้จะถูกส่งลงไปยังชั้นลึกของผิว (โดยไม่กระทบชั้นบน) เพื่อกระตุ้นให้เนื้อเยื่อหดตัว และเร่งกระบวนการฟื้นฟูคอลลาเจนและอีลาสตินภายใน
การฟื้นฟูนี้จะเกิดขึ้นต่อเนื่องยาวนานถึง 3 เดือนหลังทำ ทำให้ผิวดูแน่นกระชับขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ และให้ผลยาวนานกว่าการทาครีมหรือเลเซอร์ทั่วไป
ใครที่เหมาะกับการยกกระชับด้วย Ultraformer
เทคโนโลยีนี้เหมาะสำหรับ
- ผู้ที่เริ่มมีริ้วรอยเล็ก ๆ ร่องแก้ม หรือหางตาตก
- คนที่มีเหนียง หรือไขมันสะสมรอบกรอบหน้า
- ผู้ที่อายุ 30 ปีขึ้นไปที่เริ่มมีปัญหาผิวไม่กระชับ
- ผู้ที่ไม่สะดวกทำศัลยกรรม หรือกลัวมีแผล
- ผู้ที่เคยทำ HIFU หรือ Thermage แต่ผลไม่ชัดเจน
นอกจากนี้ ยังเหมาะกับผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้าให้เรียวขึ้น โดยไม่ต้องฉีดฟิลเลอร์หรือโบท็อกซ์
Ultraformer ช่วยแก้ปัญหาอะไรได้บ้าง
Ultraformer ไม่ได้ช่วยแค่ยกกระชับผิวเท่านั้น แต่ยังสามารถปรับรูปหน้า ฟื้นฟูโครงสร้างผิว และลดปัญหาต่าง ๆ ได้หลากหลายอย่างเป็นธรรมชาติ โดยไม่ต้องผ่าตัดหรือฉีดสารใด ๆ ดังนี้
1. Ultraformer ช่วยยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อย
ช่วยกระตุ้นการหดตัวของชั้น SMAS ทำให้ผิวตึงขึ้น แก้ม คาง และลำคอกระชับ กรอบหน้าชัดเจนโดยไม่ต้องศัลยกรรม
2. Ultraformer ช่วยลดไขมันเฉพาะจุด เช่น เหนียง กรอบหน้า
พลังงานลงลึกถึงชั้นไขมันใต้ผิว ช่วยสลายไขมันส่วนเกินที่ทำให้หน้าดูบานหรือมีคางสองชั้น
3. Ultraformer ช่วยปรับรูปหน้าให้เรียว V-Shape
ยกกระชับร่วมกับการลดไขมัน ทำให้ใบหน้าดูเล็กลงเข้ารูป โครงหน้าชัดขึ้นแบบเป็นธรรมชาติ
4. Ultraformer ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
คลื่นเสียง HIFU กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นหนังแท้ ผิวแน่น ยืดหยุ่นดีขึ้น และเต่งตึงในระยะยาว
5. Ultraformer ช่วยลดเลือนริ้วรอย
ช่วยลดรอยเล็ก ๆ รอบตา มุมปาก หน้าผาก โดยไม่ต้องฉีดสารเติมเต็ม
6. Ultraformer ช่วยกระชับรูขุมขน
เมื่อผิวแข็งแรงขึ้น รูขุมขนจะเล็กลง ทำให้ผิวเรียบเนียน แต่งหน้าติดง่าย
7. Ultraformer ช่วยยกคิ้ว ยกหางตา
ช่วยเปิดดวงตาให้ดูสดใส ลดอาการตาตกหรือหนังตาหย่อน โดยไม่ต้องผ่าตัด
8. Ultraformer ช่วยฟื้นฟูผิวให้กระจ่างใส
ปรับสมดุลผิวให้ดูมีชีวิตชีวา สุขภาพดี ผิวเนียนใสทั่วใบหน้า
9. Ultraformer ช่วยกระชับผิวหลังลดน้ำหนัก
ช่วยจัดการกับผิวเหี่ยวย่นหรือหย่อนหลังน้ำหนักลดอย่างปลอดภัยโดยไม่ต้องผ่าตัด
10. Ultraformer ช่วยเสริมความมั่นใจในวัย 30+
เหมาะกับผู้ที่เริ่มมีปัญหาผิวจากวัยที่เพิ่มขึ้น ต้องการผลลัพธ์ชัดเจนแบบไม่พึ่งมีดหมอ
ควรยิง Ultraformer กี่ช็อต อยู่ได้นานแค่ไหน
จำนวนช็อต (shots) ที่เหมาะสมมีความสำคัญมาก เพราะจะส่งผลโดยตรงต่อผลลัพธ์ โดยทั่วไปมีแนวทางดังนี้
- ใบหน้าส่วนบน 100–200 ช็อต
- แก้มล่างและกรอบหน้า 200–300 ช็อต
- คางและเหนียง 100–150 ช็อต
- ลำคอ 100–200 ช็อต
รวมแล้วทั้งหน้าและคออาจใช้ถึง 600–900 ช็อตขึ้นไป โดยแพทย์จะเป็นผู้ประเมินว่าแต่ละจุดควรใช้จำนวนเท่าใด
Ultraformer อยู่ได้นานแค่ไหน
ผลลัพธ์จากการทำ Ultraformer จะคงอยู่ได้เฉลี่ย 6–12 เดือน โดยบางคนที่อายุน้อย หรือดูแลผิวดี อาจเห็นผลนานถึง 18 เดือน
ปัจจัยที่ทำให้ผลอยู่ได้นานขึ้น
- การนอนหลับเพียงพอ
- ไม่สูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์
- ทาครีมกันแดดและบำรุงผิวสม่ำเสมอ
- รับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามิน C, E, คอลลาเจน
Ultraformer ควรทำบ่อยแค่ไหนถึงเห็นผลดี
โดยทั่วไปแนะนำให้ทำ ปีละ 1–2 ครั้ง เพื่อรักษาผลลัพธ์ให้ต่อเนื่อง แต่หากเป็นกรณีเร่งด่วน เช่น แต่งงาน หรือออกงานสำคัญ อาจทำล่วงหน้า 1–2 เดือนก่อนงาน
Ultraformer มีผลข้างเคียงหรือไม่หลังทำ
โดยทั่วไปมีความปลอดภัยสูงและผลข้างเคียงน้อยมาก แต่บางคนอาจพบอาการต่อไปนี้
- รอยแดง หรือบวมเล็กน้อย (หายภายใน 1–2 วัน)
- รู้สึกตึงผิวหรือเจ็บลึก ๆ ใต้ผิวประมาณ 1 สัปดาห์
- เสียวจี๊ดระหว่างทำ (พบไม่บ่อย)
หากเกิดอาการผิดปกติ แนะนำให้แจ้งแพทย์ทันที
ข้อควรระวังก่อนทำ Ultraformer
Ultraformer ไม่เหมาะกับ
- หญิงตั้งครรภ์ หรือให้นมบุตร
- ผู้มีโลหะหรืออุปกรณ์ฝังในร่างกาย
- ผู้มีแผลติดเชื้อ หรือผิวอักเสบ
- ผู้ที่มีผิวบางผิดปกติ
- ผู้ที่คาดหวังผลลัพธ์เหมือนศัลยกรรม
การเตรียมตัวก่อนทำ Ultraformer
- หลีกเลี่ยงแสงแดดจัดก่อนทำ 2–3 วัน
- งดใช้ครีมที่มี AHA, BHA, Retinol
- หลีกเลี่ยงการขัดผิวหรือเลเซอร์ก่อนหน้า 1 สัปดาห์
- แจ้งแพทย์หากมีโรคประจำตัวหรือใช้ยาเฉพาะทาง
การดูแลตัวเองหลังทำ Ultraformer
- ล้างหน้าด้วยน้ำเย็น หลีกเลี่ยงน้ำอุ่นจัด
- ใช้ครีมบำรุงผิวที่อ่อนโยน
- ทากันแดดทุกวัน SPF 50+
- หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ร้อนจัด เช่น ซาวน่า
- งดสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ 3 วัน
คำถามที่พบบ่อย (FAQs)
Q Ultraformer ต่างจาก Thermage อย่างไร?
A Ultraformer ใช้คลื่นเสียงความถี่สูง (HIFU) ส่วน Thermage ใช้คลื่นวิทยุ (RF) โดย Thermage เน้นกระตุ้นผิวชั้นตื้น ส่วน Ultraformer เจาะลึกถึงชั้น SMAS จึงยกกระชับได้ชัดกว่า
Q สามารถทำร่วมกับฟิลเลอร์หรือโบท็อกซ์ได้ไหม?
A ได้ แต่ควรเว้นระยะอย่างน้อย 4 สัปดาห์หลังฉีดก่อนทำ Ultraformer
Q ทำ Ultraformer แล้วหน้าจะบวมไหม?
A บางรายอาจบวมนิดหน่อย โดยเฉพาะบริเวณเหนียงหรือกรอบหน้า ซึ่งจะหายไปใน 1–2 วัน
Q ทำกี่ครั้งถึงจะเห็นผล?
A ส่วนใหญ่เห็นผลตั้งแต่ครั้งแรก โดยผลเต็มที่ประมาณเดือนที่ 2–3
สรุป Ultraformer เทคโนโลยียกกระชับยุคใหม่
Ultraformer คือเทคโนโลยีใหม่ที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการของการยกกระชับผิว โดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น เหมาะกับผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้าให้ดูอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ หากคุณกำลังมองหาทางเลือกที่ให้ผลใกล้เคียงการดึงหน้า แต่ไม่อยากเสี่ยงกับมีดผ่าตัด Ultraformer คือคำตอบที่ควรลองสักครั้งในชีวิต
















