หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Team Page อัลบั้ม คำคม Glitter เกมถอดรหัสภาพ คำนวณ การเงิน ราคาทองคำ กินอะไรดี
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

ตรอกรักปั๋นใจ๋ ตอนที่ 12

โพสท์โดย Takflim ตากฟิล์ม

ตอนที่ 12
สายฝนที่สาดเทลงมาจากฟากฟ้า ประดุจดั่งม่านน้ำทิพย์จากสรวงสวรรค์ โปรยปรายตกลงมา
อย่างไม่ลืมหูลืมตา น้ำฝนที่ยังตกไม่ขาดสายอย่างข้ามวันข้ามคืน ทำให้ปริมาณน้ำในแม่น้ำ ลำห้วย
หนอง คลอง บึง เต็มเปี่ยมเอ่อล้นไหลนองไปทั่ว สัตว์น้ำจำพวกกุ้ง หอย ปู ปลา ต่างเริงร่าดีใจที่ได้
น้ำใหม่มาหล่อเลี้ยงชุบชีวิตให้อยู่รอด เพื่อสืบทอดดำรงเผ่าพันธุ์ต่อไป ซึ่งก็ไม่แตกต่างไปจากชาวไร่
ชาวนา และคนล่องแพไม้ซุงต่างเริงร่าดีใจเช่นกัน ทุกคนหายกังวลกับการรอคอยน้ำฝนที่กลั่นกรอง
มาจากธรรมชาติเพื่อใช้ดื่ม กิน และประกอบอาชีพที่แตกต่างกันไป ฤดูฝนปีนี้รู้สึกว่าจะให้ปริมาณ
น้ำฝนมากมายเสียเหลือเกิน (เริ่มตั้งแต่กลางเดือนพฤษภาคมจนถึงกลางเดือนตุลาคม) ซึ่งอาชีพ
หลักของคนเมืองระแหงคือ การทำนาปลูกข้าว ซึ่งการปลูกข้าวในประเทศไทยมีอยู่ด้วยกัน 3 วิธี ได้แก่
1. การปลูกข้าวไร่ เป็นการปลูกข้าวบนที่ดอน บนดอย หรือเชิงภูเขาสูงๆ ต่ำๆ ที่ไม่มีน้ำขัง
และไม่มีการชลประทาน จึงต้องอาศัยน้ำฝนแต่เพียงอย่างเดียว ส่วนใหญ่จะปลูกข้าวไร่ในภาคเหนือ
ภาคใต้ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งชนิดของพันธุ์ข้าวที่จะปลูกต้องมีอายุเบา เรียกว่า ข้าวไร่
โดยจะปลูกแบบหยอด เริ่มตั้งแต่ต้นฤดูฝนและเก็บเกี่ยวในปลายฤดูฝน
2. การปลูกข้าวนาดำ หรือ การปักดำ หรือ Indirect Seeding เป็นการปลูกข้าวที่แบ่งออกเป็น
3 ขั้นตอน ได้แก่
ขั้นตอนที่ 1 การเตรียมดินสำหรับปลูกข้าวนาดำจะเป็นพื้นที่ที่แบ่งออกเป็นแปลง
เล็กๆ ขนาด 1-2 ไร่ และจะมีคันนากั้นไว้แต่ละแปลง คันนายังมีไว้สำหรับกักเก็บน้ำและควบคุม
ระดับน้ำในนาแต่ละแปลง ซึ่งเป็นการระบายน้ำหลังจากดินเปียกชุ่มไปด้วยน้ำฝนหรือน้ำจากการ
ชลประทานจนมีความชื่นพอที่จะไถได้ ต่อจากนั้นเป็นการเตรียมดินเพื่อใช้ปลูกข้าวด้วยขั้นตอน
การไถดะ การไถแปร และการคราด โดย
- การไถดะ เป็นการไถครั้งแรกเพื่อทำลายวัชพืชให้ลงไปในดินและคลุกเคล้าฟาง
ซึ่งถือเป็นการพลิกกลับหน้าดินในนา เพื่อให้ดินชั้นล่างได้ขึ้นมาสัมผัสอากาศออกซิเจน โดยจะเริ่มทำ
เมื่อฝนตกครั้งแรกในปีฤดูกาลใหม่ แล้วตากดินปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 1-2 สัปดาห์
- การไถแปร เป็นการไถเพื่อตัดกับรอยไถดะ ช่วยพลิกดินที่กลบแล้วเอาขึ้นมาอีกครั้ง
เพื่อทำลายวัชพืชที่ขึ้นมาใหม่และให้วัชพืชหลุดออกจากดินเหลือน้อยที่สุด การไถแปรถือเป็นการย่อยดินให้แตกออกจนมีขนาดเล็กลง และสามารถทำได้มากกว่าหนึ่งครั้งซึ่งขึ้นอยู่กับชนิดและ
ปริมาณของวัชพืช ลักษณะดิน ระดับน้ำ และในบางพื้นที่ขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำฝนด้วย เมื่อไถแปรเสร็จแล้วก็ทำการคราดได้ทันที
- การคราด เป็นการปรับพื้นที่นาให้เป็นที่ราบอยู่ในระดับที่สม่ำเสมอกัน เพื่อต้นข้าว
จะได้รับน้ำเท่าๆ กัน และสะดวกในการควบคุมดูแลการให้น้ำเข้าออกพื้นที่นา อีกทั้งเป็นการคราด
เอาวัชพืชออกจากพื้นที่นาและย่อยดินให้มีขนาดเล็กลงอีกครั้งด้วย
ขั้นตอนที่ 2 การตกกล้าในแปลงขนาดเล็ก เป็นการเอาเมล็ดไปหว่านให้งอกและ
เจริญเติบโตขึ้นมาเป็นต้นกล้าเพื่อนำไปปักดำ ซึ่งสามารถทำได้ 3 วิธี ได้แก่
- การตกกล้าในดินเปียก เริ่มจากการเลือกพื้นที่ที่มีความอุดรสมบูรณ์ของดินดี
เป็นพิเศษ มีน้ำเพียงพอกับความต้องการ และผ่านจากการไถดะ ไถแปร และคราดมาแล้ว โดยยก
ทำเป็นแปลงสูงจากระดับน้ำในพื้นที่นานั้นประมาณ 3 เซนติเมตร แล้วแบ่งเป็นแปลงย่อยมีขนาดกว้าง 50 เซนติเมตร และความยาวขนานไปกับทิศทางลม เรียกว่า แปลงกล้า โดยระหว่างแปลงกล้าจะเว้นช่องว่างไว้สำหรับเดินประมาณ 30 เซนติเมตร เพื่อลดการระบาดโรคที่อาจเข้ามาทำลายต้นกล้าได้
เช่น โรคไหม้ ต่อมาเป็นการคัดเลือกเมล็ดพันธุ์ข้าวที่จะเอามาทำเป็นต้นกล้า เมล็ดข้าวต้องสมบูรณ์
ปราศจากเชื้อโรค โดยการเอาเมล็ดพันธุ์ข้าวไปใส่ในน้ำเกลือที่มีความถ่วงจำเพาะ 1.08 (น้ำสะอาด 10 ลิตร
ผสมกับเกลือแกงหนัก 1.7 กิโลกรัม) เมล็ดพันธุ์ข้าวที่ไม่สมบูรณ์จะมีน้ำหนักเบากว่าปกติก็จะลอย
ส่วนเมล็ดพันธุ์ข้าวที่สมบูรณ์จะจมลงไปนอนก้น จากนั้นนำเมล็ดพันธุ์ข้าวใส่ถุงผ้าแล้วแช่น้ำสะอาด
นาน 12-24 ชั่วโมง เมื่อครบกำหนดจึงนำไปวางบนพื้นที่ที่น้ำไม่ขังและมีอากาศถ่ายเทได้สะดวก
แล้วเอาผ้าหรือกระสอบเปียกชุ่มน้ำคลุมไว้นาน 36-48 ชั่วโมง เรียกว่า การหุ้ม โดยจะต้องรดน้ำ
ทุกเช้าและเย็นเพื่อรักษาความชุ่มชื้น เมื่อครบกำหนดแล้วจะพบว่าเมล็ดพันธุ์ข้าวจะงอกขนาดตุ่มตา
(มียอดและรากโผล่ออกมาเล็กน้อย โดยรากจะยาวกว่ายอด) ซึ่งพร้อมที่จะนำไปหว่านลงบนแปลงกล้า
ที่เตรียมไว้แล้ว โดยปกติจะใช้เมล็ดพันธุ์ข้าวจำนวน 50-80 กิโลกรัม/เนื้อที่แปลงกล้า 1 ไร่ เมื่อต้นกล้า
มีอายุครบ 25-30 วัน นับจากวันหว่านเมล็ดพันธุ์ข้าว ต้นกล้ามีขนาดโตพอดีและเหมาะสมที่จะถอน
เอาไปปักดำได้ ซึ่งการตกกล้าในดินเปียกนี้ เป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลายในการปลูกข้าวนาดำ
ในประเทศไทย
- การตกกล้าในดินแห้ง เหมาะกับพื้นที่ที่ไม่มีน้ำเพียงพอสำหรับการตกกล้า เป็นการ
ตกกล้าบนที่ดอนไม่มีน้ำขัง โดยการเอาเมล็ดพันธุ์ข้าวที่สมบูรณ์และยังไม่ได้เพาะให้งอกไปโรยใน
แถวที่เปิดเป็นร่อยเล็กๆ ขนาดยาวประมาณ 1 เมตร แล้วกลบดินเพื่อป้องกันนกและหนู หลังจากนั้น
รดน้ำวันละ 2-3 ครั้ง จนเมล็ดพันธุ์ข้าวงอกขึ้นเป็นต้นกล้า และจะไม่ทำให้ต้นกล้าที่มีอายุมากกว่า
40 วัน มีปล้องที่ลำต้น โดยปกติจะใช้เมล็ดพันธุ์ข้าวจำนวน 7-10 กรัม/แถวที่มีความยาว 1 เมตร
และแถวห่างกันประมาณ 10 เซนติเมตร ต้นกล้านี้เหมาะสำหรับการปักดำที่รอน้ำฝน
- การตกกล้าแบบดาปก เริ่มจากการเลือกพื้นที่ที่มีดินสมบูรณ์และยกทำเป็นแปลงกล้า
แล้วใช้กาบของต้นกล้วยต่อกันเป็นกรอบรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดกว้าง 1 เมตร และยาวประมาณ
1.5 เมตร วางลงบนแปลงกล้าแล้วเอาใบกล้วยที่ไม่มีก้านกลางปูวางซ้อนเรียงกันเป็นทอดๆ ในกรอบ
รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า จากนั้นเอาเมล็ดพันธุ์ข้าวที่งอกเหมือนการตกกล้าในดินเปียกโรยลงบนแปลงกล้า
ที่เตรียมไว้แล้ว โดยปกติจะใช้เมล็ดพันธุ์ข้าวหนัก 3 กิโลกรัม/เนื้อที่ 1 ตารางเมตร แล้วต้องรดน้ำโดยใช้บัวรดน้ำชนิดรูเล็กมาก รดน้ำวันละ 2-3 ครั้ง จนเมล็ดพันธุ์ข้าวงอกขึ้นเป็นต้นกล้า เมื่อต้นกล้า
มีอายุครบ 10-14 วัน ก็พร้อมที่จะถอนเอาไปปักดำได้ การนำต้นกล้าไปปักดำจะม้วนใบกล้วยแบบหลวมๆ
เพื่อป้องกันความเสียหายของรากกับลำต้น ซึ่งวิธีนี้เหมาะกับการทำกล้าซิมในภาคเหนือ (การทำกล้าซิม
คือการเอาต้นกล้าที่มีอายุ 10-14 วัน ไปปักดำในนา โดยปักดำถี่และกำละหลายๆ ต้น หลังจากกล้าซิม
มีอายุได้ 20 วัน ก็พร้อมที่จะถอนเอาไปปักดำตามปกติ) และเป็นที่นิยมกันมากในประเทศฟิลิปปินส์
ขั้นตอนที่ 3 การถอนต้นกล้าเพื่อเอาไปปักดำในนาผืนใหญ่ จะทำได้เมื่อต้นกล้า
มีอายุประมาณ 25-30 วัน ที่ได้จากการตกกล้าในดินเปียกหรือการตกกล้าในดินแห้ง และเมื่อถอน
ต้นกล้าแล้วจะมัดรวมกันเป็นมัดๆ ตัดปลายและใบทิ้ง ส่วนต้นกล้าที่มีขนาดเล็กมากก็ไม่ต้อง
ตัดปลายและใบทิ้ง และต้นกล้าที่ได้จากการตกกล้าในดินเปียกจะต้องล้างเอาดินที่รากออกก่อน
เอาไปปักดำในนาผืนใหญ่ สำหรับพื้นที่นาที่จะปักดำควรมีน้ำขังอยู่ประมาณ 5-10 เซนติเมตร
และการปักดำจะต้องปักดำให้เป็นแถวเป็นแนว โดยทั่วไปจะใช้ต้นกล้าจำนวน 3-5 ต้นต่อกอ
และให้มีระยะห่างระหว่างกอและระหว่างแถวประมาณ 25 เซนติเมตร ซึ่งถือเป็นการปักดำที่จะให้ผลผลิตสูง
3. การปลูกข้าวนาหว่าน เป็นการปลูกข้าวโดยเอาเมล็ดพันธุ์ข้าวหว่านลงในพื้นที่นาที่ไถ
เตรียมดินไว้แล้วโดยตรง หรือ Direct Seeding ซึ่งเป็นวิธีที่นิยมกันมากในปัจจุบันเพราะประหยัด
แรงงานและเวลา มีด้วยกัน 3 วิธี ได้แก่
1) การหว่านข้าวแห้งหรือการหว่านสำรวย เป็นการหว่านที่เหมาะกับท้องที่ที่มีสภาพ
แห้งแล้ง ขาดแคลนน้ำหรือควบคุมน้ำไม่ได้ และรอคอยน้ำฝน โดยเริ่มไถพื้นที่นาเพื่อเตรียมดิน
ด้วยการไถดะและไถแปรตั้งแต่เดือนเมษายน แล้วเอาเมล็ดพันธุ์ข้าวที่ยังไม่ได้เพาะให้งอกหว่าน
ลงในพื้นที่นา ซึ่งเป็นการหว่านรอคอยน้ำฝนและตามปกติจะใช้เมล็ดพันธุ์ข้าว 1-2 ถัง/ไร่
2) การหว่านคราดกลบหรือไถกลบ เป็นการหว่านที่เหมาะกับท้องที่ที่มีความชื้นอยู่บ้าง
และรอคอยน้ำฝนตามฤดูกาล หลังจากไถพื้นที่นาเพื่อเตรียมดินด้วยการไถดะและไถแปรเสร็จแล้ว
ก็จะเอาเมล็ดพันธุ์ข้าวที่ยังไม่ได้เพาะให้งอกหว่านลงในพื้นที่นา จากนั้นคราดหรือไถเพื่อกลบ
เมล็ดพันธุ์ข้าวที่หว่านอีกครั้ง ซึ่งตามปกติจะใช้เมล็ดพันธุ์ข้าว 1-2 ถัง/ไร่ และการหว่านวิธีนี้จะได้
ต้นกล้าในปริมาณที่มากกว่าการหว่านด้วยวิธีแรก
3) การหว่านน้ำตม เป็นการหว่านในพื้นที่นาที่มีการชลประทานอย่างสมบูรณ์หรือ
มีน้ำควบคุมได้ ส่วนการเตรียมดินจะเหมือนกับการปลูกข้าวนาดำด้วยการไถดะ ไถแปร และคราด
แล้วทิ้งให้ดินตกตะกอนจนเห็นน้ำใส และน้ำในพื้นที่นาไม่ควรลึกกว่า 2 เซนติเมตร ซึ่งปกติจะใช้
เมล็ดพันธุ์ข้าว 1-2 ถัง/ไร่ จากนั้นจะหว่านเมล็ดพันธุ์ข้าวที่ได้เพาะจนงอกขนาดตุ่มตาลงในพื้นที่นา
เมื่อเมล็ดพันธุ์ข้าวเจริญเติบโตเป็นต้นข้าวก็จะโผล่พ้นขึ้นมาเหนือน้ำ และเจริญเติบโตจนให้ผลผลิต
เป็นเมล็ดข้าวที่สมบูรณ์ต่อไป
หลังจากเมื่อเช้าชาวบ้านช่วยกันลงแขกดำนาปลูกข้าวจนถึงเที่ยง สายบัวกับซ่อนกลิ่นได้นำ
อาหารทั้งคาวและหวาน พร้อมด้วยน้ำดื่ม สุรา และยาสูบที่จัดเตรียมไว้มาเลี้ยงรับรองให้กับทุกคน
ที่มาช่วยลงแขกดำนาปลูกข้าว ซึ่งการลงแขกเป็นการแสดงถึงความมีน้ำใจในการช่วยเหลือแลกเปลี่ยน
แรงงานซึ่งกันและกัน เกี่ยวกับการทำนาปลูกข้าวที่มีตั้งแต่ดำนา เก็บเกี่ยวข้าว ตีข้าวหรือนวดข้าว
และขนข้าวขึ้นยุ้งฉาง
“มาแล้วจ้า อาหารเที่ยงอร่อยๆ มาแล้วจ้า” ซ่อนกลิ่นส่งเสียงเชิญชวนให้ทุกคน ที่มาช่วยลงแขกดำนา
ปลูกข้าวร่วมวงกินอาหารเที่ยงด้วยกัน อาหารถูกจัดวางไว้ที่เถียงนาส่งกลิ่นหอมชวนน่ากินเสียเหลือเกิน
ซ่อนกลิ่นส่งรอยยิ้มพริ้มเพรา พร้อมทอดสายตาอันหวานเยิ้มไปให้นายส่วนที่มาช่วยลงแขกดำนาปลูกข้าว
ซึ่งนายส่วนเองก็ส่งสายตาหวานฉ่ำไปให้ซ่อนกลิ่นจนตาแทบไม่กระพริบเช่นกัน เพราะการที่นายส่วน
มาช่วยลงแขกดำนาปลูกข้าวครั้งนี้ มิใช่ลงแรงเพียงอย่างเดียว แต่ยังลงใจรักให้กับเจ้าของนาเป็น
กรณีพิเศษด้วย
“เที่ยงนี้มีอะไรกินบ้างละจ๊ะน้องซ่อนกลิ่น” นายส่วนเอ่ยถามด้วยใบหน้ายิ้มแย้มหัวใจเบิกบาน
“น้ำพริกปลาย่าง เห็ดเผาะกับหน่อไม้ลวก แกงแคไก่บ้าน อึ่งอ่างย่าง และของหวานคือกล้วยบวชชีจ้ะ” น้ำเสียงที่เอื้อนเอ่ยช่างอ่อนหวานจับใจเขายิ่งนัก รสชาติของอาหารแม้ว่าจะแสนอร่อยสักปานใด
ก็ไม่เทียบเท่ารสรักพิศวาสที่หล่อหลอมหัวใจให้ชุ่มฉ่ำได้มิเสื่อมคลาย ซึ่งนายส่วนมีความยึดมั่นถือมั่น
ในความรักอันบริสุทธิ์ใจ ที่จะมอบรักแท้ให้กับซ่อนกลิ่นอย่างเหลือล้น เมื่อทุกคนอิ่มหนำสำราญ
และนอนพักผ่อนเอาแรง เพื่อลุยงานลงแขกดำนาปลูกข้าวต่อในช่วงบ่ายนั้น นางสีนวลผู้เป็นแม่ของซ่อนกลิ่นร้องทักสายบัวด้วยความห่วงใย หลังจากเห็นสีหน้าของสายบัวไม่ค่อยจะสู้ดีนักว่า
“สายบัวเอ๊ย….เอ็งไม่สบายรึเปล่าลูก ทำไมหน้าตาเอ็งดูไม่ค่อยจะสดชื่นเอาเสียเลย”
“ไม่เป็นอะไรหรอกจ้ะแม่สีนวล สายบัวสบายดี” สายบัวรีบแก้ตัวพัลวัน แต่ในใจยังครุ่นคิดเรื่องราวต่างๆ
ที่นายหมงเล่าให้ฟังหลังกลับมาจากปางไม้และอำเภอแม่สอด เพื่อเร่งสะสางงานให้แล้วเสร็จก่อนบวช
“เออ….ใช่จริงๆ ด้วย ฉันพึ่งจะสังเกตเห็นหน้าตาของแกชัดๆ ก็ตอนที่แม่ฉันทักแกนี่แหละ แกไม่สบายรึเปล่าสายบัว ดูสิหน้าตาของแกซีดเซียวราวกับไข่ต้มเชียว”
“เปล่า….จ้ะเปล่า ฉันสบายดี ฉันไม่เป็นอะไรจริงๆ” สายบัวยังปฏิเสธเสียงแข็ง โดยไม่ยอมสบตา
เพื่อนรักที่ยังจ้องมองเขม็งอย่างไม่ลดละสายตา ก่อนเอ่ยต่อว่า
“สายบัว แกฟังฉันพูดนะ เราสองคนเป็นเพื่อนรักกัน ปัญหาของแกก็เหมือนเป็นปัญหาของฉัน
เพราะฉะนั้นแกมีอะไรคับอกคับใจ แกก็ปรึกษาหารือกับฉันได้ โดยไม่ต้องเกรงใจ เข้าใจมั้ยเพื่อนรัก”
“จ้ะ” เสียงตอบแผ่วเบาอยู่ในลำคอจนแทบไม่ได้ยิน และเมื่อถูกเพื่อนรักพูดดัดคอเหมือนรู้ความในใจ
สายบัวจึงสะกิดแขนซ่อนกลิ่นให้ออกไปจากเถียงนา แล้วมุ่งหน้าตรงไปยังดงต้นตาลท้ายนา
“แกมีปัญหาอะไรสายบัว ไหนแกเล่าให้ฉันฟังหน่อยสิ” ซ่อนกลิ่นซักถาม ขณะทรุดกายนั่งลงข้างๆ
ด้วยความใคร่รู้อย่างใจจดใจจ่อ
“คือ….คือว่า….”
“มัวแต่คือ….คืออยู่นั่นแหละ จะเล่าก็รีบเล่ามาเร็วแก” ซ่อนกลิ่นแสร้งต่อว่าเล็กๆ พลางเอื้อมมือ
ไปสัมผัสมือเรียวงามของสายบัว เพื่อปลอบโยนหวังสร้างความมั่นใจให้กับเพื่อนรัก
“ฉันมีเรื่องไม่ค่อยจะสบายใจอยู่สามเรื่องจ้ะซ่อนกลิ่น” สายบัวเริ่มเล่าด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
แววตาแฝงความกังวลในใจ
“ว่ามาแก จะกี่ร้อยกี่พันเรื่องก็เล่ามา แกมีเพื่อนไว้เพื่อปรึกษาหารือ ไม่ใช่มีเพื่อนไว้แค่เพียงเพื่อกิน
เพื่อเที่ยวนะยะ”
“จ้ะ เรื่องแรกพี่หมงบอกว่า พี่ช่วงพี่ชายนกยูงตกแม่น้ำปิงหายไปต่อหน้าต่อตา แล้วไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดียังไง”
“อ้าว! ตั้งแต่เมื่อไหร่แก” ซ่อนกลิ่นอุทานตกใจ พลางเอ่ยถามด้วยความฉงนสงสัย
“เมื่ออาทิตย์ก่อน ก่อนที่พี่หมงจะกลับมาระแหง”
“มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นแก” ซ่อนกลิ่นซักถามด้วยความอยากรู้
“พี่หมงกับพี่ช่วงมีเรื่องชกต่อยกัน ที่จุดรวมไม้ซุงตรงชุมชนบ้านปากห้วยแม่ท้อ เห็นว่ามีปากเสียง
ทะเลาะกันเสียใหญ่โตจนใครก็ไม่กล้าเข้าไปห้ามได้ แล้วไม่รู้อีท่าไหนพี่ช่วงโดนไม้พายใหญ่ที่ใช้
พุ้ยน้ำล่องแพไม้ซุงตีเข้าที่หัว จนตกลงไปในแม่น้ำปิงหายไปต่อหน้าต่อตา”
“คุณพระช่วย!” ซ่อนกลิ่นอุทาน พลางเอามือทาบอกแสดงอาการตกใจ ก่อนซักถามต่ออย่างร้อนรน
“แล้วชกต่อยกันเรื่องอะไรแก”
“เห็นว่าเป็นเรื่องที่นกยูงหลอกให้พวกเราไปหาพี่หมงที่ปางไม้ เพื่อหวังจะลอบทำร้ายพวกเราไง”
“สมน้ำหน้ามัน ตายเสียได้ก็ดี ฉันเชื่อแล้วว่าเวรกรรมมันมีจริง”
“ซ่อนกลิ่น! พูดแบบนี้ไม่ดีเลยนะ อย่าไปจองเวรจองกรรมกันเลย อโหสิกรรมกันได้ก็อโหสิกรรมกันไปเสียจะดีกว่า”
“โอ๊ย! ช่างมันเถอะ ฉันไม่สนใจหรอก ทีพวกมันทำกับพวกเราอย่างแสนสาหัสทำไมไม่คิดกันบ้าง”
สายบัวส่ายหน้าไปมากับความดื้อรั้นของซ่อนกลิ่น แต่แอบยิ้มที่มุมปาก เพราะนึกขำปฏิกิริยายักไหล่
ทำท่ายียวนจนน่าหมั่นไส้ของเพื่อนรัก
“แล้วเรื่องต่อไปล่ะ แกเล่ามาเร็ว” สายบัวนิ่งเงียบเหมือนรวบรวมสมาธิเรียกความทรงจำกลับคืนมาอีกครั้ง
ก่อนกล่าวด้วยเสียงราบเรียบว่า
“เห็นพี่หมงบอกว่า หลังจากที่พี่ช่วงตกแม่น้ำปิงหายสาบสูญไป พอนกยูงรู้ข่าวก็เข้าไปอาละวาด
พี่หมงถึงที่บ้าน แล้วเอะอะโวยวายด่าว่าเสียงดังลั่นบ้าน โดยไม่ได้มีความเกรงอกเกรงใจใครๆ
เลยซักนิด แม้แต่ท่านพ่อเลี้ยงซ้งกับท่านแม่เลี้ยงบุญเรืองก็ไม่เว้น แถมยังขู่อาฆาตแค้นจะเอา
เรื่องให้ถึงที่สุด”
“เออ อีนี่มันก็บ้าดีเดือดเอาเรื่องเหมือนกันเน๊าะ แปลกผิดมนุษย์มนาเสียจริงๆ ทีตัวเองคิดร้ายทำลายคนอื่นมันคิดได้ทำได้ แต่ทีเรื่องของตัวเองกลับเรียกร้องหาความถูกต้อง” ซ่อนกลิ่นว่า
พลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนพยายามจะสบตากับสายบัวที่ได้แต่นั่งก้มหน้านิ่งเงียบไม่กล้า
สู้สายตา จนทำให้ซ่อนกลิ่นคิดสงสัยอยู่ในใจ แล้วจึงตัดสินใจถามไปว่า
“สายบัว มีอะไรรึเปล่าแก” สายบัวยังเงียบงัน และได้สติเมื่อซ่อนกลิ่นเอื้อมมือมากุมมือเรียวงาม
ของเธออีกครั้ง พลางรีบปฏิเสธเป็นพัลวัน
“ปละ….เปล่าจ้ะ” สายบัวส่งยิ้มแห้งๆ ด้วยแววตาเป็นประกายวิตกกังวลในใจ
“เอาล่ะถ้าไม่มีอะไร แล้วเรื่องสุดท้ายล่ะแก” ซ่อนกลิ่นยิงคำถามต่อ
“ฉัน….ฉัน….”
“มัวแต่ฉัน….ฉันอยู่นั่นแหละ เล่ามาเร็วๆ แก” ซ่อนกลิ่นคะยั้นคะยอถาม พลางเขย่าแขนเพื่อนรักอย่างเร่งรีบร้อนรน
“ซ่อนกลิ่น จนป่านนี้แล้วระดูของฉันยังไม่มาเลยแก” สายบัวตอบพร้อมทำสีหน้าเศร้า
“หรอกรึ แกมีเรื่องเครียดอะไรรึเปล่า”
“เรื่องเครียดก็พอมีอยู่บ้าง แต่….”
“แต่อะไร….หรือว่าแก….อย่าบอกนะว่าแก….”
“จ้ะ ฉันกับพี่หมงได้เสียกันแล้ว” สายบัวเอ่ยพร้อมก้มหน้าเอียงอาย เมื่อได้สารภาพบอกความจริง
ให้เพื่อนรักรับรู้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตนเอง
“หา! จริงรึแก ฉันดีใจด้วยนะ” ซ่อนกลิ่นอุทานตกใจพร้อมหัวเราะคิกๆ น้ำเสียงเริงร่าแสดงอาการ
ดีใจจนสังเกตได้
“แกจะบ้าเหรอ เพื่อนเสียตัวให้กับผู้ชาย แกกลับดีใจจนออกนอกหน้าได้ถึงเพียงนี้”
“อ้าว ก็เพราะฉันสะใจนังนกยูงเสียมากกว่านะสิ อยากได้อยากเป็นคุณนายของเถ้าแก่หมงใจจะขาด
แต่ที่ไหนได้สุดท้ายเพื่อนรักของฉันก็ได้เป็นคุณนายของเถ้าแก่หมงอย่างสมใจฉัน….ฮ่า….ฮ่า….
แหมมันสะใจอีซ่อนกลิ่นเสียจริงๆ”
“บ้าจริงเชียวแก เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องเล่าเล่นๆ ให้สนุกปากนะซ่อนกลิ่น เพราะถ้ารู้ไปถึงไหน
ก็อายไปถึงนั่น” สายบัวต่อว่าต่อขานปนเขินอาย
“โอ๊ย ไม่ต้องไปสนอกสนใจขี้ปากชาวบ้านหรอกแก มันเป็นเรื่องของแกกับพี่หมงแค่เพียงสองคนเท่านั้น
ชาวบ้านหน้าไหนไม่เห็นจะต้องมาข้องเกี่ยวด้วยเลย แต่ถ้าเป็นฉันนะ แม่จะแหกปากป่าวประกาศ
ให้ชาวบ้านได้รับรู้กันไปทั่วถึงสามบ้านเจ็ดบ้านเลยล่ะกัน” ซ่อนกลิ่นว่าพลางหัวเราะชอบใจ
“แกจะบ้ากันไปใหญ่แล้วซ่อนกลิ่น เรื่องแบบนี้จะไปป่าวประกาศให้ชาวบ้านรับรู้ได้ยังไงกัน มันเป็น
เรื่องไม่ถูกไม่ควร หวั่นจะทำให้พ่อแม่อับอายขายขี้หน้าเสียเปล่าๆ”
“เออๆ ฉันรู้ ฉันก็แค่พูดเล่นไปอย่างนั้นแหละ แล้วนี่แกบอกให้พี่หมงรู้เรื่องนี่แล้วรึยัง” ซ่อนกลิ่นเอ่ย
ถามต่อด้วยความเป็นห่วงเป็นใยในตัวเพื่อนรัก
“ยังเลยจ้ะ ฉันยังไม่อยากให้พี่หมงเป็นห่วง และเป็นกังวลในเรื่องนี้ เพราะอาทิตย์หน้าพี่หมงเค้าก็จะ
บวชเรียนแล้ว ฉันกลัวว่าจะเป็นมารผจญเสียเปล่าๆ เอาไว้ให้แน่นอนเสียก่อน แล้วฉันจะบอกพี่หมง
ให้รู้เรื่องอีกที”
“อื้อ....ก็ตามใจแกสายบัว แต่....เอ....เมื่อพูดถึงงานบวชของพี่หมง แกจะไปงานบวชของพี่หมงรึเปล่า”
“ฉันยังไม่แน่ใจเลยจ้ะซ่อนกลิ่น แต่พี่หมงก็บอกให้ฉันไป แต่ว่า....”
“ยังจะมีแต่อะไรอีกล่ะแก” ซ่อนกลิ่นถาม พลางขมวดคิ้วมุ่นเชิงสงสัย
“ฉันเกรงใจกิมลั้ง กลัวว่าจะเป็นการไม่เหมาะสม เพราะกิมลั้งคือภรรยาของพี่หมงในอนาคต
ซึ่งเป็นไปตามความประสงค์ของผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย ที่ได้ตกลงปลงใจกันเรียบร้อยแล้ว ส่วนตัวฉันจะไปในฐานะอะไรก็ไม่รู้” น้ำเสียงของสายบัวที่เอ่ยออกมาเศร้าสร้อยยิ่งนัก
“แกจะบ้าเหรอสายบัว แกเป็นผู้หญิงที่พี่หมงรัก และปรารถนาที่จะแต่งงานด้วยหัวใจรักอันแสนบริสุทธิ์
ส่วนกิมลั้งเป็นแค่เพียงการแต่งงานแบบคลุมถุงชน เพื่อสนองความต้องการของผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายเท่านั้น
เพราะฉะนั้นแกไม่ต้องไปสนอกสนใจผู้ใดให้ปวดหัวเปล่าๆ และถึงยังไงก็ตามฉันก็ขอบอกแกตอนนี้
เสียเลยว่า แกสมควรจะต้องไปอย่างไม่มีข้อแม้โดยเด็ดขาด”
“มันจะดีเหรอซ่อนกลิ่น” สายบัวยังถามขอความคิดเห็นจากเพื่อนรัก
“ดี….และดีอย่างที่สุดด้วย เชื่อฉัน” สายบัวไม่โต้ตอบอะไรต่อไปอีก เพราะคำพูดของซ่อนกลิ่นที่
เห็นดีเห็นงามนั้น เสมือนบังคับไม่ให้ปฏิเสธ เธอจึงได้แต่พยักพเยิดหน้ารับไปอย่างปฏิเสธไม่ได้
“แกต้องเชื่อฉัน ฉันว่ากลับเป็นผลดีเสียอีกนะ ถ้านังนกยูงมาเห็นเข้า มันจะได้รู้ว่าทั้งแกกับกิมลั้งไม่ได้มีปัญหาอะไรกัน”
“จ้ะ แต่พอกลับมาพูดถึงนกยูง ฉันก็อดเป็นห่วงพี่ช่วงไม่ได้”
“สายบัว! แกจะบ้าหรอ คิดเป็นห่วงศัตรูที่คิดทำร้ายพวกเรา”
“ซ่อนกลิ่น ในความรู้สึกลึกๆ ของฉัน ฉันกลับคิดว่าพี่ช่วงไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรหรอก แต่คนที่คิดร้าย หวังจะทำร้ายพวกเราก็คือนกยูงนะแก”
“อื้อ ที่แกพูดมาก็มีเหตุผล”
“เนี่ย ตั้งแต่วันนั้นจนมาถึงวันนี้ ก็ยังไม่รู้ว่าพี่ช่วงเป็นตายร้ายดียังไง”
“ก็แล้วแต่บุญแต่กรรมแล้วกัน กรรมใดใครก่อกรรมนั้นย่อมตอบสนอง เรื่องอย่างนี้เราก็ช่วยอะไร
ไม่ได้จริงๆ จะมีก็แต่นังนกยูงนี่แหละ ไม่รู้ว่ามันจะคิดได้รึเปล่า”
“อืม คิดๆ ไปแล้วก็อดสงสารนกยูงไม่ได้เหมือนกันนะ เพราะความไม่พอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่
อยากได้อยากมีจนยอมตกเป็นทาสของกิเลศตัณหาราคะ ยิ่งดิ้นรนก็ยิ่งเจ็บตัว และเมื่อไม่สมหวังตามที่ตนเองต้องการ จึงกลับกลายเป็นความจงเกลียดจงชังคิดเครียดแค้นอาฆาตพยาบาทอย่าง
ไม่มีที่สิ้นสุด”
“อืม พวกเราก็รอคอยวันที่นังนกยูงมันคิดได้ก็แล้วกัน แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าวันนั้นจะเป็นเมื่อไหร่”
“จ้ะ”
“ปละ พวกเราไปกันเถอะ พวกลุงๆ ป้าๆ พี่ๆ น้องๆ คงลงแขกดำนาปลูกข้าวกันต่อแล้วมั้ง”
เมื่อสองสาวงามแห่งเมืองระแหงได้พูดคุยจนเข้าใจซึ่งกันและกัน แล้วต่างจูงมือพากันไปที่เถียงนา
เพื่อเก็บภาชนะใส่อาหารและน้ำ หลังจากชาวบ้านที่มาช่วยกันลงแขกดำนาปลูกข้าวอิ่มหนำสำราญแล้ว
สายบัวมีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสมากขึ้นกว่าเดิม เมื่อได้เล่าเรื่องราวที่คับข้องหม่นหมองใจให้ซ่อนกลิ่นฟังจนหมดสิ้น เสมือนยกภูเขาออกจากอก แต่ผู้ที่ดีใจและสะใจที่สุดก็คือซ่อนกลิ่น ที่ทราบข่าวว่า
สายบัวเพื่อนรักได้เป็นภรรยาพ่อเลี้ยงหมง เพราะยังไงเสียหลังจากสึกออกมาแล้ว คงต้องได้แต่งงาน
เป็นสามีภรรยากันอย่างถูกต้อง โดยที่นกยูงไม่อาจล่วงรู้เรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้น และคงตามไปทันแน่นนอน ซึ่งขณะที่สายบัวกำลังเก็บภาชนะใส่อาหารและน้ำอยู่นั้น ดวงตาคู่งามเหลือบไปเห็น
ผลตะคร้อลูกกลมโตที่กำลังสุกเต็มต้น สายบัวกลืนน้ำลายลงคออย่างลืมตัว เพราะยิ่งมองยิ่งทำให้น้ำลายสออย่างจะกินเสียให้ได้ ซึ่งอาการแบบนี้บ่งบอกอะไรบางอย่างที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้
(ตะคร้อ เป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ ความสูงประมาณ 15-25 เมตร ลักษณะเรือนยอดเป็นทรงพุ่มแผ่กว้าง
ลำต้นเป็นปุ่มปมและพูพอน เปลือกแตกเป็นสะเก็ดหนาสีน้ำตาลแดงหรือสีน้ำตาลเทา ใบเป็นใบประกอบ
แบบขนนก ขนาดกว้างประมาณ 4.5-12 เซนติเมตร และยาวประมาณ 8-25 เซนติเมตร ออกดอกเป็นช่อ
ปลายยอดหรือตามซอกใบ ยาวประมาณ 20-30 เซนติเมตร ลักษณะเป็นพวงแบบหางกระรอกห้อยลง
สีขาวหรือสีเหลืองอ่อนๆ โดยออกดอกในช่วงเดือนมีนาคมถึงเดือนเมษายน ลักษณะของผลเป็น
รูปทรงกลม ขนาดประมาณ 2-3 เซนติเมตร ผิวเกลี้ยงสีเขียวอมน้ำตาลหรือสีน้ำตาล ภายในผลมีเมล็ด
1-2 เมล็ด เนื้อใสสีเหลือง ฉ่ำน้ำ และมีรสเปรี้ยว โดยออกผลในช่วงเดือนมีนาคมถึงเดือนกรกฎาคม
ส่วนสรรพคุณใช้ ใบเป็นยาแก้ไข้ ผลเป็นยาระบายหรือจิ้มกินกับเกลือหรือซั่ว เปลือกขูดผสมกับเกลือ
ใช้เป็นยารักษาสัตว์ หรือเป็นสีย้อมผ้าคือสีน้ำตาล สีกากี ราก เปลือกรากเป็นยาถอนพิษและแก้กษัย)

เนื้อหาโดย: Takflim ตากฟิล์ม
⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
Takflim ตากฟิล์ม's profile


โพสท์โดย: Takflim ตากฟิล์ม
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
พบเครื่องบิน "โบอิ้ง 737" ที่หายไป 13 ปี ถูกจอดทิ้งกลางสนามบินพืชที่มีพิษร้ายแรงเทียบเท่าพิษงูเห่า'ฮุนเซน' ควันออกหู หลังลาวฉวยโอกาสขายของตัดหน้า แย่งสัมปทานจีนชาว เกษตรกร เขมร กดดันไทยเปิดด่าน ควบรถไถเหยียบนาข้าวทิ้ง ราคาตกต่ำสุดขีดชาวนาเขมรยกมือไหว้วอนคนไทย “เปิดด่านช่วยด้วย” หลังราคาข้าวทรุดหนัก สวนทางคำพูดในอดีตที่เคยดูแคลนไทยเปิดการบ้านภาษาไทย เรียงอักษรให้เป็นคำ แบบนี้ยากไปไหม10 อันดับเมืองที่มีมลพิษสูงสุดกรุงเทพฯสภาทนายความ แจงเหตุลบชื่อ ‘ทนายคนดัง’ ออกจากทะเบียนทนายแบงก์เขมรปิด ฮุน โต! เผ่นหนี ลูกค้าถอนเงินไม่ได้‘ดร.ธรณ์’ แนะนำ ถ้าจะย้ายที่อยู่ จังหวัดไหนเหมาะที่สุด ที่ไม่มีมลพิษของฝุ่นและภัยพิบัติทางธรรมชาติแคปซูลกาลเวลา 1,700 ปี การค้นพบหลุมศพโรมันที่ "สมบูรณ์แบบ" ในฮังการี🔍 ถอดรหัสปี 2568! คนไทยค้นหาอะไรบน Google มากที่สุด สะท้อนภาพสังคมแห่งปี
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
ซาอุฯ สั่ง "มันอัดเม็ดไทย" เพิ่ม 30,000 ตัน! เกษตรกรเฮลั่นนี่คือสิ่งมีชีวิตที่สูงที่สุดและใหญ่ที่สุดในโลก Redwood และ Sequoiaเฮลิคอปเตอร์ไร้คนขับของจีน ทดสอบบินและยิงกระสุนจริงครั้งแรกแล้ว‘ดร.ธรณ์’ แนะนำ ถ้าจะย้ายที่อยู่ จังหวัดไหนเหมาะที่สุด ที่ไม่มีมลพิษของฝุ่นและภัยพิบัติทางธรรมชาติ
กระทู้อื่นๆในบอร์ด นิยาย เมืองตาก
นิยาย เรื่อง พิภพบิตุรงค์ตรอกรักปั๋นใจ๋ ตอนที่ 11ตรอกรักปั๋นใจ ตอนที่ 10
ตั้งกระทู้ใหม่