ต้นกำเนิด Coca-Cola มาจากการรักษา อาการเจ็บปวด
ในปี ค.ศ. 1861 เกิดความขัดแย้งระหว่างผู้ประกอบการและแรงงานในภาคการเกษตรของประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งนำไปสู่สงครามกลางเมือง ที่ทำให้ผู้คนบาดเจ็บล้มตายนับล้านชีวิต
ช่วงเวลานั้น ได้มีนายพันของกองทหารม้านายหนึ่งชื่อว่า “John Stith Pemberton”
ได้รับบาดเจ็บจากการถูกดาบแทงขณะออกรบ และแม้ว่าเขาจะรอดชีวิตมาได้
อาการเจ็บปวดจากบาดแผลยังคงติดตัวเขาไปตลอดชีวิต
แต่รู้หรือไม่ว่าด้วยความเจ็บปวดนี้เอง ได้กลายมาเป็นต้นกำเนิดของเครื่องดื่มที่มีชื่อว่า Coca-Cola..
แล้วบาดแผลที่ถูกดาบแทงกลายมาเป็นแบรนด์เครื่องดื่มน้ำอัดลมระดับโลกได้อย่างไร ?
ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นจากบาดแผลในสงคราม ทำให้ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บหลายคนจำเป็นต้องใช้ “มอร์ฟีน”
ซึ่งนอกจากจะเป็นสารเสพติดแล้ว มันยังช่วยในการระงับความเจ็บปวด
แต่เมื่อมันขึ้นชื่อว่าสารเสพติดแล้ว การที่ใช้มอร์ฟีนในปริมาณที่มากเกินไปจึงทำให้ร่างกายได้รับผลกระทบในระยะยาว
นายพัน Pemberton จึงต้องหันไปหาทางเลือกอื่นและด้วยตัวเขาเองที่ก่อนเข้าร่วมสงครามมีอาชีพเป็นเภสัชกรและนักเคมี เขาจึงเริ่มค้นหาตัวยาที่ช่วยระงับความเจ็บปวดและมีผลข้างเคียงน้อยกว่ามอร์ฟีน
ในปี ค.ศ. 1886 Pemberton ก็ได้ผลิตไวน์ ที่ถือได้ว่าเป็นต้นแบบดั้งเดิมของ Coca-Cola
ในชื่อ “French Wine Coca” ที่มีคุณสมบัติช่วยในการระงับความเจ็บปวด และรักษาอาการอื่น ๆ เช่น ท้องเสียและอาการปวดหัว
ด้วยวัตถุดิบหลักคือสารสกัดจากใบโคคาหรือก็คือพืชชนิดเดียวกันกับที่ใช้ผลิตโคเคน
ซึ่งในสมัยนั้นโคเคนยังไม่ถือว่าเป็นสิ่งผิดกฎหมาย
แต่เนื่องจากไวน์ดังกล่าวมีกลุ่มลูกค้าที่เฉพาะกลุ่มเกินไป ทำให้ Pemberton เกิดไอเดียที่จะต่อยอดไปยัง
เครื่องดื่มที่คนทั่วไปก็สามารถดื่มได้และทำเงินได้มากกว่า เขาจึงเลือกที่จะมองไปยังเครื่องดื่มยอดฮิตในขณะนั้นซึ่งก็คือน้ำหวานผสมโซดา หรือที่เรารู้จักกันในชื่อน้ำอัดลมในปัจจุบัน
เขาจึงเริ่มปรับปรุงสูตรด้วยการเพิ่มน้ำตาลเพื่อให้มีรสหวานและนำแอลกอฮอล์ออกจากตัวเครื่องดื่มเพื่อที่จะสามารถขายให้กับผู้บริโภคตั้งแต่เด็กจนถึงผู้ใหญ่ จนได้รสชาติอย่างที่ต้องการโดยที่ยังมีส่วนผสมของใบโคคาเป็นส่วนประกอบอยู่
ส่วนชื่อนั้นถูกตั้งโดย Frank Robinson นักบัญชีที่คอยช่วยเหลือ Pemberton มาตลอด
โดยคำว่า Coca มาจากใบโคคา (Coca Leaf) และ Cola มาจากถั่วโคลา (Kola Nut)
ที่เป็นแหล่งที่มาของสารกาเฟอีนใน Coca-Cola
นอกจากนี้ Robinson ยังเป็นผู้ออกแบบโลโกของ Coca-Cola ที่ได้ใช้มาจนถึงปัจจุบัน อีกด้วย
แต่เมื่อออกจำหน่ายในปีแรก Coca-Cola กลับขายได้เพียง 1,000 แก้วเท่านั้น
และหลังจากนั้นไม่นาน Pemberton ก็ได้เสียชีวิตลง
ก่อนที่ Pemberton จะเสียชีวิต เขาก็ได้ขายสูตรน้ำหวาน Coca-Cola ต่อให้กับ Asa Candler เจ้าของธุรกิจร้านขายยา ซึ่งเรื่องดังกล่าว ก็ได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของแบรนด์เครื่องดื่มที่ผู้คนทั่วโลกชื่นชอบ
ในปี ค.ศ.1891 Candler ได้ก่อตั้งบริษัท Coca-Cola ขึ้นอย่างเป็นทางการ
โดยสิ่งแรกที่เขาทำ คือการโปรโมตแบรนด์ให้เป็นที่รู้จัก
ด้วยการใส่โลโก Coca-Cola ลงบนทุกสิ่งที่สามารถใส่เข้าไปได้..
ไม่ว่าจะเป็นปฏิทิน กระเป๋าสตางค์ ผนังกำแพง รถของพนักงานขาย และอีกหลากหลายสิ่ง
เพื่อให้แน่ใจว่าผู้คนต้องได้เห็นโลโกของ Coca-Cola
โดยโปรโมชันแรก ๆ ที่ Coca-Cola เลือกที่จะทำคือ “คูปองดื่มฟรี”
ต้องเข้าใจก่อนว่าในช่วงเวลานั้น เครื่องดื่มผสมโซดาจะถูกวางขายในร้านขายยา
โดยมีลักษณะคล้ายกับน้ำอัดลมโบราณในบ้านเรา ซึ่งอาจมีน้ำหวานมากกว่า 100 รสชาติให้เราได้เลือก
ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อมีตัวเลือกมาก การที่ลูกค้าจะเลือก Coca-Cola จึงเป็นไปได้ยาก
สิ่งที่ Candler ทำก็คือการเขียนจดหมายถึงเจ้าของร้านขายเครื่องดื่มเพื่อขอรายชื่อลูกค้าขาประจำ 50 คน
โดยภายในจดหมายแต่ละฉบับจะมีคูปองที่มีโลโก Coca-Cola ให้กับลูกค้าประจำมาแลกเครื่องดื่มฟรีที่ร้าน
ซึ่งเรื่องนี้ก็สร้างความประทับใจให้กับผู้ที่ได้ลิ้มลองรสชาติและเกิดการบอกต่ออย่างรวดเร็ว
แต่แล้ว Coca-Cola ก็ต้องพบกับปัญหาใหญ่
เมื่อโคเคนถูกระบุว่าเป็นสารเสพติดและเกิดการต่อต้านอย่างรุนแรงจากผู้คนในเวลานั้น
และภาครัฐก็ยื่นคำขาดว่าห้ามมีโคเคนอยู่ในเครื่องดื่มเด็ดขาด
อีกประเด็นหนึ่งก็คือพวกเขาจำเป็นต้องรักษาสารสกัดจากโคคาไว้
เพื่อที่จะยังได้รับการปกป้องเครื่องหมายการค้าของบริษัท
นั่นทำให้พวกเขาต้องใช้เวลาหลายปีในการพัฒนาสูตร Coca-Cola ที่ยังมีส่วนผสมจากใบโคคา
แต่ไม่มีสารออกฤทธิ์ชนิดเดียวกับโคเคนเหลืออยู่ในเครื่องดื่มและเป็นสูตรสำเร็จที่ใช้มาจนถึงปัจจุบัน
จากนั้นในปี ค.ศ. 1899 Joseph Whitehead และ Benjamin Thomas
ก็ได้เข้ามาติดต่อขอซื้อสิทธิ์ในการขายเครื่องดื่ม Coca-Cola แบบบรรจุขวดจาก Candler
โดยที่ Candler ก็ได้ขายสิทธิ์ดังกล่าวในราคาเพียง 1 ดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น เนื่องจากธุรกิจบรรจุขวดในสมัยนั้น ยังถือว่ามีกระบวนการผลิตที่มีคุณภาพต่ำและมีความยากในการบริหารจัดการ
เพราะฝาปิดขวดในอดีตยังใช้วัสดุประเภทลวดและจุกยาง ซึ่งส่งผลต่อคุณภาพของเครื่องดื่มและยากต่อการทำความสะอาด นี่จึงเป็นที่มาของฝาจีบที่เข้ามาแก้ปัญหานี้ในเวลาต่อมา และในปี 1910 โรงงานบรรจุขวดของ Coca-Cola ก็ได้เกิดขึ้นไปทั่วสหรัฐอเมริกา
แต่ปัญหาก็ยังไม่ได้หมดเพียงแค่นี้ เพราะด้วยการเติบโตแบบรวดเร็วของ Coca-Cola จึงทำให้เกิดผลิตภัณฑ์ที่ลอกเลียนแบบแบรนด์ขึ้นมา
ทั้งชื่อที่ออกเสียงคล้ายกัน โลโก และขวดที่มีลักษณะเหมือนกัน
จนทำให้ผู้บริโภคแยกไม่ออกว่าแบบไหนคือ Coca-Cola ของแท้
เมื่อเป็นเช่นนี้ในปี ค.ศ. 1915 Coca-Cola จึงได้ออกแบบขวดรูปทรงใหม่ ที่มีส่วนโค้งเว้า
มีลายแนวตั้งข้างขวดเป็นเอกลักษณ์ โดยลักษณะขวดดังกล่าว
ก็ได้ตกทอดและยังสามารถพบเห็นได้ในปัจจุบัน
หลังจากนั้นสงครามโลกก็เกิดขึ้น และน้ำตาลซึ่งเป็นส่วนผสมหลักถูกจำกัดการซื้อขาย เพื่อนำไปเป็นเสบียงให้กับกองทัพ ซึ่งเรื่องนี้ก็ได้ทำให้ปริมาณการผลิตของ Coca-Cola หายไปถึงครึ่งหนึ่ง
บริษัทจึงเจรจากับรัฐบาลให้สนับสนุน Coca-Cola แก่ทหารทุกนายในกองทัพในราคาขายปกติ ไม่ว่าจะมีต้นทุนส่วนเพิ่มใด ๆ ก็ตาม นั่นทำให้บริษัทได้รับข้อยกเว้นจากการจำกัดการใช้น้ำตาลและสามารถดำเนินกิจการต่อไปได้
และช่วงเวลานี้เองที่ Coca-Cola ได้กลายเป็นแบรนด์เครื่องดื่มที่รู้จักไปทั่วโลก
ซึ่งเรื่องราวเกิดจากการที่ Dwight D. Eisenhower ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาในขณะนั้น
ได้สอบถามถึงความต้องการของทหารในกองทัพว่ามีอะไรที่จะช่วยให้พวกเขามีขวัญกำลังใจและคลายเครียดได้บ้าง คำตอบที่ Eisenhower ได้รับคือ
- บุหรี่
- ลูกอม
- Coca-Cola
นั่นจึงทำให้ Coca-Cola ถูกร้องขอให้ไปตั้งโรงงานบรรจุขวดในต่างประเทศ
ทั้งในยุโรป อาเซียน และอีกหลาย ๆ พื้นที่ ที่กองทัพสหรัฐอเมริกาไปถึง และเมื่อสงครามจบลงโรงงานเหล่านั้นก็ยังคงดำเนินธุรกิจและกลายเป็นตัวแทนจำหน่ายของ Coca-Cola ในต่างแดนต่อไป..
ถึงแม้จะเป็นที่น่าเสียดาย ที่ Pemberton ผู้คิดค้นสูตรต้นตำรับของ Coca-Cola จะไม่มีโอกาสได้เห็นความยิ่งใหญ่ของสิ่งที่เขาได้สร้างขึ้นมากับมือ
แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าระหว่างทางตั้งแต่ Pemberton ไปจนถึง Joseph Whitehead และ Benjamin Thomas ผู้นำสิทธิ์ Coca-Cola ไปบรรจุขวด รวมไปถึงการเกิดขึ้นของสงครามโลกที่ทหารสหรัฐอเมริกานำเครื่องดื่มนี้ไปหลายประเทศทั่วโลก หากมีตรงไหนเพี้ยนไปจากสิ่งที่ได้เกิดขึ้น Coca-Cola ก็อาจจะไม่ได้ยิ่งใหญ่ขนาดนี้และเป็นเพียงยาแก้ปวดชนิดน้ำยี่ห้อหนึ่งก็เป็นได้..
ปิดท้ายด้วยข้อมูลที่น่าสนใจ
รู้หรือไม่ว่า Warren Buffett ยังคงกินขนมขบเคี้ยวและดื่ม Coca-Cola วันละประมาณ 5 กระป๋อง
เนื่องจากเขาเชื่อในสถิติที่ว่าเด็กอายุ 6 ขวบมีอัตราการเสียชีวิตน้อยที่สุด
เขาจึงกินในแบบที่เด็ก 6 ขวบ ชอบกิน และเขายังติดการกินอาหารรสเค็มอีกด้วย ซึ่งปัจจุบัน Warren Buffett มีอายุ 90 ปีแล้ว
เปิด 2 ข้อหาหนัก "ป้าแอน" แม่บ้านทคดีผสมเดทตอลในขวดนมเด็ก พบประวัติอาชญากรรมเมื่อปี 67
นรกแตกก่อนวันเซ็นสัญญา F16 ไทยบึ้มสะพาน คืนหมาหอน "ฮุนเซน" อกแตก แพ้หมดรูป จำยอมเซ็นสงบศึก
เจาะสเปก กริเพน ทําไมกองทัพไทยถึงเลือกใช้
"มัดหมี่ พิมดาว" แฉกลลวงสูญเงิน 8 ล้านบาท จากแรงศรัทธา
เขมรขอถก JBC ด่วน ยันไม่รับเส้นเขตแดน จากการใช้กำลังของไทย
บทเรียนราคาแพง 111 ล้าน เมื่อความเชื่อใจกลายเป็นช่องโหว่ให้คนสนิทฉกฉวย
จารกรรมพันธุ์พืชเปลี่ยนโลก ปฏิบัติการขโมย "ชา" จากแผ่นดินมังกรสู่อินเดีย
เมื่อจีนอยากทำหนัง The Shallows เป็นของตัวเอง จะเป็นยังไง
เบสท์ คำสิงห์ เปิดใจข่าวซุบซิบกับ บิ๊ก ผญบ.ฟินแลนด์
เปิดอายุแท้จริงของ น้องจินนี่ ลูกสาว คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ทำให้หลายคนเข้าใจผิด
แม่บ้านเดทตอลมหาภัยถูกจับกลางรายการ ยืนยันไม่ได้ตั้งใจวางยาเด็ก เข้าใจผิดคิดว่าเป็นนม พร้อมขอโทษผู้เสียหาย
รีวิวหนังดัง Fast & Furious 5 เร็ว แรง ทะลุนรก 5
นรกแตกก่อนวันเซ็นสัญญา F16 ไทยบึ้มสะพาน คืนหมาหอน "ฮุนเซน" อกแตก แพ้หมดรูป จำยอมเซ็นสงบศึก
Luxuriate อนุญาตให้ตัวเองมีความสุขแบบไม่ต้องรู้สึกผิด
ความหวังใหม่ ผู้ป่วยโรคหัวใจ ชายออสเตรเลียคนแรกของโลกที่ใช้หัวใจเทียมทั้งหมด
เมื่อจีนอยากทำหนัง The Shallows เป็นของตัวเอง จะเป็นยังไง



