เทรนด์การสร้างแบรนด์เซรั่ม OEM 2025-2026: เจาะลึกสูตรฮิต การตลาด และความรู้ที่เจ้าของแบรนด์ต้องรู้
ในยุคที่ตลาดสกินแคร์เติบโตอย่างรวดเร็ว การสร้างแบรนด์เซรั่ม OEM (Original Equipment Manufacturer) ได้กลายมาเป็นทางเลือกยอดนิยมของผู้ประกอบการรุ่นใหม่ เพราะไม่ต้องมีโรงงานเอง ลงทุนน้อยกว่า แถมยังสามารถเลือกสูตรที่ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายได้แบบมืออาชีพ ในบทความนี้เราจะพาไปเจาะลึกทุกประเด็นที่เจ้าของแบรนด์ควรรู้ พร้อมอัปเดตเทรนด์ล่าสุดในปี 2025-2026 เพื่อช่วยวางแผนสร้างแบรนด์เซรั่มให้โตไวแบบยั่งยืน
OEM เซรั่ม คืออะไร? ทำไมเจ้าของแบรนด์นิยมใช้?
การสร้างแบรนด์ด้วยบริการ โรงงานผลิตเซรั่ม แบบ OEM คือโมเดลธุรกิจที่เจ้าของแบรนด์จำนวนมากเลือกใช้ในปัจจุบัน โดยเฉพาะในช่วงปี 2025-2026 ที่การแข่งขันในตลาดเซรั่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ การใช้โรงงานที่เชี่ยวชาญช่วยให้เริ่มธุรกิจได้เร็ว มีทีมวิจัยและพัฒนาสูตร (R&D) รองรับ สามารถเลือกสูตรเฉพาะกลุ่มเป้าหมาย เช่น เซรั่มผิวขาวลดสิว เซรั่มสำหรับผิวแพ้ง่าย หรือเซรั่มลดริ้วรอย นอกจากการช่วยออกแบบสูตร โรงงาน OEM ยังช่วยดูแลเรื่องการขอจดทะเบียน อย. (ใบรับรองความปลอดภัยผลิตภัณฑ์) การออกแบบบรรจุภัณฑ์ (Packaging Design) ตลอดจนการวางแผนการผลิต (Production Planning) ให้ได้มาตรฐาน ISO 22716 หรือ GMP Cosmetic International ตามข้อกำหนดสากล โมเดล OEM ยังเหมาะสมกับผู้ที่ต้องการเริ่มต้นธุรกิจโดยไม่ต้องลงทุนซื้อเครื่องจักร ไม่ต้องเช่าพื้นที่โรงงาน หรือจ้างทีมผลิตของตัวเอง และที่สำคัญคือสามารถใช้เงินลงทุนเริ่มต้นเพียงหลักหมื่นบาทต่อรอบการผลิตเท่านั้น ทำให้เกิดแบรนด์ใหม่ๆ เข้าสู่ตลาดได้ตลอดทั้งปี หากคุณอยากศึกษาความรู้เบื้องต้นของการเริ่มทำแบรนด์ OEM อ่านต่อได้ที่: เจ้าของแบรนด์เซรั่มต้องรู้อะไรก่อนเริ่มผลิตกับโรงงาน OEM
เจ้าของแบรนด์ต้องรู้อะไรก่อนเริ่ม OEM เซรั่ม?
ก่อนเริ่มผลิตกับ โรงงานผลิตเซรั่ม OEM เจ้าของแบรนด์ควรมีข้อมูลสำคัญหลายประการเพื่อช่วยให้การพัฒนาแบรนด์เป็นไปอย่างราบรื่น
1. ศึกษากลุ่มเป้าหมายเชิงลึก
กลุ่มเป้าหมายจะเป็นตัวกำหนดสูตรเซรั่มและสารออกฤทธิ์ (Active Ingredients) ที่ควรใช้ เช่น
- กลุ่มผิวขาว หน้าใส ลดรอยสิว
- กลุ่มผิวมัน มีสิว
- กลุ่มผิวแพ้ง่าย
- กลุ่มต่อต้านริ้วรอย (Anti-aging)
2. วางงบประมาณการลงทุนเบื้องต้น
โดยทั่วไป โรงงานรับผลิตเซรั่มจะมี MOQ (Minimum Order Quantity) เริ่มต้นตั้งแต่ 100 ชิ้นขึ้นไป งบลงทุนจึงสามารถเริ่มตั้งแต่หลักหมื่นบาท
3. รู้จักกระบวนการผลิต OEM ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ
เช่น การขอใบเสนอราคา, การทดลองสูตร Pilot Batch, การตรวจวิเคราะห์คุณภาพ, การผลิตจริง และการตรวจสอบ QC ทุกล็อตผลิต
4. วิเคราะห์คู่แข่งและแนวโน้มตลาด
ศึกษาว่าสูตรแบบใดกำลังได้รับความนิยมในปี 2025-2026 เพื่อช่วยวาง Positioning ของแบรนด์ให้โดดเด่น
คุณสามารถดูคู่มือการวางแผนเบื้องต้นแบบละเอียดเพิ่มเติมได้ที่: คู่มือเริ่มผลิตเซรั่ม OEM
อัปเดตเทรนด์สูตรเซรั่มมาแรง ปี 2025-2026
ตลาดเซรั่ม OEM ในปี 2025-2026 เน้นไปที่สูตรที่ตอบโจทย์เฉพาะด้านและเน้น Active Ingredients ที่มีผลการวิจัยสนับสนุนจริง ซึ่งสามารถสรุปกลุ่มสูตรหลักๆ ดังนี้
กลุ่มผิวขาว ลดสิว กระจ่างใส (Brightening & Acne Care)
- Niacinamide 10%
- Tranexamic Acid 3%
- Alpha Arbutin
- Zinc PCA
- Vitamin C (Stable form)
กลุ่มผิวแพ้ง่าย (Sensitive Skin)
- Centella Asiatica (ใบบัวบก)
- Allantoin
- Ceramide NP Complex
- Panthenol
กลุ่มลดริ้วรอย (Anti-aging)
- Peptide complex (Generation ใหม่)
- Growth Factor (EGF, FGF)
- Bakuchiol (Retinol plant-based)
สูตรผลัดเซลล์ผิว (Exfoliation & Renewal)
- AHA 10% (Glycolic + Lactic Acid)
- BHA (Salicylic Acid)
- PHA
เทคโนโลยีใหม่ Encapsulation
ช่วยรักษาความเสถียรของสารสำคัญให้ออกฤทธิ์ได้นานและลดการระคายเคือง
หากต้องการเข้าใจรายละเอียดของสาร AHA BHA สามารถอ่านเพิ่มได้ที่: AHA BHA คืออะไร? เข้าใจก่อนสั่งผลิตเซรั่ม OEM
AHA เซรั่มช่วยอะไร? ทำไม OEM ใช้กันเยอะ?
หนึ่งในกลุ่มสูตรยอดนิยมที่หลายแบรนด์เลือกใช้ผลิตเซรั่ม OEM คือ เซรั่มผลัดเซลล์ผิวด้วย AHA BHA เพราะตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าที่ต้องการแก้ปัญหารอยดำ รอยสิว ผิวหมองคล้ำ และช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิวใหม่อย่างอ่อนโยน AHA (Alpha Hydroxy Acids) ที่นิยมใช้ใน OEM ได้แก่ Glycolic Acid และ Lactic Acid ซึ่งมีโมเลกุลขนาดเล็ก ช่วยผลัดผิวชั้นบน กระตุ้นคอลลาเจน และลดความหยาบกร้าน ขณะที่ BHA (Beta Hydroxy Acid) ช่วยลดความมันส่วนเกิน ลดการอุดตันรูขุมขน และลดสิว โรงงานที่เชี่ยวชาญด้าน OEM สามารถออกแบบความเข้มข้น AHA BHA ให้เหมาะสมกับแต่ละกลุ่มเป้าหมาย เช่น สูตรสำหรับผิวแพ้ง่ายที่ใช้ AHA ไม่เกิน 5% ร่วมกับ Ceramide และ Panthenol เพื่อช่วยลดการระคายเคือง อ่านบทความเสริมเชิงลึก: AHA BHA OEM Serum คืออะไร?
QC คืออะไร? สำคัญยังไงกับโรงงาน OEM?
Quality Control (QC) ถือเป็นหัวใจสำคัญที่สุดของระบบโรงงาน OEM เซรั่ม เพราะเป็นด่านตรวจสอบคุณภาพก่อนส่งมอบสินค้าแต่ละล็อต QC ครอบคลุมทั้งการตรวจสอบวัตถุดิบ (Raw Material Inspection), ตรวจสูตรผสม (Formula Batch Checking), การเก็บตัวอย่าง (Retention Sample) และการตรวจคุณภาพหลังบรรจุภัณฑ์ (Finished Product QC) โรงงานที่มีมาตรฐานการผลิตเซรั่ม OEM สูงจะมีการใช้เครื่องมือทดสอบเสถียรภาพของสูตร (Stability Test), การวิเคราะห์ค่า pH, ความเข้มข้นของ Active Ingredient, รวมถึงระบบ QA (Quality Assurance) ที่ตรวจสอบเอกสารย้อนหลังได้ทุกล็อตผลิต
อ่านเสริมระบบ QC ในโรงงาน OEM ได้ที่นี่: QA คืออะไร? ระบบควบคุมคุณภาพโรงงานผลิตเซรั่ม
เทคโนโลยีโรงงาน OEM เซรั่มในปี 2025
ในปี 2025 โรงงาน OEM ต้องเร่งอัปเดตเทคโนโลยีการผลิตเพื่อรองรับความต้องการของตลาดที่สูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็น
- ระบบ R&D Co-Development ที่เจ้าของแบรนด์ร่วมพัฒนาสูตรกับทีมนักวิจัย
- การผลิตแบบ Pilot Batch เพื่อทดสอบความเสถียรของสูตรก่อนขึ้นไลน์ผลิตจริง
- ระบบ Traceability เพื่อให้ตรวจสอบย้อนกลับได้ทุกล็อตการผลิต
- การใช้ AI และ Machine Learning เข้ามาช่วยวิเคราะห์พฤติกรรมผิวของกลุ่มเป้าหมายแต่ละประเภท เพื่อออกแบบสูตร Personalization ได้แม่นยำมากขึ้น
การตลาดแบรนด์เซรั่ม OEM ยุคใหม่
ในยุคนี้เจ้าของแบรนด์เซรั่ม OEM ไม่สามารถพึ่งการวางขายสินค้าอย่างเดียวได้อีกต่อไป แต่ต้องใช้ การตลาดดิจิทัลและคอนเทนต์ SEO เป็นแกนหลักตั้งแต่วันเริ่มต้น
- Influencer Marketing โดยเฉพาะกลุ่ม Micro-Influencer กำลังให้ผลตอบรับดีที่สุด
- การทำ SEO Content ตั้งแต่ช่วง R&D เพื่อวาง Authority ก่อนเปิดตัวสินค้า
- การขายผ่าน TikTok Shop, Shopee, Lazada ไปจนถึง Amazon Global
- การสร้างแบรนด์ผ่าน Live Commerce ที่ช่วยเร่งยอดขายล็อตแรกอย่างรวดเร็ว
ทั้งหมดนี้ทำให้โรงงาน OEM ที่ดีในปี 2025 ต้องมีทีม Consult Marketing เสริมควบคู่ไปกับการพัฒนาสูตร
ข้อดีของการเริ่มต้นกับโรงงานรับผลิตเซรั่ม
สรุปข้อดีของการเริ่มต้นแบรนด์เซรั่ม OEM ในปัจจุบัน
- ไม่ต้องมีโรงงานเอง ลงทุนต่ำ
- มีทีมพัฒนาสูตรรองรับทุกกลุ่มเป้าหมาย
- ขั้นตอนขอจดทะเบียน อย. สำเร็จพร้อมผลิตจริง
- เริ่มต้นผลิตจำนวนน้อยเพื่อทดลองตลาด
- มีทีม Consult การตลาด และแนวโน้มเทรนด์ล่าสุดช่วยวางแผน
สรุป
การเริ่มต้นสร้างแบรนด์เซรั่ม OEM ในปี 2025-2026 เป็นโอกาสทองของเจ้าของแบรนด์ใหม่ ด้วยความพร้อมของโรงงานที่มีระบบครบวงจรตั้งแต่สูตรไปจนถึงการตลาด หากวางแผนถูกต้องตั้งแต่ต้น ก็สามารถเข้าสู่ตลาดความงามได้อย่างแข็งแกร่ง และยืนระยะได้ในระยะยาว














