สรุปข้อคิดจากหนังสือ 15 INVALUABLE LAWS OF GROWTH โดย JOHN C. MAXWELL
นำกฎแห่งความตั้งใจไปใช้ในชีวิต
- ช่องว่างใดที่ทำให้คุณละเลยการพัฒนาตัวเอง
□ ช่องว่างแห่งการที่ทึกทักเอาเอง — “ฉันคิดว่าตัวเองจะพัฒนาขึ้นโดยอัตโนมัติ”
□ ช่องว่างแห่งความรู้ — “ฉันไม่รู้ว่าจะพัฒนาตัวเองอย่างไร”
□ ช่องว่างแห่งจังหวะเวลา — “ยังไม่ถึงเวลาที่เหมาะสม”
□ ช่องว่างแห่งความผิดพลาด — “ฉันกลัวทำพลาด”
□ ช่องว่างแห่งความสมบูรณ์แบบ — “ฉันต้องหาวิธีที่ดีที่สุดให้เจอก่อนจึงจะเริ่มลงมือทำ”
□ ช่องว่างแห่งแรงบันดาลใจ — “ยังไม่อยากทำเลย”
□ ช่องว่างแห่งการเปรียบเทียบ — “คนอื่นเก่งกว่าฉัน”
□ ช่องว่างแห่งความคาดหวัง — “นึกว่าจะง่ายกว่านี้ซะอีก”
เมื่อเข้าใจเรื่องช่องว่างต่าง ๆ แล้ว ลองพิจารณาดูว่าคุณจะสร้างกลยุทธ์ใดเพื่ออุดช่องว่างเหล่านั้น เขียนแผนการสำหรับช่องว่างที่คุณเลือกเอาไว้อย่างละเอียด แล้วทำตามขั้นตอนแผนการดังกล่าวตั้งแต่วันนี้
- คนส่วนใหญ่ประเมินผลกระทบของเรื่องที่ไม่สำคัญในชีวิตต่ำเกินไป สิ่งเหล่านี้ทำให้พวกเขาออกนอกลู่นอกทางเรื่องสำคัญและผัดผ่อนการพัฒนาตัวเองออกไปก่อน การพัฒนาของคนเหล่านี้มักเกิดขึ้นโดยบังเอิญ"
"มากกว่าตั้งใจ ลองดูตารางเวลาของคุณในอีกหนึ่งปีข้างหน้าว่าคุณกำหนดเวลาสำหรับพัฒนาตัวเองเอาไว้มากแค่ไหน ถ้าคุณเป็นเหมือนคนส่วนใหญ่ คำตอบของคุณน่าจะเป็น \"ไม่มีเลยสักวัน\" หรือถ้าคุณมีแผนที่จะเข้าร่วมกิจกรรมพัฒนาตัวเองหนึ่งครั้งในปีหน้า นั่นก็ยังไม่เพียงพอเช่นกัน คุณต้องจัดตารางเวลาของตัวเองใหม่ให้มีเวลาสำหรับการพัฒนาตัวเอง 5 วันต่อสัปดาห์ตลอดทั้งปี คุณอาจคิดว่าอะไรนะ ฉันไม่มีเวลามากขนาดนั้นสักหน่อย! คุณอาจไม่มีเวลาจริง ๆ แต่ผมก็อยากให้คุณพยายามทำอยู่ดี ถ้าอยากประสบความสำเร็จ คุณต้องทำทุกวิถีทางไม่ว่าจะตื่นเร็วขึ้นและเข้านอนดึกกว่าเดิมสักหนึ่งชั่วโมง ไม่กินมื้อกลางวัน หรือเฉลี่ยเวลาพักผ่อนในวันหยุดสุดสัปดาห์เพื่อพัฒนาตัวเอง ไม่อย่างนั้นก็เตรียมตัวทิ้งความฝันและความหวังที่จะบรรลุศักยภาพของตัวเองไปได้เลย
- เริ่มตอนนี้เลยครับ ไม่ว่าคุณจะกำลังอ่านหนังสือเล่มนี้ตอนกี่โมง จงมุ่งมั่นที่จะเริ่มพัฒนาตัวเองตั้งแต่วันนี้ คืนนี้เข้านอนให้ดึกกว่าเดิมสักหนึ่งชั่วโมง ละเวลาสักช่วงหนึ่งในวันนี้และในอีก 5 วันข้างหน้าเพื่อพัฒนาตัวเอง คุณอาจรู้สึกไม่อยากทำสักเท่าไหร่ แต่คุณควรทำทั้งที่ไม่อยากทำมันแหละครับ"
นำกฎแห่งการตระหนักรู้ไปใช้ในชีวิต
คำถามทั้งหมดในบทนี้ถูกออกแบบมาเพื่อทำให้คุณรู้จักตัวเองและเดินไปบนเส้นทางที่ถูกกำหนดมาให้คุณ ส่วนคำถามต่อไปนี้คือคำถามที่ถูกปรับ
ให้กระชับขึ้น ลองใช้เวลาพิจารณาให้ถี่ถ้วนว่าจะตอบคำถามเหล่านี้อย่างไร หลังจากนั้นคุณจะได้มีแผนการในการลงมือทำ
- คุณอยากทำอะไร
- คุณมีพรสวรรค์ ทักษะ และโอกาสอะไรบ้างที่ช่วยส่งเสริมให้คุณทำสิ่งที่อยากทำ
- แรงจูงใจของคุณในการทำสิ่งนั้นคืออะไร
- มีขั้นตอนอะไรบ้างที่คุณต้องทำ (ตั้งแต่วันนี้) เพื่อเริ่มทำสิ่งที่คุณอยากทํา
- การตระหนักรู้ / การลงมือทํา / การมีสำนึกรับผิดชอบ
- คุณสามารถขอคำแนะนำจากใครได้บ้างที่จะช่วยเหลือคุณระหว่างทางไปสู่จุดหมาย
- คุณยอมจ่ายให้กับการพัฒนาตัวเองมากแค่ไหน ทั้งในแง่ของเวลา ทรัพยากร และสิ่งที่ต้องเสียสละ
- คุณต้องพัฒนาจุดไหนมากที่สุด (คุณต้องมุ่งเน้นไปที่จุดแข็งและเอาชนะจุดอ่อนที่ฉุดรั้งไม่ให้คุณไปถึงจุดหมาย)
นำกฎแห่งกระจกเงาไปใช้ในชีวิต
- เขียนรายการคุณลักษณะที่ดีที่สุดของคุณออกมาให้หมด ถ้าคุณเห็นคุณค่าในตัวเองอยู่แล้ว นี่ก็ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ถ้าคุณไม่เห็นคุณค่าในตัวเองนัก การนึกถึงคุณลักษณะที่ดีที่สุดของตัวเองอาจเป็นเรื่องยากไม่น้อย แต่อย่ายอมแพ้ครับ คุณจะใช้เวลาหลายวันหรือหลายสัปดาห์ก็ได้ แต่อย่าล้มเลิกจนกว่าคุณจะเขียนข้อดีของตัวเองได้ครบ 100 ข้อ
ถ้าใช้เวลาเขียนรายการนี้ค่อนข้างนาน คุณจำเป็นต้องอ่านทวนสิ่งที่คุณเขียนไปแล้วในทุก ๆ วันเพื่อย้ำเตือนคุณค่าของตัวเอง อย่าลืมว่าถ้าคุณไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง การเพิ่มคุณค่าให้ตัวเองจะกลายเป็นเรื่องยาก เมื่อคุณเขียนรายการคุณลักษณะที่ดีที่สุดของตัวเองเรียบร้อยแล้ว จงเลือกคำหนึ่งคำที่อธิบายตัวคุณได้ดีที่สุด แล้วใช้คำนั้นเป็นดั่งดาวเหนือที่คอยนำทางขณะที่คุณเดินไปบนเส้นทางแห่งการเพิ่มคุณค่าให้ตัวเอง
- แทบไม่มีสิ่งไหนมีอิทธิพลต่อการเห็นคุณค่าในตัวเองได้เท่าวิธีที่คุณพูดกับตัวเองในแต่ละวัน คุณตระหนักถึงสิ่งที่คุณพูดกับตัวเองหรือเปล่า ลองนับดูว่าคุณคิดเกี่ยวกับตัวเองในเชิงบวกและเชิงลบกี่ครั้ง โดยบันทึกลงในสมาร์ตโฟนหรือกระดาษแผ่นเล็ก ๆ คุณยังสามารถถามความคิดเห็นจากเพื่อนสนิทหรือคนในครอบครัวได้ว่าคุณมองตัวเองในแง่ดีหรือร้าย
- ถ้าคุณอยากรู้สึกมีคุณค่า จงเพิ่มคุณค่าให้คนอื่น ในแต่ละวันและแต่ละสัปดาห์คุณใช้เวลาไปกับการใส่ใจและเพิ่มคุณค่าให้คนอื่นมากบ้างหรือไม่
คุณได้ช่วยเหลือคนอื่นผ่านการเป็นอาสาสมัครหรือการให้คำปรึกษาแค่ไหน แล้วคุณเคยยื่นมือช่วยเหลือคนที่ด้อยโอกาสกว่าคุณไหม ถ้าคุณยังไม่ได้ทำ จงหาทางช่วยเหลือและเพิ่มคุณค่าให้คนอื่นเป็นประจำทุกสัปดาห์ เมื่อใช้จุดแข็งของตัวเองเพื่อทำประโยชน์แก่คนอื่น คุณก็จะรู้สึกดีกับตัวเอง ลองเริ่มจากเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ดูก็ได้ครับ แต่ถ้าคุณช่วยเหลือคนอื่นอยู่แล้วก็ให้ทำเพิ่มขึ้น กฎง่าย ๆ คือใช้เวลา 1 ใน 10 ของตัวเองเพื่อช่วยเหลือและเพิ่มคุณค่าให้คนอื่น เช่น ถ้าคุณทำงาน 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ให้สละเวลา 4 ชั่วโมงมาช่วยเหลือคนอื่น
"นำกฎแห่งการทบทวนไปใช้ในชีวิต
- คุณได้สร้างสถานที่ที่คุณสามารถหยุดพักและคิดทบทวนได้อย่างมีประสิทธิภาพเป็นประจำหรือยัง ถ้ายัง ก็ให้เริ่มลงมือทันที ก่อนอื่นให้พิจารณาว่าสภาพแวดล้อมแบบไหนที่เหมาะกับคุณ ตลอดหลายปีที่ผ่านมาสถานที่ที่ผมใช้สำหรับการหยุดพักและคิดทบทวนมีตั้งแต่โซฟาหินกลางแจ้ง ห้องเล็ก ๆ ที่ไม่มีใครมารบกวน ไปจนถึงเก้าอี้พิเศษในห้องทำงานของผม ลองค้นหาว่าสถานที่แบบไหนที่เหมาะกับคุณและใช้สถานที่นั้นไปเรื่อย ๆ ตราบเท่าที่มันยังใช้ได้ผล
- กำหนดเวลาสำหรับการหยุดพักและคิดทบทวน ไม่อย่างนั้นคุณก็จะตัดมันออกจากรายการสิ่งที่ต้องทำอยู่เรื่อยไป ตามหลักการแล้ว คุณควรมีเวลาสำหรับหยุดพักและคิดทบทวนทั้งแบบประจำวัน (เป็นเวลาสั้น ๆ 10-30 นาที) ประจำสัปดาห์ (อย่างน้อย 1-2 ชั่วโมง) ประจำไตรมาส (สักครึ่งวัน) และประจำปี (น้อยที่สุด 1 วันและมากที่สุด 1 สัปดาห์) เขียนช่วงเวลาคิดทบทวนเหล่านี้ลงในตารางเวลาและให้ความสำคัญกับมันเช่นเดียวกับนัดหมายสำคัญอื่น ๆ
- เฮนรี อาร์นีค นักวิชาการผู้กล่าวว่า \"คนฉลาดจะตั้งคำถามกับตัวเอง ส่วนคนโง่จะตั้งคำถามกับผู้อื่น\" กฎแห่งการทบทวนแทบจะไม่มีประโยชน์อะไรเลยหากคุณไม่คิดทบทวนอย่างตั้งใจ ดังนั้นคุณต้องบังคับให้ตัวเองตั้งใจคิดทบทวนอย่างมาก ๆ กับตัวเอง ตอนนี้คุณจำเป็นต้องพัฒนาวิธีสติปัญญาในเวลาที่สุด ใช้การจัดการตัวเองหรือเปล่า คุณมีปัญหาที่ดูเหมือนว่าจะรับมือไม่ได้ไหม"
"การงานของคุณมาถึงจุดอิ่มตัวแล้วหรือไม่ คุณกำลังล้มเหลวในความสัมพันธ์ที่มีค่าที่สุดในชีวิตหรือเปล่า คุณต้องพิจารณาและทบทวนจุดมุ่งหมายของตัวเองอีกครั้งไหม คุณต้องประเมินสิ่งที่ควรทำในชีวิตครึ่งหลังหรือเปล่า
ไม่ว่าปัญหาของคุณคืออะไร จงตั้งคำถามจากปัญหานั้นและเขียนคำตอบออกมาระหว่างคิดทบทวน"
นำกฎแห่งความสม่ำเสมอไปใช้ในชีวิต
- จงสร้างแรงจูงใจให้สอดคล้องกับบุคลิกภาพของคุณ คุณสามารถใช้แบบทดสอบบุคลิกภาพใดก็ได้ที่คุณต้องการ (ถ้าคุณยังไม่เคยทำแบบทดสอบบุคลิกภาพมาก่อน ลองทำดูครับ เช่น แบบทดสอบบุคลิกภาพของไมเออร์ส-บริกส์ (METI) แบบทดสอบบุคลิกภาพดีไอเอสซี DISC) และแบบทดสอบบุคลิกภาพเชิงบวก (Personality Plus) เมื่อคุณเข้าใจบุคลิกภาพของตัวเองแล้ว ให้วางแผนพัฒนาตัวเองที่ทำได้ง่ายในทุก ๆ วันและสอดคล้องกับจุดแข็งของคุณ คุณจะได้มีแรงจูงใจทำต่อไปเรื่อย ๆ
- การทำบางสิ่งอย่างสม่ำเสมอจะเป็นเรื่องยากหากคุณยังไม่เห็นคุณค่าและความสำคัญของกระบวนการ ดังนั้น จงเขียนรายการสิ่งที่คุณชอบเกี่ยวกับการพัฒนาตัวเอง ถ้ารายการของคุณสั้นมาก ให้พยายามคิดอย่างจริงจัง แรงจูงใจใดก็ตามที่คุณพบจะช่วยสร้างนิสัยในการพัฒนาตัวเองที่ดีขึ้น
- ยิ่งมีเหตุผลในการพัฒนาตัวเองทุก ๆ วันมากเท่าไหร่ คุณก็ยิ่งมีโอกาสทำสำเร็จมากเท่านั้น จงค้นหาเหตุผลเหล่านั้น ซึ่งเชื่อมโยงกับค่านิยม ความฝัน และจุดมุ่งหมายของคุณ คำนึงถึงผลตอบแทนที่คุณจะได้รับทั้งในทันทีและในระยะยาว ลองนึกดูว่าการพัฒนาตัวเองจะช่วยคุณในด้านความสัมพันธ์ อาชีพการงาน และจิตวิญญาณได้อย่างไร ไม่ว่าเหตุผลในการพัฒนาตัวเองจะเป็นอะไร มันก็เป็นเหตุผลที่ดีตราบใดที่มันเป็นเหตุผลของคุณเอง
นำกฎแห่งสภาพแวดล้อมไปใช้ในชีวิต
- ประเมินสภาพแวดล้อมปัจจุบันของคุณในแง่ของการพัฒนาตัวเอง โดยพิจารณาว่าสภาพแวดล้อมดังกล่าวตรงกับข้อความ 10 ข้อต่อไปนี้หรือไม่
1) คนอื่น ๆ ต้องนำหน้าฉัน
2) ฉันต้องเผชิญความท้าทายอย่างต่อเนื่อง
3) ฉันต้องมุ่งความสนใจไปข้างหน้า
4) บรรยากาศต้องสร้างเสริมกำลังใจ
5) ฉันได้ก้าวออกจากคอมฟอร์ตโซนบ่อย ๆ
6) ฉันตื่นเช้ามาด้วยความตื่นเต้น
7) ความล้มเหลวไม่ใช่ศัตรู
8) คนรอบข้างกำลังพัฒนา
9) ผู้คนปรารถนาที่จะเปลี่ยนแปลง
10) การเติบโตเป็นสิ่งที่ทุกคนคาดหวังและยึดถือ
ถ้าคุณตอบว่า “ไม่” มากกว่า 5 ข้อ นั่นแสดงว่าสภาพแวดล้อมในตอนนี้อาจขัดขวางการพัฒนาของคุณอยู่ ถ้าต้องการบรรลุศักยภาพของตัวเอง คุณต้องทบทวนให้ดีว่าคุณจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงหรือปรับปรุงสภาพแวดล้อมหรือไม่
- ประเมินความต้องการในการพัฒนาตัวเองโดยพิจารณาจาก 3 ปัจจัยหลักๆต่อไปนี้
ดินที่เหมาะแก่การงอกเงย : สิ่งใดที่ช่วยหล่อเลี้ยงจิตใจฉัน— การพัฒนาตัวเอง
ใช้รายการต่อไปนี้หรือสร้างรายการของคุณขึ้นมาเองเพื่อประเมินว่ามีสิ่งใดที่ช่วยหล่อเลี้ยงจิตใจของคุณบ้าง
ดนตรี - เพลงอะไรที่ช่วยชุบชูจิตใจฉัน
แนวคิด - แนวคิดอะไรที่มีคุณค่าสำหรับฉัน
ประสบการณ์ - ประสบการณ์ใดที่ทำให้ฉันรู้สึกมีชีวิตชีวา
เพื่อนฝูง - ใครที่ช่วยผลักดันฉัน
งานอดิเรก - กิจกรรมยามว่างใดที่ช่วยเติมพลังให้ฉัน
จิตวิญญาณ - การฝึกฝนด้านจิตวิญญาณใดที่ช่วยให้ฉันแข็งแกร่งขึ้น
ความหวัง - ความฝันอะไรที่จุดประกายแรงบันดาลใจของฉัน
บ้าน - สมาชิกในครอบครัวคนไหนที่ห่วงใยฉัน
พรสวรรค์ - ความสามารถใดที่ทำให้ฉันรู้สึกกระตือรือร้น
- ความทรงจำ - ความทรงจำใดที่ทำให้ฉันยิ้มได้
- หนังสือ - หนังสือเล่มใดที่เปลี่ยนแปลงฉัน
อากาศที่เหมาะแก่การหายใจ : สิ่งใดที่ช่วยให้ฉันดำรงอยู่ได้— จุดมุ่งหมาย
ทบทวนคำตอบของคุณในแบบฝึกหัดท้ายบทที่ 2 และบทที่ 5 จากนั้นนำคำตอบของคุณมาสร้างจุดมุ่งหมายของชีวิต ไม่ต้องคาดหวังให้มันสมบูรณ์แบบหรือเหมือนเดิมไปตลอด จุดมุ่งหมายอาจพัฒนาและเปลี่ยนแปลงไปพร้อมกับคุณ แต่มันจะช่วยให้ทิศทางในปัจจุบันของคุณชัดเจนขึ้น
ภูมิอากาศที่เหมาะแก่การอยู่อาศัย : สิ่งใดที่ช่วยค้ำจุนฉัน — ผู้คน
เขียนรายชื่อผู้คนที่ส่งอิทธิพลต่อชีวิตคุณมากที่สุดในตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนฝูง ครอบครัว เพื่อนร่วมงาน เจ้านาย หรือผู้ให้คำปรึกษา ดูให้แน่ใจว่าคุณเขียนชื่อทุกคนที่คุณใช้เวลาด้วยบ่อย ๆ ครบถ้วน จากนั้นให้ตรวจสอบว่ามีใครบ้างที่ “เก่งกว่า” คุณ ไม่ว่าคนคนนั้นจะมีทักษะหรือพรสวรรค์ที่เหนือกว่า ก้าวหน้าในอาชีพการงานมากกว่า มีบุคลิกภาพที่
แข็งแกร่งกว่า หรือมีคุณลักษณะสำคัญอื่น ๆ ที่ดีกว่า ถ้าคนส่วนใหญ่ในรายการนั้นไม่ได้ช่วยขยายขอบเขตความรู้ความสามารถของคุณ คุณก็จำเป็นต้องทำความรู้จักผู้คนใหม่ ๆ ที่ช่วยให้คุณเปลี่ยนแปลงและพัฒนาตัวเองได้
- การพัฒนาครั้งใหญ่จะไม่เกิดขึ้นในชีวิตของคุณ ถ้าสภาพแวดล้อมที่คุณอยู่ไม่มีความท้าทายให้เผชิญอย่างต่อเนื่อง ลองตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนซึ่งเกินขอบเขตความสามารถของคุณ นอกจากนี้ จงตรวจสอบตารางเวลาเดือนถัดไปของคุณเพื่อหาโอกาสที่เหมาะที่สุดในการพัฒนาตัวเองทุกสัปดาห์ และวางแผนทำสิ่งนั้นโดยถามคำถามที่คล้ายกับคำถามต่าง ๆ ที่ผมพูดถึงในบทนี้
นำกฎแห่งการออกแบบไปใช้ในชีวิต
- จงประเมินว่าคุณใช้เวลาไปกับการวางกลยุทธ์ให้ด้านใดของชีวิตมากที่สุด ต่อไปนี้คือรายการด้านต่าง ๆ ของชีวิตที่จะช่วยให้คุณลองพิจารณา คุณยังสามารถเพิ่มด้านอื่น ๆ ได้ตามต้องการ อาชีพ ความเชื่อทางศาสนา ครอบครัว สุขภาพ งานอดิเรก ชีวิตแต่งงาน การพัฒนาตัวเอง การหยุดพักร้อน
ลองถามตัวเองดูว่าคุณได้ออกแบบกลยุทธ์และระบบสำหรับการพัฒนาตัวเองแล้วหรือยัง ถ้ายัง ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น และถ้าทำแล้ว คุณให้ความสำคัญกับด้านใดของชีวิตมากที่สุด พฤติกรรมที่ผ่านมาของคุณสอดคล้องกับสิ่งที่คุณให้ความสำคัญหรือไม่ แล้วคุณอยากให้สิ่งเหล่านั้นเป็นอย่างไร
- สร้าง (หรือปรับปรุง) ระบบของคุณในแบบที่มันจะช่วยให้คุณใช้เวลาให้เกิดประโยชน์สูงสุดและมีประสิทธิภาพมากขึ้น พิจารณาว่ามีด้านใดของชีวิตบ้างที่คุณอยากพัฒนา กำลังประสบปัญหา หรือกำลังมีโอกาสดี ๆ เข้ามา ลองออกแบบระบบเพื่อพัฒนาแต่ละด้าน และอย่าลืมคำนึงถึงสิ่งสำคัญต่อไปนี้ในระหว่างออกแบบภาพรวม – ระบบนี้ช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายในภาพรวมได้หรือไม่ ลำดับความสำคัญ - ระบบนี้สอดคล้องกับสิ่งที่คุณให้ความสำคัญและมุ่งมั่นทุ่มเทหรือไม่
การวัดผล – ระบบนี้มีตัวชี้วัดความสำเร็จที่เป็นรูปธรรมหรือไม่
การใช้งานจริง – ระบบนี้มุ่งเน้นการลงมือทำหรือไม่
ความเป็นระเบียบ – ระบบนี้ช่วยให้คุณใช้เวลาให้เกิดประโยชน์มากกว่าเดิมหรือไม่
ความสม่ำเสมอ - คุณสามารถนำระบบนี้ไปใช้ซ้ำได้อย่างง่ายดายเป็นประจําหรือไม่ อย่าลังเลที่จะปรับปรุงระบบที่คุณสร้างขึ้นมาหรือทิ้งระบบที่ใช้การได้ไม่ดี คุณอาจต้องลองใช้ระบบที่สร้างขึ้นใหม่อย่างน้อย 3 สัปดาห์ (นี่คือระยะเวลาปกติที่จําเป็นต่อการสร้างนิสัยเชิงบวก) ก่อนประเมินว่ามันใช้การได้ดีหรือไม่
- ผู้คนมากมายสร้างกลยุทธ์สำหรับการพัฒนาตัวเองซับซ้อนเกินไป ระบบที่คุณสร้างขึ้นควรเรียบง่ายและตรงไปตรงมา ลองทดสอบกลยุทธ์ของคุณด้วยการอธิบายให้เพื่อนฟังและดูว่ามันผ่านบททดสอบสองข้อนี้หรือไม่ ข้อแรก คุณสามารถอธิบายมันได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้งหรือไม่ ถ้าไม่ได้ นั่นแสดงว่ามันอาจซับซ้อนเกินไป ข้อสอง ดูว่าเพื่อนของคุณมีวิธีที่ดีกว่าหรือง่ายกว่าในการบรรลุเป้าหมายเดียวกันหรือเปล่า
นำกฎแห่งความเจ็บปวดไปใช้ในชีวิต
- ประเมินทัศนคติที่คุณมีต่อประสบการณ์เลวร้ายที่ผ่านมา จากนั้นพิจารณาจากประสบการณ์ส่วนตัวว่าข้อใดต่อไปนี้อธิบายวิธีที่คุณรับมือกับความล้มเหลว โศกนาฏกรรม ปัญหา และความท้าทายที่สร้างความเจ็บปวดได้ดีที่สุด
ฉันพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อหลีกเลี่ยงความเจ็บปวด
ฉันรู้ว่าความเจ็บปวดเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ฉันพยายามไม่สนใจหรือปิดกั้นมันไว้
ฉันรู้ว่าทุกคนต่างเผชิญกับความเจ็บปวด ถ้าถึงคราวที่ต้องเผชิญ ฉันก็ต้องอดทนให้ได้เช่นกัน
ฉันไม่ชอบความเจ็บปวด แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็พยายามคิดบวก
ฉันทำความเข้าใจอารมณ์ที่เกิดขึ้นจากประสบการณ์เลวร้ายอย่างรวดเร็วและพยายามมองหาบทเรียนจากมัน
ฉันทำความเข้าใจความเจ็บปวด มองหาบทเรียนและกระตือรือร้นที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลง
ไม่ว่าคำตอบของคุณจะเป็นแบบใด คุณควรก้าวจากจุดเดิมที่คุณอยู่ไปสู่จุดที่สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกจากประสบการณ์เลวร้ายได้
- ที่ผ่านมาคุณเคยใช้ประสบการณ์แย่ ๆ เป็นโอกาสในการใช้ความคิดสร้างสรรค์หรือไม่ ถ้ายังไม่เคย ลองใช้ความยากลำบากที่คุณเผชิญอยู่ผลักดันให้ตัวเองคิดสร้างสรรค์มากขึ้นโดยทำตามขั้นตอนต่อไปนี้ระบุปัญหาที่เกิดขึ้น ทำความเข้าใจอารมณ์ของตัวเอง ถอดบทเรียน ระบุความเปลี่ยนแปลงที่ต้องการ คิดหาวิธีแก้ปัญหาที่หลากหลาย รับฟังความคิดเห็นจากผู้อื่น ลงมือทำ จำไว้ว่าถ้าทำเหมือนเดิม คุณก็จะได้ผลลัพธ์แบบเดิม ๆ แต่ถ้าอยากไปยังจุดหมายใหม่ คุณก็ต้องออกเดินบนเส้นทางใหม่
- ต่อให้คุณจะเข้าใจบทเรียนลึกซึ้งแค่ไหน หากคุณไม่ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงโดยอาศัยบทเรียนที่ได้รับ มันก็ไร้ความหมาย การพัฒนาตัวเองต้องอาศัยการลงมือทำ! ลองนึกถึงประสบการณ์เลวร้าย 5 ครั้งล่าสุดในชีวิต เขียนรายละเอียดของแต่ละประสบการณ์พร้อมบทเรียนที่คุณได้รับจากประสบการณ์นั้น (ถ้ามี) จากนั้นประเมินว่าคุณได้ตัดสินใจสร้างความเปลี่ยนแปลงโดยอาศัยบทเรียนนั้นหรือไม่ และสร้างความเปลี่ยนแปลงในชีวิตได้ดีแค่ไหน เมื่อประเมินประสบการณ์เลวร้ายแต่ละครั้งแล้ว ลองให้เกรดตัวเองโดยไล่ตั้งแต่เกรด A-F ว่าคุณรับมือกับประสบการณ์เหล่านั้นได้ดีเท่าไหร่ ถ้าคุณยังไม่ใช่นักเรียนเกรด A หรือ B จงใช้ขั้นตอนจากข้อ 2 เพื่อฝึกรับมือกับปัญหาให้ดีขึ้น
นำกฎแห่งขั้นบันไดไปใช้ในชีวิต
- จงประเมินว่าในชีวิตที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้ คุณให้ความสำคัญกับเรื่องใดมากที่สุดระหว่างการพัฒนาตัวตนภายในหรือภาพลักษณ์ภายนอก ดูจากการใช้เงินในหนึ่งปีที่ผ่านมาก็ได้ครับ คุณใช้จ่ายไปกับอะไรมากกว่ากันระหว่างเสื้อผ้า เครื่องประดับ และข้าวของเครื่องใช้ หรือหนังสือและค่าเข้าร่วมงานสัมมนา ลองพิจารณาดูว่าเดือนที่ผ่านมาคุณใช้เวลาอย่างไร คุณทุ่มเทเวลาไปกับการทำกิจกรรมที่ช่วยพัฒนาตัวเองและจิตวิญญาณหรือทุ่มเทเวลาไปกับการทำกิจกรรมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับภาพลักษณ์ภายนอก หากคุณออกกำลังกายเป็นประจำ ให้พิจารณาว่าจุดมุ่งหมายของคุณคืออะไร มันอยู่ที่การรักษาสุขภาพหรือการดูดี
หากผลลัพธ์ชี้ว่าคุณให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์ภายนอกมากกว่าตัวตนภายใน จงเปลี่ยนจุดสนใจของคุณด้วยการลงทุนเวลา เงิน และความใส่ใจไปกับสิ่งที่จะช่วยให้คุณพัฒนา แม้มันจะไม่ได้แสดงออกมาให้เห็นภายนอกก็ตาม
- วางแผนที่จะใช้เวลาช่วยเหลือผู้อื่นเป็นประจำตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป การเลิกสนใจแต่ตัวเองสักครู่แล้วให้ความสำคัญกับผู้อื่นก่อน จะช่วยให้คุณเสริมสร้างความถ่อมตนและคุณลักษณะที่ดี เริ่มจากคนในครอบครัวก่อนก็ได้ครับ ถ้าคุณไม่ได้ทำสิ่งต่าง ๆ เพื่อพวกเขาเป็นนิสัยอยู่แล้ว
อีกวิธีหนึ่งคือการแบ่งเวลาอย่างน้อยหนึ่งชั่วโมงต่อสัปดาห์เพื่อทำงานจิตอาสา ลองจัดตารางเวลาและทำเพื่อผู้อื่นอย่างเต็มที่
- แดน โคตส์ สมาชิกวุฒิสภาสหรัฐกล่าวว่า “เราไม่สามารถคิดคุณลักษณะที่ดีมาใช้ได้ทันทีในยามวิกฤติ ถ้ามันถูกรวบงำข้ามมาตลอดหลายปีเพราะเรามีข้ออ้างและเหตุผลเข้าข้างตัวเองที่จะไม่เสริมสร้างคุณลักษณะเหล่านั้น สนามซ้อมเพียงแห่งเดียวของวิรุษคือการทาท่าเรื่องธรรมดาที่แน่นเนื่อง วิธีเดียวในการเตรียมพร้อมสำหรับการตัดสินใจครั้งสำคัญที่จะอาจเปลี่ยนแปลงชีวิตใครสักคนหรือแม้แต่ประเทศชาติได้คือ การซ้อมโดยไม่รู้ตัวตั้งแต่เพียงกับสารพัดเรื่องที่ดูไม่สำคัญในทุก ๆ วัน สิ่งที่ทำเป็นนิสัยทุกวันเป็นตัวกำหนดคุณลักษณะของเรา”
คุณได้ทําอะไรเป็นประจําทุกวันเพื่อบ่มเพาะนิสัยแห่งการเสริมสร้างคุณลักษณะบ้างครับ คุณได้ใส่ใจตัวเองในด้านจิตวิญญาณหรือเปล่า คุณกําลัง ฝันว่าเรื่องยาก ๆ หรือสิ่งที่ไม่พึง ปรารถนาอยู่ไหม คุณปฏิบัติตามกฎทองและกฎอื่นๆอย่างตั้งใจหรือไม่ คุณลักษณะของคุณไม่ใช่สิ่งตายตัว ไม่มีลวดลายเกินไป คุณสามารถเปลี่ยนแปลงตัวตนภายในและศักยภาพ โดยรวมของคุณได้ด้วยการเป็นคนที่ดีขึ้นครับ
นำกฎแห่งยางยืดไปใช้ในชีวิต
- ชีวิตด้านใดที่คุณรู้สึกพึงพอใจและเลิกขยายขอบเขตความสามารถของตัวเอง ไม่ว่าคำตอบจะเป็นอะไร คุณจำเป็นต้องมองหาความตึงเครียดภายในเพื่อขยายขอบเขตความสามารถอีกครั้ง ค้นหาความไม่พอใจในตัวคุณเพื่อเดินต่อไป ศักยภาพด้านใดที่คุณยังขาดอยู่เป้าหมายใดที่คุณยังไปไม่ถึงทั้งที่รู้ตัวว่าทำได้ นิสัยอะไรที่ขัดขวางไม่ให้คุณก้าวไปข้างหน้า และด้านใดของชีวิตที่คุณเคยสร้างความสำเร็จได้แต่ตอนนี้กลับทำไม่ได้แล้ว จำไว้ว่าการเปลี่ยนแปลงเป็นกุญแจสำคัญสู่การเติบโต จงใช้ความไม่พอใจของตัวเองเป็นตัวกระตุ้นให้เริ่มทำในสิ่งที่คุณเลิกไปนานคัน
- จงรักษาความตึงเครียดเอาไว้เพื่อเป็นแรงส่งให้คุณไปยังจุดที่คุณสามารถไปถึง โดยตั้งเป้าหมายระดับกลางให้ตัวเองอยู่เสมอ ถ้าเป้าหมายนั้นอยู่ไกลเกินไป คุณจะบรรลุเป้าหมายดังกล่าวและสูญเสียความตึงเครียดอย่างรวดเร็ว แต่ถ้าเป้าหมายห่างไกลเกินไป มันก็อาจยากเกินเอื้อมถึงจนบั่นทอนกำลังใจของคุณได้
คำถามคือคุณควรรักษาความตึงเครียดเอาไว้นานเท่าไหร่ถึงจะเหมาะสมที่สุด 3 เดือน 6 เดือน หรือ 1 ปี ให้คุณเริ่มจากตั้งเป้าหมายให้สอดคล้องกับบุคลิกภาพของตัวเอง จากนั้นทบทวนเป้าหมายเหล่านั้นอีกครั้งเมื่อสิ้นสุดแต่ละระยะเวลาข้างต้น แล้วพิจารณาว่าควรจะเวลาใดเหมาะแก่การรักษาความตึงเครียดสำหรับคุณมากที่สุด คุณต้องตั้งเป้าหมายที่ไม่ไกลเกินเอื้อม ไม่ง่ายเกินไป แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้"การหาระยะเวลาที่เหมาะสมให้เจอถือเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง ทว่าจะสร้างผลตอบแทนมหาศาลให้คุณ
- ถ้าต้องการเป้าหมายระยะยาวเพื่อขยายขอบเขตความสามารถอยู่เสมอ ลองนึกถึงเรื่องสำคัญ ๆ ที่คุณจะลงมือทำได้ก็ต่อเมื่อบรรลุศักยภาพสูงสุดแล้วเท่านั้น จงฝันให้ใหญ่แล้วตั้งมันเป็นเป้าหมายชีวิตของคุณ
นำกฎแห่งการแลกเปลี่ยนไปใช้ในชีวิต
- เขียนหลักการในการแลกเปลี่ยนของคุณ โดยพิจารณารายการรูปแบบการแลกเปลี่ยนเพื่อจุดประกายแนวคิด
ฉันยอมสละความมั่นคงทางการเงินในวันนี้เพื่อศักยภาพในวันหน้า
ฉันยอมสละความสุขแบบฉาบฉวยเพื่อพัฒนาตัวเอง
ฉันยอมสละชีวิตที่รุ่งโรจน์เร็วเพื่อชีวิตที่ดี
ฉันยอมสละความมั่นคงเพื่อสิ่งที่มีความหมาย
ฉันยอมสละการสร้างผลบวกเพื่อการสร้างผลทวีคูณ
ลองนึกถึงการแลกเปลี่ยนที่คุ้มค่าในอดีตซึ่งคุณเชื่อว่ามันจะสร้างผลดีในวันข้างหน้า รวมถึงพิจารณาถึงสิ่งที่คุณต้องมีและสิ่งที่คุณต้องเสียสละเพื่อบรรลุศักยภาพของตัวเอง
- การรู้ว่าคุณจะไม่ยอมสละสิ่งใดก็สำคัญไม่แพ้กัน เพราะมันจะช่วยระบุว่าคุณยอมสละอะไรได้บ้าง ลองคิดถึงปัจจัยต่าง ๆ ในชีวิตที่คุณจะไม่ยอมสละเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งอื่นและเขียนออกมา จากนั้นระบุผลเสียที่อาจเกิดขึ้นถ้าคุณยอมสละสิ่งเหล่านั้นพร้อมมาตรการป้องกันไม่ให้คุณเสียมันไป
3.ลองหาคำตอบว่ามีการแลกเปลี่ยนอะไรที่คุณจำเป็นต้องทำตอนนี้แต่ยังไม่อยากทำ คนส่วนใหญ่มักติดอยู่กับสิ่งที่ตัวเองสบายใจและเรียนรู้ที่จะอยู่กับข้อจำกัดหรือกำแพงบางอย่าง ซึ่งถูกทำลายได้ด้วยการแลกเปลี่ยน อะไรคือสิ่งต่อไปที่คุณต้องแลกเปลี่ยนเพื่อให้ได้มันมาและคุณต้องสละอะไรบ้าง
นำกฎแห่งความสงสัยใคร่รู้ไปใช้ในชีวิต
- ลองนึกถึงด้านที่สำคัญในชีวิต 3-5 ด้านที่คุณใช้เวลาและพลังงานไปกับมันมากที่สุด คุณมองว่าตัวเองเป็นอย่างไรในแต่ละด้าน คุณคิดว่าตัวเองเป็นผู้เชี่ยวชาญหรือมือใหม่ ถ้าคุณมองว่าตัวเองเป็นผู้เชี่ยวชาญ คุณอาจประสบปัญหาในการพัฒนาตัวเองให้เก่งขึ้นกว่าเดิม ส่วนคนที่มองว่าตัวเองเป็นมือใหม่นั้นรู้ว่าพวกเขายังต้องเรียนรู้อีกมาก และเปิดใจรับทุกแนวคิดที่เป็นไปได้ พวกเขาคิดนอกกรอบ ไม่ยึดติดกับแนวทางเดิม ๆและพร้อมลองทำสิ่งใหม่ ๆ อยู่เสมอ
ถ้าคุณมีกรอบคิดแบบมือใหม่ จงทำทุกวิถีทางเพื่อรักษามันไว้ แต่ถ้าคุณมองว่าตัวเองเป็นผู้เชี่ยวชาญละก็ ระวังให้ดี! คุณควรหาวิธีเติมเชื้อไฟให้ทัศนคติแบบผู้เรียนรู้กลับมาลุกโชน มองหาผู้เชี่ยวชาญที่เหนือกว่าคุณในด้านนั้น ๆ หรือทำแบบริชาร์ด ไฟน์แมน ที่เลือกจะกลับไปมองหาความสนุกก็ได้
- เขียนรายชื่อผู้คนที่คุณใช้เวลาด้วยมากที่สุดในสัปดาห์หนึ่ง ๆจากนั้นให้คะแนนความสงสัยใคร่รู้ของแต่ละคน คนส่วนใหญ่ในชีวิตคุณเป็นนักตั้งคำถามหรือเปล่า พวกเขาถามหาเหตุผลบ่อย ๆ หรือชอบเรียนรู้อะไรใหม่ ๆ ไหม ถ้าไม่ คุณต้องตั้งใจที่จะหันมาใช้เวลากับคนที่ช่างสงสัยมากกว่านี้ หนึ่งในสิ่งที่เป็นอุปสรรคต่อการสงสัยใคร่รู้และการเรียนรู้มากที่สุดคือ การไม่อยากดูเป็นคนโง่ในสายตาผู้อื่น มีสองวิธีง่าย ๆ ที่จะบอกได้ว่าเรื่องนี้เป็นปัญหาในชีวิตคุณหรือไม่ อย่างแรกคือคุณกลัวความล้มเหลว อย่างที่สองคือคุณมองว่าตัวเองสำคัญมากเกินไป
วิธีแก้คือการทำสิ่งที่ผมเรียกว่า “ลองเสี่ยงที่จะเรียนรู้”สมัครเรียนหรือทำสิ่งที่จะพาคุณก้าวออกจากคอมฟอร์ตโซนของตัวเองแบบเต็มตัว ไม่ว่าจะลงเรียนศิลปะ สมัครเรียนเต้นรำ ศึกษาศิลปะการต่อสู้ เรียนภาษาต่างประเทศ ฝึกออกแบบตัวอักษรกับผู้เชี่ยวชาญ หรือฝึกเลี้ยงต้นบอนไซกับมืออาชีพ แค่ดูให้แน่ใจว่าคุณเลือกสิ่งที่คุณรู้สึกว่าสนุก ไม่ได้เชี่ยวชาญ และเป็นเรื่องที่อยู่ไกลจากคอมฟอร์ตโซน
นำกฎแห่งการมีแบบอย่างไปใช้ในชีวิต
- จงหาที่ปรึกษาเพื่อพัฒนาตัวเองไปอีกขั้น ลองคิดดูว่าตอนนี้คุณอยู่จุดไหนและต้องการเดินไปในทิศทางใดบนเส้นทางอาชีพ มองหาคนที่คุณนับถือและนำหน้าคุณอยู่ 2-3 ก้าวบนเส้นทางเดียวกัน โดยคนคนนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นคนในองค์กรเดียวกับคุณก็ได้ จากนั้นให้พิจารณาว่าเขามีคุณสมบัติของที่ปรึกษาที่ดีหรือไม่ นั่นคือ เป็นแบบอย่าง
ในการใช้ชีวิตได้ เข้าถึงได้ มีประสบการณ์ มีปัญญา มอบแรงสนับสนุนและมีทักษะการโค้ช หากคนคนนั้นมีคุณสมบัติครบถ้วน จึงขอให้เขาเป็น
ที่ปรึกษาของคุณก่อนไปพูดคุยกับที่ปรึกษา คุณควรเตรียมคำถามที่ผ่านการไตร่ตรองมาแล้วประมาณ 3-5 ข้อ ซึ่งคุณเชื่อว่าคำตอบของคำถามเหล่านั้นจะเป็นประโยชน์กับคุณอย่างมหาศาล หลังจากได้พบกับที่ปรึกษาแล้ว พยายามนำสิ่งที่ได้เรียนรู้มาประยุกต์ใช้กับสถานการณ์ของตัวเอง อย่านัดพบอีกครั้งจนกว่าจะนำบทเรียนไปลองใช้ แล้วในการพบปะครั้งต่อไป ให้เริ่มจากการเล่าว่าคุณนำสิ่งที่ได้เรียนรู้จากเขาไปปรับใช้อย่างไร (หรือเล่าว่าคุณล้มเหลวอย่างไรเพื่อดูว่าคุณทำพลาดตรงไหน) จากนั้นจึงค่อยถามคำถามใหม่ ๆ จงทำตามแบบแผนนี้ไปเรื่อย ๆ แล้วที่ปรึกษาของคุณจะรู้สึกว่าความพยายามของเขานั้นคุ้มค่า และอาจยินดีที่จะช่วยเหลือคุณต่อไป
- คนเราล้วนต้องการคนที่สามารถช่วยเสริมสร้างจุดแข็งหรือแนะนำแนวทางให้ผ่านพ้นปัญหาไปได้ คุณจะปรึกษาใครเมื่อมีคำถามเกี่ยวกับชีวิตแต่งงาน การเลี้ยงดูลูก การพัฒนาทางจิตวิญญาณ การมีวินัยในตนเอง งานอดิเรก และอื่น ๆ คนคนเดียวไม่สามารถตอบคำถามทั้งหมดนี้ได้ คุณจำเป็นต้องหาที่ปรึกษาหลาย ๆ คนมาช่วยเหลือคุณในแต่ละเรื่อง ให้คุณใช้เวลาเขียนรายการจุดแข็งหรือทักษะที่คุณอยากพัฒนาเพื่อบรรลุศักยภาพของตัวเอง และรายการปัญหาที่คุณคิดว่าจำเป็นต้องได้รับคำแนะนำอย่างต่อเนื่อง จากนั้นให้มองหาคนที่เชี่ยวชาญในแต่ละสิ่งที่คุณและถามว่าพวกเขายินดีตอบคำถามเมื่อคุณมีข้อสงสัยหรือไม่อยากพัฒนา
- คุณมีแบบอย่างที่คุณคอยสังเกต ทำตาม และเรียนรู้จากเขามาเป็นเวลานานหรือไม่ คนที่สามารถให้คำแนะนำเกี่ยวกับภาพรวมชีวิตและหน้าที่การงานของคุณได้ หรือคุณกำลังพยายามพัฒนาโดยที่ไม่มีใครให้ยึดถือเป็นแบบอย่าง ถ้าคุณยังไม่เคยขอความช่วยเหลือจากคนอื่นก็ถึงเวลาแล้ว คนส่วนใหญ่เริ่มมองหาแบบอย่างจากหนังสือ ลองเริ่มจากจุดนั้นก็ได้ครับ แต่อย่าหยุดอยู่แค่นั้นและมองหาคนที่คุณเข้าถึงได้ในชีวิตจริง
จอห์น วูเดน คือแบบอย่างของผม ผมเรียนรู้จากเขาอยู่ห่าง ๆมาเป็นเวลาหลายสิบปี ผมดูการแข่งขันของทีมเขาในโทรทัศน์ ติดตามเส้นทางอาชีพของเขา และอ่านทุกอย่างที่เขาเขียน เมื่อจอห์นเข้าสู่ช่วงวัย 90 ปี ผมก็มีโอกาสได้พบปะกับเขาปีละสองครั้งอยู่หลายปี ผมเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ จากเขามากมายและรู้สึกซาบซึ้งอย่างยิ่งที่ได้ใช้เวลาร่วมกันระหว่างที่คุณมองหาแบบอย่างและที่ปรึกษา สิ่งหนึ่งที่คุณควรระวังคือ ผู้คนมักดูดีเมื่อคุณรู้จักพวกเขาแบบผิวเผิน แต่พอได้ทำความรู้จักจริง ๆ แล้ว คุณอาจพบว่าคนคนนั้นมีนิสัยบางอย่างที่ไม่น่านับถือ แต่อย่าเพิ่งหมดกำลังใจครับ ยังมีคนอีกมากมายที่ซื่อสัตย์และควรค่าแก่การยึดถือเป็นแบบอย่าง (อย่างจอห์น วูเดน) จงค้นหาต่อไปแล้วคุณจะพบคนคนนั่นเอง
นำกฎแห่งการยกระดับไปใช้ในชีวิต
- คุณเปลี่ยนความคิดจาก “ฉันทำไม่ได้!” หรือ “ฉันจะทำได้ไหม”เป็น “ฉันจะทำได้อย่างไร” หรือยัง ลองทดสอบด้วยการถามตัวเองว่า...
ถ้ารู้ว่าตัวเองไม่มีทางล้มเหลว ฉันจะพยายามทำอะไรบ้าง
ถ้าตัวฉันไม่มีขีดจํากัด ฉันอยากทำอะไรบ้าง
ถ้าตัดเรื่องเงินออกไป ฉันจะทำอะไรกับชีวิตบ้าง
ใช้เวลาเขียนคําตอบของคำถามเหล่านี้ออกมา
ทีนี้มาพิจารณากันว่าคำตอบในแวบแรกของคุณเมื่อได้อ่านคำถามคืออะไร คุณอ่านคำถามเหล่านั้นแล้วรู้สึกทำนองว่ามันไกลเกินเอื้อมไปไหม เป็นไปไม่ได้หรอก และเพ้อเจ้ออะไรอย่างนี้ หรือคิดว่าฉันจะทำได้อย่างไร ฉันต้องทำอย่างไรถึงจะสำเร็จ และฉันต้องแลกกับอะไรบ้างเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงนี้ ถ้าเป็นอย่างหลัง นั่นแสดงว่าคุณพร้อมที่จะยกระดับความสามารถแล้ว แต่ถ้าเป็นอย่างแรก คุณยังมีสิ่งที่ต้องทำอยู่ ลองใช้เวลา
ค้นหาว่าอะไรที่ทำให้คุณไม่เชื่อมั่นว่าตัวเองสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงที่จำเป็นเพื่อยกระดับชีวิต
- ประเมินประสิทธิภาพของตัวเองเพื่อให้แน่ใจว่าคุณกำลังทำสิ่งที่ได้ผลไม่ใช่ทำให้มากขึ้น ย้อนดูตารางงานและรายการสิ่งที่ต้องทำของคุณในช่วง 4 สัปดาห์ที่ผ่านมา (ถ้าคุณยังไม่มีระบบเหล่านี้ในการวางแผนชีวิตของตัวเอง คุณต้องเริ่มต้นที่จุดนั้นเสียก่อน) ลองหาว่าคุณใช้เวลาไปกับการกระทำและกิจกรรมแต่ละอย่างมากแค่ไหนใน 4 สัปดาห์นี้ แล้วประเมินว่าคุณควรใช้เวลาไปกับกิจกรรมแต่ละอย่างนานเท่าไหร่ จากนั้นให้ตัดเกรดประสิทธิภาพของตัวเองสำหรับแต่ละกิจกรรมไล่ตั้งแต่ A+ ไปจนถึง F ต่อมาจำแนกกิจกรรมทั้งหมดออกเป็นหมวดหมู่
คุณเห็นรูปแบบอะไรบ้าง สิ่งใดทำแล้วได้ผล สิ่งใดทำแล้วไม่ได้ผล
คุณใช้เวลาทำสิ่งไหนมากเกินไป โดยสาเหตุอาจเป็นเพราะคุณไม่ได้ทำมันอย่างมีประสิทธิภาพมากพอ ไม่ก็สิ่งนั้นไม่สอดคล้องกับจุดมุ่งหมายของคุณ
แล้วคุณต้องเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง เพื่อช่วยในการตัดสินว่าคุณต้องเปลี่ยนสิ่งใด ลองถาม 3 คำถามที่ผมกล่าวถึงไปแล้วข้างต้นที่ว่า ฉันจำเป็นต้องทำอะไรบ้าง อะไรให้ผลตอบแทนสูงที่สุด และอะไรให้รางวัลที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
- คุณมีแผนการและระบบที่ช่วยให้แน่ใจว่าคุณกำลังทำสิ่งที่สำคัญทุก ๆ วันหรือไม่ เริ่มจากระบุว่าสิ่งที่สำคัญกับคุณในทุก ๆ วันมีอะไรบ้าง ต่อไปนี้คือรายการประจำวันของผมที่เขียนไว้ในหนังสือเรื่อง Today Matters ผมหวังว่ามันจะช่วยจุดประกายความคิดให้คุณได้
- เลือกและแสดงออกถึงทัศนคติที่เหมาะสม
- กำหนดและลงมือทำสิ่งต่าง ๆ ตามลำดับความสำคัญ
- เข้าใจแนวทางการรักษาสุขภาพและปฏิบัติตาม
- สื่อสารกับครอบครัวและใส่ใจพวกเขา
- ฝึกฝนและพัฒนาทักษะการคิด
- มุ่งมั่นทำสิ่งที่เหมาะสมอย่างต่อเนื่อง
- หาเงินและบริหารเงินให้เหมาะสม
- ศรัทธาอย่างลึกซึ้งและใช้ชีวิตตามศรัทธาของตัวเอง
- เริ่มต้นและลงทุนกับความสัมพันธ์ที่มั่นคง
- วางแผนสำหรับการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และปฏิบัติตัวเป็นแบบอย่าง
- โอบรับค่านิยมอันดีและปฏิบัติตาม
- แสวงหาสิ่งที่ตัวเองควรพัฒนาแล้วลงมือพัฒนา
เมื่อสร้างรายการสิ่งที่สำคัญของตัวเองแล้ว จงหาวิธีที่คุณจะทำสิ่งเหล่านี้ทุกวันเพื่อที่คุณจะได้ไม่ไถลออกนอกเส้นทางและยกระดับความสามารถของตัวเองต่อไป
นำกฎแห่งการเอื้อเฟื้อไปใช้ในชีวิต
- หาคำตอบว่าความปรารถนาที่แท้จริงในชีวิตของคุณคืออะไรของคุณคือการประสบความสำเร็จหรือการทำสิ่งที่มีความหมายสิ่งต่าง ๆ เพื่อให้ตัวเองรู้สึกดีหรือเพื่อเป็นตัวเองในแบบที่ดีที่สุด เป้าหมายของคุณคือการประสบความสำเร็จหรือการทำสิ่งที่มีความหมาย คุณพยายามบรรลุเป้าหมายเพื่อให้ตัวเองมีความสุขในจุดที่ช่วยเหลือผู้อื่นได้
สิ่งเหล่านี้อาจดูแตกต่างกันเพียงเล็กน้อย ทว่าสร้างความเปลี่ยนแปลงได้อย่างแท้จริง การพยายามทำให้ตัวเองรู้สึกพอใจคือการดิ้นรนอย่างไม่รู้จบ เพราะคุณจะไม่มีวันพึงพอใจกับความก้าวหน้าของตัวเองได้อย่างสมบูรณ์ ส่วนการพยายามพัฒนาตัวเองคือการเดินทางที่ไม่มีจุดสิ้นสุดและสร้างแรงบันดาลใจให้คุณได้ตลอด เพราะทุกก้าวเล็ก ๆ คือชัยชนะ แต่ก็ยังมีความท้าทายใหม่ ๆ ที่จะปลุกเร้าและสร้างแรงบันดาลใจให้คุณอยู่เสมอ
- ดูให้แน่ใจว่าไม่มีใครกำลังคิดหนี้บุญคุณกับคุณอยู่ จงเขียนรายชื่อคนสำคัญในชีวิต พิจารณาแต่ละความสัมพันธ์ แล้วระบุว่าโดยส่วนใหญ่แล้วคุณเป็นผู้ให้หรือผู้รับในความสัมพันธ์นั้น หรือคุณกับอีกฝ่ายต่างก็ให้และรับอย่างเท่าเทียมกัน
ถ้าโดยส่วนใหญ่คุณเป็นผู้รับ คุณจำเป็นต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายมีอำนาจเหนือคุณ สิ่งที่คุณควรทำก็คือ พยายามเป็นผู้ให้มากกว่าผู้รับโดยไม่คิดหนี้บุญคุณผู้คนในชีวิต ผู้คนในที่นี้ไม่ได้หมายถึงเพียงครอบครัวและเพื่อนฝูง แต่ยังรวมถึงคนที่คุณทำงานให้ด้วย คุณควรพยายามสร้างผลงานให้องค์กรมากกว่าที่องค์กรจ่ายเงินให้คุณ นอกจากหัวหน้าและเพื่อนร่วมงานจะเห็นคุณค่าในตัวคุณแล้ว คุณยังได้เพิ่มคุณค่าให้กับพวกเขาด้วยเช่นกัน และถ้าคุณมีโอกาสได้ก้าวหน้าไปทำในสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าและดีกว่า คุณก็จะสามารถทำมันได้เพราะรู้ว่าคุณพยายามทำทุกสิ่งให้ดีที่สุดเสมอ
- สิ่งที่ผมอยากให้คุณทำเป็นการส่งท้ายหนังสือเล่มนี้คือ จงให้ความสำคัญกับผู้คนเป็นลำดับแรกในชีวิต ลองเขียนเป้าหมายและความฝันที่สำคัญที่สุดของคุณออกมา 3-7 อย่าง แล้วเขียนรายชื่อผู้คนที่สำคัญที่สุดในชีวิต จากนั้นให้คุณตอบคำถามด้วยความซื่อสัตย์ว่าอะไรสำคัญกว่ากันระหว่างผู้คนหรือเป้าหมายและความฝันของคุณ ถ้าตอบว่าเป้าหมาย คุณก็เป็นเหมือนผมตอนที่เริ่มทำงานใหม่ ๆ โชคดีที่ผมรู้ตัว หลังจากแต่งงานไม่นานว่าผมจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับมาร์กาเร็ตเป็นลำดับแรก เรื่องนี้ทำให้ผมเห็นแก่ตัวน้อยลงในชีวิตด้านอื่น ๆ ไปด้วยจากนั้นเมื่อมีลูกผมก็ต้องให้ความสำคัญกับพวกเขาก่อนสิ่งอื่น ๆ ยิ่งผมมีชีวิตอยู่นานเท่าไหร่ ผู้คนก็ยิ่งสำคัญต่อผมมากเท่านั้น พออายุปูนนี้แทบทุกสิ่งที่ผมทำล้วนเป็นเพราะผมปรารถนาที่จะช่วยเหลือผู้อื่น ไม่เว้นแม้แต่เรื่องการพัฒนาตัวเอง
จงเลือกที่จะให้ความสำคัญกับผู้คนก่อนเป้าหมายของตัวเอง พัฒนาบุคลากรในที่ทำงานก่อนความก้าวหน้าของตัวเอง และรับใช้ผู้อื่นแทนที่จะให้ผู้อื่นรับใช้ตัวเอง จงทำเช่นนี้ด้วยความมุ่งมั่นและขอให้คนใกล้ตัวช่วยสนับสนุนให้คุณมุ่งมั่นต่อไปอีกแรง อย่าลืมว่าบางครั้งเมล็ดพันธุ์ที่คุณหว่านไปต้องใช้เวลาเติบโต แต่พืชผลจะงอกเงยออกมาให้คุณได้เก็บเกี่ยวอย่างแน่นอน
พบเครื่องบิน "โบอิ้ง 737" ที่หายไป 13 ปี ถูกจอดทิ้งกลางสนามบิน
'ฮุนเซน' ควันออกหู หลังลาวฉวยโอกาสขายของตัดหน้า แย่งสัมปทานจีน
พืชที่มีพิษร้ายแรงเทียบเท่าพิษงูเห่า
10 อันดับเมืองที่มีมลพิษสูงสุดกรุงเทพฯ
‘ดร.ธรณ์’ แนะนำ ถ้าจะย้ายที่อยู่ จังหวัดไหนเหมาะที่สุด ที่ไม่มีมลพิษของฝุ่นและภัยพิบัติทางธรรมชาติ
แบงก์เขมรปิด ฮุน โต! เผ่นหนี ลูกค้าถอนเงินไม่ได้
ชาวนาเขมรยกมือไหว้วอนคนไทย “เปิดด่านช่วยด้วย” หลังราคาข้าวทรุดหนัก สวนทางคำพูดในอดีตที่เคยดูแคลนไทย
ชาว เกษตรกร เขมร กดดันไทยเปิดด่าน ควบรถไถเหยียบนาข้าวทิ้ง ราคาตกต่ำสุดขีด
สภาทนายความ แจงเหตุลบชื่อ ‘ทนายคนดัง’ ออกจากทะเบียนทนาย
🔍 ถอดรหัสปี 2568! คนไทยค้นหาอะไรบน Google มากที่สุด สะท้อนภาพสังคมแห่งปี
WOOF แก่แบบมีคุณภาพ เทรนด์การเงินใหม่ของคนวัยเกษียณ พึ่งตัวเอง มีเงินใช้ ไม่เป็นภาระลูกหลาน
แคปซูลกาลเวลา 1,700 ปี การค้นพบหลุมศพโรมันที่ "สมบูรณ์แบบ" ในฮังการี
ซาอุฯ สั่ง "มันอัดเม็ดไทย" เพิ่ม 30,000 ตัน! เกษตรกรเฮลั่น
นี่คือสิ่งมีชีวิตที่สูงที่สุดและใหญ่ที่สุดในโลก Redwood และ Sequoia
เฮลิคอปเตอร์ไร้คนขับของจีน ทดสอบบินและยิงกระสุนจริงครั้งแรกแล้ว
‘ดร.ธรณ์’ แนะนำ ถ้าจะย้ายที่อยู่ จังหวัดไหนเหมาะที่สุด ที่ไม่มีมลพิษของฝุ่นและภัยพิบัติทางธรรมชาติ
เผยคำทำนาย "บาบา วานก้า" ปลายปี 2025 มนุษย์ต่างดาวอาจโผล่กลางงานฟุตบอลโลก
WOOF แก่แบบมีคุณภาพ เทรนด์การเงินใหม่ของคนวัยเกษียณ พึ่งตัวเอง มีเงินใช้ ไม่เป็นภาระลูกหลาน
แฮ็กสมอง อารมณ์ดีใน 10 วินาที เปลี่ยนอารมณ์ลบให้ดีขึ้นภายใน 10 วินาที
นักวิเคราะห์ นักเทรด และนักคณิตศาสตร์ประกัน

