วิเคราะห์สถานการณ์ แรงงานกัมพูชาที่กลับประเทศกัมพูชา แรงงานพวกนี้จะกลับมาอีกครั้งหรือไม่ ?
ในช่วงเวลาไม่เกินสองสัปดาห์ต่อจากนี้ อาจเกิดกระแสการกลับเข้ามาทำงานในประเทศไทยของแรงงานข้ามชาติจากกัมพูชาอย่างรวดเร็วและในจำนวนมาก แม้ว่ารัฐบาลกัมพูชาอาจมีท่าทีจำกัดการเดินทางข้ามแดน แต่ก็มีความเป็นไปได้สูงที่แรงงานบางส่วนจะพยายามกลับเข้ามาทางช่องทางอื่น เนื่องจากปัจจัยหลายประการที่ดึงดูดให้พวกเขาเลือกใช้ชีวิตในไทย
การแถลงจุดยืนของฝ่ายไทยในกรณีนี้อาจล่าช้าไปบ้าง แต่โดยหลักการแล้ว ไทยยังคงยืนยันที่จะไม่บังคับขับไล่ ไม่จับกุม หรือจำกัดสิทธิแรงงานข้ามชาติที่พำนักอยู่ในประเทศอย่างถูกกฎหมาย แนวโน้มดังกล่าวอาจเป็นโอกาสทองของแรงงานชาติอื่นที่พร้อมเข้ามาทำงานแทนในภาคส่วนที่ยังขาดแคลนแรงงาน
แรงงานข้ามชาติในไทยมิใช่เพียงกลุ่มที่เข้ามาทำงานชั่วคราว พวกเขาคือส่วนหนึ่งของพลวัตทางสังคมที่มีชีวิต มีครอบครัว และแสวงหาความมั่นคงในชีวิตอย่างแท้จริง หลายครอบครัวตั้งถิ่นฐานในไทย นำบุตรหลานเข้าเรียนในโรงเรียนไทย ใช้บริการสาธารณสุขของรัฐ และดูแลสมาชิกในครอบครัวภายใต้ระบบสวัสดิการที่ประเทศไทยจัดให้ในระดับหนึ่ง
การกลับประเทศด้วยเหตุผลทางการเมือง เช่น ความภักดีต่อผู้นำ ย่อมเป็นเรื่องส่วนบุคคล แต่การละทิ้งความมั่นคงทางครอบครัวที่สร้างไว้ในไทยนั้น ไม่ใช่สิ่งที่แรงงานทุกคนจะตัดสินใจทำได้ง่าย ๆ เพราะความแตกต่างด้านคุณภาพชีวิตระหว่างไทยและประเทศเพื่อนบ้าน เช่น กัมพูชา ลาว และเมียนมา ในด้านการศึกษา สาธารณสุข และรายได้ ยังมีช่องว่างที่ห่างไกล
แม้จะมีแรงงานที่ลงทะเบียนอยู่ประมาณ 500,000 คน แต่ตัวเลขแรงงานที่ไม่ได้ลงทะเบียนอาจสูงกว่าหลายเท่า การเรียกร้องให้แรงงานเหล่านี้กลับไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ในประเทศต้นทางจึงอาจไม่ใช่ทางเลือกที่ยั่งยืนสำหรับพวกเขาอีกต่อไป
เมื่อพูดถึงความรักชาติ ควรแยกให้ออกระหว่าง "ความรักต่อบ้านเกิด" กับ "ความหลงใหลในตัวบุคคลผู้นำ" มนุษย์โดยทั่วไปมีแนวโน้มเลือกสิ่งที่ปลอดภัยและมั่นคงให้แก่ตนเองและครอบครัวก่อน ไม่ว่าชาติสัญชาติใด เช่นเดียวกับที่แรงงานไทยในเกาหลีใต้หรือญี่ปุ่นบางคนอาจเลือกไม่กลับไทย เพราะชีวิตที่นั่นให้ความมั่นคงมากกว่า
ในช่วงเวลานี้ ท่าทีของกัมพูชาอาจดูแข็งกร้าว มีการแถลงการณ์ในลักษณะตัดสินใจฝ่ายเดียว โดยอ้างถึงแนวทางคล้ายกับนโยบายสมัยสงครามเย็น ซึ่งแม้จะดูได้เปรียบในเชิงจิตวิทยา แต่ในเวทีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ย่อมไม่ใช่ปัจจัยชี้ขาด
ในขณะที่ฝ่ายไทยดูจะตอบสนองอย่างระมัดระวังเกินไป จนกลายเป็นการตามแก้สถานการณ์มากกว่าการนำเสนอจุดยืนชัดเจน การสื่อสารอย่างทันท่วงทีเป็นสิ่งจำเป็น เพราะโลกปัจจุบันให้ความสำคัญกับข้อมูลที่รวดเร็วและแม่นยำ
ท้ายที่สุด ปัญหานี้อาจไม่ได้รับการแทรกแซงจากนานาชาติอย่างจริงจัง เนื่องจากทั้งสองประเทศไม่ได้มีทรัพยากรหรือผลประโยชน์ระดับโลกเช่นน้ำมันที่จะจูงใจมหาอำนาจให้เข้ามาเกี่ยวข้อง
ดังนั้น ไทยควรประกาศจุดยืนของตนให้ชัดเจนว่าไม่รุกรานเพื่อนบ้าน แต่ก็ไม่เปิดทางให้ผู้อื่นเข้ามาแทรกแซงอธิปไตยเช่นกัน หากมีการใช้อำนาจหรือกำลัง ก็จำเป็นต้องตอบโต้ในกรอบที่เหมาะสมกับสถานการณ์ เพื่อรักษาความมั่นคงภายใน
จากภาพรวมทางเศรษฐกิจ ประเทศไทยยังคงมีศักยภาพมากกว่ากัมพูชาในแง่รายได้ ระบบเศรษฐกิจ และเสถียรภาพทางสังคม ขณะที่กัมพูชาเองแม้จะมีการพัฒนาในบางด้าน แต่ยังต้องเผชิญปัญหาหนี้สินระดับสูงต่อจีน และระบบการเมืองที่กระจุกตัวในครอบครัวผู้นำ ซึ่งอาจกลายเป็นจุดเปราะบางในอนาคต และคำถามสำคัญคือ จะบริหารประเทศอย่างไรไม่ให้คนส่วนใหญ่ยากจน แต่กลับมีเพียงบางกลุ่มที่มั่งคั่ง? และเมื่อแรงงานเริ่มหันหลังให้กับระบบเดิม ๆ เสียงสะท้อนเหล่านี้จะถูกรับฟังหรือถูกละเลยไปเหมือนเดิม ?
เท่าที่ติดตามจากหลายๆสื่อในโลกออนไลน์ ในตอนนี้มีแรงงานชาวกัมพูชาบางส่วนก็กลับไปประเทศกัมพูชาจริงๆ รวมทั้งพวกที่ทำงานผิดกฏหมายก็ถูกทางการไทย และทางทหารจับกลับสู่ประเทศกัมพูชาอย่างต่อเนื่อง แต่ยังเป็นปริมาณที่ไม่ได้มากนัก ถ้าเทียบกับความต้องการของผู้นำกัมพูชาที่ต้องการให้ประชากรของประเทศตัวเองกลับไปให้มากกว่านี้ โดยแจ้งว่าจะมีงานให้ทำอย่างแน่นอน และมีรายได้ที่ดียิ่งขึ้น ซึ่งก็ต้องรอดูกันต่อไปว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่












